Bomb at Track : ระเบิดลูกใหม่แห่งวงการดนตรีที่กล้าเล่าปัญหาสังคมผ่านเพลงเมทัล

ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ปัญหาสังคมรอบตัวเกิดขึ้นมากมายจนทำให้เราชินชา หลายคนหมางเมินประเด็นเหล่านี้จนเรื่องที่ควร ‘ไม่ปกติ’ กลายเป็นเรื่อง ‘ปกติ’ แต่ในความผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้นยังมีวงดนตรีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ไม่นิ่งนอนใจและปฏิเสธความเฉยชา พวกเขาต่างไม่เห็นด้วยกับเรื่องแย่ๆ ปัญหาที่น้อยคนพยายามแก้ไข เรื่องที่น้อยคนอยากจะพูดถึง แต่พวกเขาเลือกตะโกนมันออกมาให้ทุกคนได้รับรู้ พูดเรื่องห่วยๆ เหล่านั้นให้คนในสังคมตระหนักว่าปัญหาเหล่านั้นยังมีตัวตน

 

พวกเขา 5 คน เรียกตัวเองว่า ‘Bomb at Track’ วงดนตรี Rap-Metal ลูกระเบิดน้องใหม่จากค่าย Wayfer Records สังกัด Warner Music Thailand ที่เริ่มต้นรวมตัวกันเมื่อ 1 ปีก่อนจากการรวมวงเฉพาะกิจที่งานงานหนึ่ง พวกเขาล้วนเป็นวัยรุ่นในวัยยี่สิบต้นๆ ที่กดดันและเดือดดาลกับสภาพสังคมในปัจจุบัน ความรู้สึกโกรธเคืองถูกกดไว้เปรียบดั่งระเบิดรอคอยวันปะทุออกมาให้ทุกคนได้รับฟัง เมื่อถึงเวลาที่เสียงกีตาร์แผดร้อง ดนตรีเมทัลที่พวกเขาสรรสร้างจะทำหน้าที่ลำเลียงความคิดและท่วงทำนองไปสู่โสตประสาทของคนฟัง บางคนรับฟัง บางคนหนวกหู แต่สำหรับเรา เรามองว่าปัญหาสังคมที่พูดผ่านเพลงของพวกเขาต่างหากคือประเด็นที่ทำให้เราจับตามองพวกเขาอย่างใกล้ชิด

ดนตรีของเรา ความคิดของเรา ตัวตนของเรา

การทำเพลงเป็นทั้งความต้องการและแรงบันดาลใจ ในบางยุค วงดนตรีที่เป็นวัยรุ่นจะพูดถึงชีวิตตัวเอง สิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ หรือพูดถึงปัญหาสังคม สิ่งนั้นเป็นแรงบันดาลใจเพราะพวกผมรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน เวลาเห็นจุดบกพร่องแล้วเราอิน เราอยากเอาประเด็นนั้นมาพูดถึง

จากความกดดันและความโกรธเกรี้ยว

พวกผมเริ่มทำเพลงเองทุกขั้นตอนเลย ต้องแต่งเพลงเองด้วยเพราะไม่รู้จะให้ใครแต่ง สาเหตุที่แต่งเพลงแนวนี้เพราะตอนทำเพลงหรือแต่งเพลงมันเต็มไปด้วยความอยากเสียดสีสังคม ความโมโห และความกดดัน แต่ไม่ใช่แบบคนรุ่นอื่น ไม่ใช่ความกดดันเรื่องเงินหรืออะไร สิ่งที่เรากดดันหรือสงสัยเป็นเรื่องของสิ่งรอบตัว การเป็นอยู่ในชีวิตวัยรุ่น ความกดดันกับบางเรื่องที่ไม่เข้าท่า อย่างเรื่องประชาธิปไตย กฎหมายโทษประหาร หรือคนที่มียศแล้วใช้อำนาจเกินขอบเขต คือเป็นสิ่งที่เราเห็นได้ง่ายๆ แล้วเราอยากหยิบมาพูดเพราะเรารู้สึกกับมันมากๆ

ขยี้โสตประสาท แต่ถึงหัวใจ

พวกผมเชื่อว่ามีวิธีพูดถึงปัญหาสังคมหลายแบบ แต่เราทำดนตรีเป็น Rap-Metal เพราะสิ่งที่เราพูดมีความเถรตรง รุนแรง กระแทกกระทั้นความรู้สึกบางอย่าง เช่นการร้องว่า ‘สัตว์หน้าคนใช้อำนาจเงินเพื่อปกปิด พวกปรสิตสูบเลือดเนื้อเพื่อคงอยู่’ ผมคิดว่าการที่ดนตรีแรงตามไปด้วยจะช่วยส่งเสริมให้ทุกอย่างไปด้วยกัน เป็นก้อนเดียวกัน พอส่งพลังนี้ออกไปแล้วเพลงจะเข้าถึงคนฟังได้มากขึ้น พวกผมจะพยายามรักษาจุดนี้ไว้แล้วพัฒนาด้านอื่นไปเรื่อยๆ แต่ความแรงจะไม่เปลี่ยนแปลง

ยืนหยัดต่อความกลัว

ตอนกางเนื้อร้องหรือทำดนตรีออกมา เรากลัวในสิ่งที่จะพูดเหมือนกัน เช่นเพลง ‘โจรในเครื่องแบบ’ ผมแต่งเพลงนี้เพื่อพูดถึงตำรวจโดยตรง ตอนเล่นเพลงนี้ยังมีตำรวจมารอพวกเราอยู่หลังเวทีแล้วถามว่า ‘พูดถึงพวกเขาหรือเปล่า?’ คือมันมีแอบคิดอยู่แล้ว แต่อีกความคิดคือมันเป็นความรู้สึกลึกๆ ที่ท้าทาย ตื่นเต้น เป็นสิ่งที่อยากทำ มันเหมือนสู้กันอยู่ เรากลัวแต่ก็ทำไปเลยเพราะอยากทำจริงๆ

บทเพลงที่เกิดจากปัญหาของทุกคน

พวกเราเจอปัญหาทุกวัน ข่าวคนทะเลาะวิวาท ฆาตรกรรม หรือข่าวต่างๆ ในเฟซบุ๊ก ทุกสิ่งคือความรุนแรงที่ทำให้พวกเราสนใจโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมคิดว่าหลายคนก็รู้สึกหมือนกัน แต่แค่มีวิธีการแสดงออกที่ต่างกัน พวกผมเป็นนักดนตรีเลยแสดงออกผ่านเพลง ผมไม่ได้ต้องการให้มันเพอร์เฟกต์ แค่อยากให้สังคมดีขึ้น ช่วยกันใช้เหตุผลปรับ พยายามรับฟังกันก็โอเคแล้ว เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มีผลกระทบต่อพวกเราทุกคน

เราคือวัยรุ่น แล้วเราทำอะไรได้บ้าง?

วัยรุ่นเป็นวัยที่มีพลังที่สุด เป็นวัยที่กระชุ่มกระชวย พวกเรามีความคิดอยู่ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ประมาณหนึ่ง ดังนั้นเวลาเกิดปัญหาอะไรในสังคม พวกผมไม่อยากให้อินแค่ช่วงเวลานั้นแล้วก็ผ่านไป เช่น บางสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นในโซเชียล ผมเห็นวัยรุ่นบางกลุ่มกลับไปยกยอ บางทีการที่เราไปยกยอนั้นส่งผลให้เราโตขึ้นไปเป็นคนแบบนั้น ผมอยากให้แยกแยะ อย่าเพิ่งก่นด่าทุกอย่างที่เป็นปัญหาแล้วก็ตามกระแสไป อยากให้หันมาสนใจ ลองคิดดูหลายๆ มุม และแก้ไขให้อะไรเกิดขึ้นบ้าง ส่วนพวกผมก็จะเป็นกระบอกเสียงทางด้านดนตรีแบบนี้ต่อไป ถ้าดีมันก็ดี แค่มันไม่แย่เท่าในปัจจุบันก็ดีแล้ว


บทเพลงแห่งการวิพากษ์จาก Bomb at Track

อำนาจเจริญ (Powerful)

‘สังคมไทยในปัจจุบันมันไม่มีถูกผิด ไม่ว่ามึงจะขับรถชนใครตายจนเขาต้องเข้าห้องดับจิต ขอเพียงแค่เศษกระดาษที่มีราคาจ่ายมาปิดความผิด ไม่นานข่าวคราวเงียบหายไปจนประชาชนแม่งลืมสนิท’

เพลงนี้เป็นเพลงแรก ตอนเริ่มทำเรารู้ตัวว่าอยากได้เพลงแบบไหน แต่ไม่รู้จะแต่งเพลงในทิศทางไหน ช่วงนั้นผมอินข่าวที่มีคนทำร้ายคนพิการ ผมเริ่มศึกษาคดีความ ตามข่าวไปเรื่อยๆ ผลสุดท้ายตอนจบคือกลายเป็นคดีทะเลาะวิวาท ผมรู้สึกว่าแม่งไม่ใช่ว่ะ ผมเลยเขียนเนื้อร้องและพิมพ์เนื้อเพลงส่งไปให้ทุกคน พอทุกคนเห็นก็โอเคเลย แต่ตอนนั้นยังไม่มีท่อนฮุกจนวันหนึ่งผมเขียนท่อนฮุกมาประมาณ 5 – 6 ประโยคเพื่อให้เพื่อนเลือก แต่ผมวงประโยค ‘สัตว์หน้าคน’ ไว้แล้วทุกคนก็เลือกเหมือนกัน ประโยคนี้เลยเอามาเป็นท่อนฮุกในที่สุด

ฆาตรกรคีย์บอร์ด (Trolls)

เพราะความคิดคนมันห่วยสังคมเลยห่วยแตก คิดในแง่ลบแล้วมองว่าเขานั้นจิตแปลก’

ออกความเห็น ใช้คำพูดแต่งตั้งตัวเองเป็นศาล มึงพูดกันมันปากโดยที่ไม่เคยคิดจะตั้งคำถาม

เพลงนี้เริ่มจากที่ผมไปดูคลิปที่ว่า คุณเคยเห็นคนตายพูดได้มั้ย เป็นคลิปเล่าถึงคนที่รองเท้าขาดโดนใส่ร้ายว่าซ่อนกล้องไว้ที่เท้า แล้วมีชาวเน็ตมาด่าเขาเยอะแยะจนเขาไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ ช่วงนั้นผมอินเรื่องนี้ แล้วมีข่าว ‘น็อต กราบรถ’ ดาราที่บังคับให้คนที่ชนรถเขามากราบรถตัวเอง คนด่าไปยันหุ้นส่วน ด่ายันแม่เขา คือไม่เกี่ยวนะ (เน้นเสียง) ผมเลยระบายด้วยการแต่งเนื้อเพลงนี้ออกมา

โจรในเครื่องแบบ (Muggers)

ในยุคที่สังคมไทยแม่งน่าหมดหวัง มีผู้ถือกฎหมายที่ไม่น่าฝากฝัง ถ้าเกิดหือกับพวกเขาชีวิตเราต้องพัง ลองดูแล้วกัน ถ้ากูไม่ผิดเดี๋ยวมึงได้เจอพวกกู!’

ผมเขียนเนื้อเพลงนี้เสร็จภายใน 2 ชั่วโมง เพราะเพลงนี้ผมเจอกับตัว วันนั้นผมลงมาจากหอกับเพื่อนหลังจากซ้อมดนตรีเพื่อจะไปร้านสะดวกซื้อ พอดีกับเหตุการณ์ที่รุ่นพี่ผมยกพวกตีกันกับคณะอื่น ผมบังเอิญลงไปอยู่ตอนนั้นพอดีแล้วก็โดนเข้าใจผิด ตำรวจเข้ามาพูดจาไม่ดีกับผม มีปากเสียงกัน เขาผลักอกเพื่อนผม เถียงกันไปมา ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย สุดท้ายแยกย้ายกันไป ตื่นเช้ามาผมก็เขียนเนื้อเพลงนี้เลย ใช้เวลาน้อยที่สุดตั้งแต่เคยเขียนเพลงมา

เดนมนุษย์ (Trash)

จะกี่คน กี่ชีวิต ที่สังเวยให้ความใคร่ กูก็ไม่เห็นกฎเกณฑ์บ้านเมืองจะทำอะไรพวกแม่งได้ กี่ครอบครัว กี่ผู้คน ที่เขาต้องมานั่งร้องไห้ กฎเกณฑ์บ้านเมืองแม่งไม่เคยเห็นความผิดของฆาตรกร’

เพลงนี้มาจากข่าวฆ่าข่มขืน (นิ่งคิด) ผมดูข่าว ติดตามจนรู้ว่าคนร้ายเคยติดคุกมาก่อนแล้วออกมาทำผิดซ้ำอีก ผมรู้สึกว่าอยู่ยากเหลือเกินเมืองไทย กฎหมายไม่ได้คุ้มครองเราขนาดนั้น ต้องรอให้มีคนตายก่อนถึงจะปรับปรุงอะไรขึ้นมา ช่วงนั้นยอมรับว่าผมโกรธ ผมแต่งเพลงนี้ถึงฆาตกรโดยตรง ช่วงนั้นข่าวฆ่าข่มขืนเยอะมากเลย ผมเข้าใจนะว่าการไม่มีกฎหมายประหารเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ประเทศอื่นเขาก็ไม่มี เรื่องนี้ผ่านการถกเถียงมาหมดแล้ว แต่ถ้าเกิดจะไม่ให้มีเรื่องพวกนี้ก็ควรจะทำอะไรที่ปกป้องคนในสังคมมากกว่าที่เป็นอยู่

สันติภาพ (Peace)

‘จะกี่สิบปีที่ผ่านพ้นมา ไม่ได้ทำให้ผู้คนรักกัน ความคิดที่แตกแยกได้นำพา ให้สงครามเกิดขึ้นได้ทุกวัน ผู้คนยังหวังในความสงบที่แท้จริง แต่กลับมีข่าวฆาตรกรรมแทบทุกวัน เพราะว่ารู้ในความจริง คำว่าสันติภาพนั้นไม่มีวัน!’

จุดเริ่มต้นคือผมไปอ่านกระทู้เก่าๆ เกี่ยวกับการเมือง ช่วงนั้นผมศึกษาเรื่อง 14 ตุลา 2516 อ่านไปเรื่อยๆ แล้วคิดว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานขนาดไหน เรื่องพวกนี้ก็ยังเกิดซ้ำไปซ้ำมา ผมรู้สึกว่าคนคิดไม่เหมือนเราไม่ได้แปลว่าเขาเป็นศัตรูเรา ไม่จำเป็นต้องฆ่าแกงกัน ถ้าเรามานั่งดูจริงๆ ผมว่าเราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราคิดถูกหรือเปล่า สิ่งที่เขาคิดถูกหรือเปล่า เราแค่คิดไม่เหมือนกันเท่านั้น อยู่ที่ว่าเราควบคุมอารมณ์และรับฟังกันได้ขนาดไหนมากกว่า

Facebook : Bomb at Track

ภาพ กฤต วิเศษเขตการณ์

AUTHOR