“คุณมีเวลาสัก 10 นาทีไหมครับ เราจะพาคุณย้อนเวลาไปสำรวจจิตใจและทักทายความเป็นเด็กที่แอบซ่อนอยู่ข้างในไปด้วยกัน”
ประโยคดังกล่าวคือคำโปรยของมิวสิกวิดีโอเพลง ความเยาว์ ของวงร็อกชื่อ The Darkest Romance สารภาพว่าตอนอ่านครั้งแรกเรานึกสงสัยว่าฟังแล้วจำเป็นต้องหยุดคิดไปอีก 10 นาทีเลยเหรอ เราจะตกตะกอนความคิดกับเพลงเพลงหนึ่งได้นานขนาดนั้นเชียว
แต่ปรากฏว่าพอย้อนกลับไปดูที่ความยาวของวิดีโอ เราพบว่า 10 นาทีที่ว่าคือ 10 นาทีที่ต้องฟังจริงๆ ไม่เพียงเท่านั้นซิงเกิลที่ 2 ของวงอย่าง ความโดดเดี่ยว ยังเป็นเพลงที่มีความยาวเท่าๆ กันเช่นกัน
เราเปิดฟังด้วยความสงสัย แต่กลับถูกปล่อยทิ้งไว้กับคำถามมากมายในใจที่ยังคงล้นออกมาเรื่อยๆ ถึงแม้เพลงจะจบไปนานแล้วก็ตาม


The Darkest Romance เป็นวงร็อกเลือดเดือด 4 คนอันประกอบไปด้วย แม็ก–ธิติวัฒน์ รองทอง (ร้องนำ, เบส), ซีเกม–ธณัตชัย เหลือรักษ์ (กลอง), ก้อง–ก้องอุดม ใจทัศน์กุล (กีตาร์) และ เต้–ปัฏฐสิทธิ์ ห้วยห้อง (กีตาร์) ที่โดดเด่นด้วยวิธีการทำเพลงให้เหมือนเป็นเครื่องมือ ‘เล่าเรื่อง’ โดยนำเนื้อหาอันลึกซึ้งมารวมกับเทคนิคการเล่นดนตรีอย่างหวือหวา จึงไม่ผิดนักหากจะบอกว่าความรู้สึกที่ได้รับเหมือนกับการรับชมภาพยนตร์เนื้อเรื่องเข้มข้นสักเรื่อง
พวกเขาได้รับการการันตีจากผลงาน Lessons สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 3 ในปี 2015 ที่มีคอนเซปต์การเล่าเรื่องเป็นห้องเรียนห้องหนึ่ง วิพากษ์วิจารณ์เรื่องชีวิตและสังคมอย่างตรงไปตรงมา จนนักฟังเพลงหูเหล็กในแวดวงเพลงใต้ดินหลายคนยกให้อัลบัมดังกล่าวเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดแห่งปี
เวลาผ่านไปดนตรีได้นำพาพวกเขาเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ที่ชื่อ Gene Lab ภายใต้การดูแลของโอม–ปัณฑพล ประสารราชกิจ แห่งวง Cocktail เข้าสู่การเป็นศิลปินมีสังกัดอย่างเต็มตัว สิ่งที่สะดุดความสนใจของเราคือสองซิงเกิลล่าสุดของพวกเขามีความยาวเพลงละ 10 นาที และตลอดเวลาที่เพลงกำลังเล่นอยู่นั้นแทบจะไม่ใช่เพลงเดียวกันเลย มีหนักชนเบา มีสุขปนเศร้า ประหนึ่งว่าเรากำลังโดนเล่นกับความรู้สึกและโดนท้าทายอารมณ์อย่างต่อเนื่อง
เราได้มีโอกาสพูดคุยกับพวกเขาถึงเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ความระห่ำในการทำเพลง และการเดินทางบนเส้นทางศิลปินตั้งแต่พื้นที่นอกกระแสจนเข้าสู่กระแสหลัก อะไรที่ขับเคลื่อนให้พวกเขาผลิตผลงานสุดทะเยอทะยานออกมา ตลอดจนตัวตนของพวกเขาที่เราเองก็อยากทำความรู้จักให้มากขึ้นเช่นกัน
ทำดนตรีนอกกระแสมาเป็นสิบปี พอมาอยู่บ้านใหม่ที่ชื่อ Gene Lab มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
ซีเกม : เดดไลน์ครับ (หัวเราะ) พวกเราไม่มีปัญหาเรื่องโจทย์ในการทำเพลงหรือการเข้าห้องอัดเลย ทุกอย่างเหมือนเดิม สิ่งที่เพิ่มมาคือกำหนดการต่างๆ ซึ่งมองได้ทั้งในแง่ดีและไม่ดี ไม่ดีที่เดดไลน์กลายเป็นภาระที่เพิ่มขึ้นของเรา เราต้องจัดการเวลาให้ดี แต่ข้อดีก็คือได้จัดการนั่นแหละ ทุกอย่างเป็นระบบระเบียบมากขึ้น
แม็ก : อุปสรรคข้อใหญ่ที่สุดของพวกเราคือการจัดการเวลา ซึ่งไม่ได้ยากต่อการปรับตัวขนาดนั้น ส่วนในเรื่องของการทำงานเราโชคดีอีกเรื่องหนึ่งคือ ถึงแม้ในเครดิตเราจะเห็นชื่อพี่โอม Cocktail เป็น executive producer แต่ในความเป็นจริงพวกเรายังคงเป็นวงที่โปรดิวซ์กันเองอยู่ โดยมีพี่ๆ ในค่ายทุกคนคอยแนะนำอยู่เรื่อยๆ ทั้งในแง่ของคุณภาพเสียงและภาพลักษณ์
การทำเพลง 10 นาทีดูทะเยอทะยานมาก ทำไปทำไม
แม็ก : จุดเริ่มต้นมาจากความไม่อยากทำเพลงแบบเดิม เราโชคดีที่มีคนชอบ Lessons อัลบั้มชุดที่แล้วของวงเยอะมาก แต่พอคนชอบเยอะก็เกิดความรู้สึกว่าเพลงที่เคยเขียนจะซ้ำกับผลงานเก่าๆ ของพวกเรา เพราะถ้าสมมติว่าคนชอบอันนี้แล้วเราทำเพลงแบบเดิม เขาจะมองวงเราว่าเป็นวงทั่วไป เป็นอันเดอร์กราวนด์เหมือนกับวงอื่นๆ ที่ผ่านมา เราไม่ได้บอกว่าสิ่งที่วงใดๆ ทำนั้นไม่ดี แต่เราอยากทำได้มากกว่าที่เคยทำ ไม่ได้คิดว่าจะไปแข่งอะไรกับใครอยู่แล้วด้วย เพราะแค่แข่งกับตัวเองใน 10 นาทีก็ยากพอแล้ว ยืนระยะให้จบเพลงให้ได้ก่อน (หัวเราะ) ก็ต้องยอมรับว่าทะเยอทะยานที่สุดที่วงทำมา
ก้อง : เราไม่อยากทำอะไรซ้ำ พอทำไปถึงจุดหนึ่งจะเริ่มเข้าใจว่าคนฟังชอบฟังเพลงประมาณนี้ ถ้าเราทำแบบเดิมคนก็อาจจะชอบประมาณนี้อีก วนเหมือนเดิมเป็นลูป เลยอยากเปลี่ยนให้แตกต่างขึ้นไปอีก
กังวลบ้างไหมว่าคนจะบอกว่าเราเปลี่ยนไป
แม็ก : ถ้ากังวลเราไม่ปล่อยเพลง 10 นาทีหรอกครับ (หัวเราะ) หรือถ้าคนบอกว่าเราเสียตัวตนเวลามาอยู่ค่ายเพลงก็ฟังให้จบ 10 นาทีก็แล้วกัน เราไม่เคยรังเกียจเพลงป๊อปหรือเพลงที่ได้รับความนิยมมากๆ เราไม่เคยคิดว่าการเข้าถึงง่ายเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาด และแน่นอน เราไม่เคยดูถูกเพลงแนวอื่นๆ แต่ในขณะเดียวกันเราเคารพตัวเองมากพอที่จะบอกว่า เราจะซื่อสัตย์ในสิ่งที่เราทำ สมมติถ้าวันหนึ่งเราทำเพลงที่ฟังง่ายขึ้นได้เราก็จะทำ
ก้อง : ส่วนตัวเราคิดว่าเราไม่ได้เปลี่ยนไป อัลบัมที่กำลังทำอยู่ตอนนี้หนักกว่าชุดก่อนๆ ด้วยซ้ำ เราค่อนข้างมั่นใจว่าเราไม่ได้เปลี่ยนตัวตน อัลบั้มต่อจากนี้ยังมีความชอบของพวกเราอยู่
ทำไมต้อง 10 นาที แค่ทำให้ตัวเองแตกต่าง แต่ความยาวทั่วไปไม่ได้เหรอ
แม็ก : (นิ่งคิด) แต่ก่อนเราก็เคยทำเพลงความยาว 3-5 นาทีกัน แต่เราแค่อยากลองดูว่าถ้าทำเพลงความยาว 10 นาทีคนจะอยู่ฟังจนจบไหม จะเลี้ยงความรู้สึกคนให้อยู่ตลอดได้หรือเปล่า ซึ่งเราก็ไม่ได้คาดหวังให้ฟังจบเพลงทุกคน แต่ถ้าอยู่จบก็ขอบคุณ มันเป็นคำถามที่เราจะได้ตอบตัวเองด้วยว่าเพลงของเราทำให้รู้สึกยังไงบ้าง
ซีเกม : เพลง 10 นาทีเหมือนเป็นงานทดลองของพวกเรา เราอยากรู้ปฏิกิริยาของคนฟังว่าพวกเขาจะแสดงออกยังไง
แบบนี้อาจเข้าถึงยากสำหรับบางคนรึเปล่า
เต้ : พี่โอมเคยบอกพวกเราว่า ถ้าอยากขายพวกเราคงส่งเดโมเพลง 10 นาทีให้พี่เขานานแล้ว (หัวเราะ) แต่พวกเราไม่ทำแบบนั้น
แม็ก : เพลงของพวกเราไม่ใช่ขนมหวานทานง่าย (หัวเราะ) ฟังแล้วเหนื่อย แต่เพราะตั้งใจให้เป็นแบบนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะบันเทิงกับเพลงพวกนี้ และนั่นไม่ผิดเลย
ทำเพลงเต็มอิ่มขนาดนี้มีข้อเสียบ้างไหม
แม็ก : ข้อเสียข้อแรกคือถ้าไม่ชอบก็เกลียดเลย คนไม่อินเบื่อแน่นอน แต่ผมคิดว่าเพลงก็เหมือนงานศิลปะที่สร้างขึ้นมาวางไว้กลางสปอตไลต์ เป็นเรื่องธรรมดามากที่จะมีทั้งคนชอบและคนเกลียด มีทั้งคนที่ให้ดอกไม้และคนที่โยนก้อนหิน
ข้อสองคือการเล่นเพลงความยาว 10 นาทีต้องใช้พลังมากกว่าปกติ โดยทั่วไปเล่นเพลง 1 นาที 3 นาที เราก็ปวดคอปวดตัวกันอยู่แล้ว แต่ 10 นาทีเหมือนต้องวางแผนการรบมากขึ้น (หัวเราะ) ไม่ใช่แค่เล่นดนตรีให้จบๆ ไป
ซีเกม : เพลงของเราไม่ค่อยโดนคอมเมนต์ด้านลบ ไม่ใช่เพราะเพลงดีมากจนติไม่ได้แต่เป็นเพราะพวกเขาฟังไม่จบ (หัวเราะ) ดังนั้นผมว่าข้อเสียที่ง่ายที่สุดคือความยากนั่นแหละ นอกจากยากในการเล่นแล้วยังยากในการฟังด้วย บางคนฟังแค่ 3 นาทีแรกแล้วก็หายไปก่อน ข้อความหรือสิ่งที่เราอยากสื่อสารจึงออกไปไม่ครบ ถือว่าเป็นข้อเสียได้เหมือนกัน
ในแง่ขั้นตอนการทำ เพลง 10 นาทีแตกต่างจากเพลง 3-5 นาทียังไงบ้าง
แม็ก : เราแยกกันทำงานเพราะต่างคนต่างมีส่วนที่ต้องจัดการ อาจมีโครงมาจากผมก่อนเนื่องจากผมเป็นคนคิดคอนเซปต์เนื้อเพลง วิธีการทำงานจึงเป็นผมที่ต้องทำโครงส่งให้ทุกคน มันก็อิงมาจากไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนด้วย เพราะบ้านไม่ได้อยู่ใกล้กันเลย พวกเราจึงเจอกันน้อยมาก ดังนั้นสิ่งที่ผมทำเวลาเริ่มขึ้นโครงเพลงหรือเรียบเรียงดนตรีคือการจำมือ ว่าแต่ละคนมีสไตล์ยังไง จำมือซีเกม จำมือก้อง จำมือพี่เต้ เป็นสิ่งที่ผมพอทำได้เวลาไม่เจอกัน เพราะเคมีพวกเราสัมพันธ์กันหลังจากเล่นกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว ผมก็พอจะรู้ว่าสไตล์แต่ละคนเป็นยังไง
ก้อง : เราจะมานั่งฟังเดโมจากแม็กก่อน แล้วก็แลกเปลี่ยนกันว่าแต่ละคนเห็นภาพอะไรบ้าง ก่อนจะแยกย้ายไปทำการบ้านของตัวเอง
เต้ : ตอนที่แม็กให้ฟังเดโมเรารู้สึกเหมือนได้สร้างพื้นที่ส่วนตัวของพวกเราขึ้นมา ยังไม่ค่อยเห็นคนอื่นทำอะไรแบบนี้ ซึ่งเราก็โอเคมากที่มีสิ่งนี้เกิดขึ้น
เวลาปล่อยแต่ละเพลง ทั้ง 4 คนเห็นพ้องกันในเรื่องไอเดียทั้งหมดเลยหรือเปล่า
ซีเกม : เราเห็นคอนเซปต์ภาพรวมเป็นภาพเดียวกัน แต่เรื่องรายละเอียดปลีกย่อยไม่เหมือนกันสักคน
แม็ก : จริงๆ แล้วเรามีความสนใจเรื่องดนตรีค่อนข้างต่างกัน ก้องจะเมทัลคอร์ พี่เต้จะอีโมฯ เพิ่มขึ้นมา ส่วนซีเกมก็เล่นได้ตั้งแต่หนักมากๆ ไปจนถึงป๊อป-ร็อกหรือโพสต์ร็อกเลย แต่ทุกคนก็ยังอยู่บนพื้นฐานความเป็นร็อก งานของพวกเราเลยกลายเป็นงานกึ่งคอลลาจ
ก้อง : เรามองกันคนละภาพก็จริงแต่ยังเป็นโทนเดียวกัน ถ้ามองกันไปคนละทางก็คงทำด้วยกันไม่ได้ ความสนุกคือพอเราเห็นภาพคนละภาพและเอามาทำเป็นเพลง 10 นาทีมันจะมีหลายภาพในเพลง ทำให้มีความหลากหลายทางอารมณ์มากขึ้น ถ้าเห็นภาพเดียวกันเพลงก็จะมีแค่ภาพเดียว
เพลงเลยมีมิติมากขึ้น
ซีเกม : ใช่ ถ้าให้เปรียบเทียบเพลงของพวกเราเป็นอาหาร มันคืออาหารจานเดิมที่เราคุ้นเคยแต่อาจจะเป็นคนละรสกับที่เคยกิน ยำรสใหม่เข้าไปหน่อย สุดท้ายพออาหารจานนี้ออกมาเสิร์ฟเราก็มองเป็นจานเดิมที่เคยกินอยู่ดี หรือลองนึกภาพเป็นภาพยนตร์ก็ได้ แบบเดียวกันเลย เราดูหนังเรื่องเดิมแต่ไม่ได้รู้สึกเหมือนเดิมทุกครั้งขนาดนั้น ถึงเราจะมั่นใจขนาดไหนว่านี่คือเรื่องเดิมแน่ๆ
เต้ : พวกเราอยากให้เพลงมีหลายภาพ เพราะคนฟังเองก็คงตีความไม่เหมือนกันอยู่แล้ว อย่างเรื่องแนวคิดของเพลง ความเยาว์ ก็เป็นเรื่องปลายเปิด แต่ละคนที่มาคอมเมนต์ในวิดีโอของเราก็อธิบายช่วงชีวิตของเขาไม่เหมือนกัน พอฟังแล้วเขาได้เปิดใจแสดงความเห็น เราก็รู้สึกดีเพราะได้เห็นภาพชีวิตที่ต่างกันของแต่ละคนด้วย
แบบนี้จุดร่วมของทั้ง 4 คนคืออะไร
แม็ก : เป็นภาพที่ทุกคนมองเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้ว่าวงของพวกเราที่เริ่มจากการพยายามลุยไปเรื่อยๆ นี่มายืนด้วยกันได้เพราะการมองผ่านภาพตั้งแต่เมื่อไหร่ ซึ่งต่อให้มีความสนใจเชิงดนตรีที่ต่างกัน แต่เวลาขึ้นเวทีเราอยากทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลองเหมือนกันทุกคน
เราเอาทุกสิ่งที่มีมาบนเวทีทุกครั้ง และไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่รู้สึก เกมมีสิ่งที่อยากระบายผ่านกลอง ก้องกับพี่เต้อยากระบายออกมาด้วยกันผ่านกีตาร์ ท้ายที่สุดแล้วการเล่นดนตรีสำหรับพวกเราก็เหมือนประตูทางออกจากโลกความจริงไปชั่วขณะ ทำให้เราได้ฟื้นตัวตนขึ้นมา
ซีเกม : เราเอาด้านหนึ่งในใจที่อาจจะเป็นด้านมืดมาปล่อยลงตรงนี้ ไม่ใช่เพื่อโจมตีหรือกระแทกใส่ใคร เราแค่วางกองไว้ให้ทุกคนดูว่า ‘ผมมี พวกคุณเห็นไหม ถ้าคุณเห็น พวกคุณมี ผมก็มีเหมือนกัน’ เป็นเรื่องของการแชร์ความรู้สึกกันมากกว่า เราไม่ได้ยืนอยู่ด้วยกันได้เพราะแนวเพลง
ก้อง : พวกเรามีลูกบ้าเหมือนกัน เราแค่อยากออกไปเล่นดนตรีมากกว่า เวลาที่เล่นสดเราสงสัยทุกครั้งว่ารอบนี้จะไปได้ขนาดไหน เราไม่เคยสนเลยว่าคนจะเยอะหรือน้อย ต่อให้ไม่มีคนเราก็ใส่เต็ม เราสนกันเองแค่ 4 คนว่าสนุกขนาดไหน หลักๆ คือการออกไปเจอคนมากกว่า
ใส่เต็มแบบ ‘เดี๋ยวมึงเจอกู’
ซีเกม : มันคือ ‘เดี๋ยวเราเจอกัน’ มากกว่า ไม่ใช่ ‘เดี๋ยวมึงเจอกู’ (หัวเราะ)
แม็ก : แต่เวลาเล่นสดเราก็พยายามมีปฏิสัมพันธ์กับคนดู หลายครั้งเราให้พวกเขาเข้ามาใกล้ๆ หรือลงไปหาเขา ไปฟังเขา ไปพูดคุย เราได้เห็นคนที่มาดูพวกเราต่อหน้า เห็นพวกเขามีความโศกเศร้าบางอย่าง เป็นความรู้สึกที่จริงกว่าเมื่อได้สัมผัส คนบางคนอยากได้การบำบัด อยากได้คนรับฟัง พวกเราก็อยากให้ทุกคนได้เป็นเพื่อนกันผ่านเพลง
ก้อง : อย่างตอนที่เราลงไปร้องเพลงกับคนดู เราให้เขาระบายอะไรออกมาก็ได้ บางทีอาจจะเป็นคำหยาบหรือคำไม่ดี แต่ได้ตะโกนออกมาแค่คำเดียวเขาก็พอใจแล้ว เราก็พอใจ เพราะบางทีเขาอาจไม่มีที่ระบาย แค่ได้ตะโกนออกมาคำเดียวก็ดีขึ้นแล้ว
คนฟังเหมือนได้บำบัดจิตใจด้วยไหม
แม็ก : คนที่รู้สึกเหมือนกันก็มาอยู่ด้วยกัน แต่ถ้าเขารู้สึกไม่เหมือนเราเราก็ไม่ว่า แค่เขาฟังเพลงจบก็ดีใจแล้ว แต่สุดท้ายคนที่มากอดคอแล้วร้องไห้ไปกับเราเขาดีขึ้นหลังจากโชว์จบ นั่นคือสิ่งที่เราดีใจ เราอยากให้เขารู้สึกดีกับตัวเองด้วย
ซีเกม : อย่างคนที่ร้องไห้ในโชว์เขาอาจเป็นคนที่ไม่กล้าร้องไห้ให้ใครเห็นก็ได้ แต่เขาร้องไห้ตรงนั้น เขาได้ระบาย ได้ปลดปล่อยแล้ว มีคนมาขอบคุณเราที่ทำให้ตัวเองร้องไห้ด้วยซ้ำ ตอนนั้นงง ก็มึงร้องไห้ มึงมาขอบคุณกูทำไม (หัวเราะ) แต่ด้วยเหตุผลนี้แหละ พอเขาร้องเราก็ดีใจไปกับเขา เพราะเขาคงอัดอั้นมานานแล้วเหมือนกัน
แม็ก : เราเล่นดนตรีแล้วเราจริงใจ เอาใจทั้งหมดที่เรามีโยนไปให้คนฟัง แล้วเขาโยนกลับมา นั่นคือสัมฤทธิ์ผล
ดูเป็นความเสียใจที่สวยงามนะ ย้อนแย้งเหมือนชื่อวง
ซีเกม : ชื่อวงถ้าแปลตรงตัวก็คือความโรแมนซ์ที่มืดมิดที่สุด ถ้าฟังเผินๆ อาจดูขัดกัน ความโรแมนซ์จะไปมืดมิดอะไร แต่ความจริงคือถ้าคุณเห็น ทุกสิ่งที่ดูเหมือนสว่างเหลือเกินมักมีจุดดำๆ อยู่ ถ้าคุณมองดีๆ อะไรก็ตามที่มืดมิดเหลือเกินก็มีจุดสว่างเหมือนกัน มีอารมณ์ที่กด กดให้คุณแสดงอารมณ์ด้านมืดของคุณออกมาให้หมด ไปจนถึงอารมณ์บวก ซึ่งในแต่ละอารมณ์มี 2 ด้าน เหมือนชื่อ The Darkest Romance เหมือนเพลงที่เราทำกัน
ก้อง : จริงๆ แล้วก็มีทั้งความหวานและความมืดรวมอยู่ด้วยกันนั่นแหละ
เต้ : ความมืดเป็นอารมณ์ที่กดขี่เราจนแย่ขนาดที่ทำให้ร้องไห้ได้ แต่เนื้อหาของเพลงโรแมนติก สำหรับวงนี้ก็มีทั้งสองอารมณ์ ซึ่งก็อยู่ด้วยกันได้อย่างไม่เคอะเขิน
แม็ก : เราไม่เชื่อว่าสิ่งที่ไม่เข้ากันจะเข้ากันไม่ได้ ทำไมเราจะทำสิ่งที่คอนทราสต์กันไม่ได้ ในเมื่ออะไรก็ตามที่ไม่ได้เป็นสีนวลสีเดียว ไม่ได้เป็นสีดำมืดสีเดียว เราไม่จำเป็นต้องตัดสินในสิ่งที่ตาเห็นแวบแรกว่าจะต้องเป็นด้านนั้นด้านเดียว สิ่งที่ขัดกันไม่ได้แปลว่าจะเข้ากันไม่ได้เสมอไป

