“อย่าไปคิดมากกับบางอย่างที่ไม่ใช่ตัวเรา” เจ-มณฑล จิรา

สำหรับคนเจ็นวายที่เกิดช่วงปี 90
คงไม่มีใครไม่ทันเห็นใบหน้าลุคอินเตอร์และดวงตากลมโตของเด็กชาย เจ-มณฑล จิรา ที่ปรากฏอยู่บนปกนิตยสาร
โลดแล่นทั้งในละครโทรทัศน์และจอภาพยนตร์ รวมไปถึงบนอัลบั้มเทป
กล่าวอย่างไม่เกินจริงสำหรับใครที่เกิดไม่ทันว่าในวันนั้น เด็กชายอายุ 9 ขวบที่ย้ายมาจากฮ่องกงคนนี้กลายเป็นดาวเด่นในวงการบันเทิงที่แสงไฟสปอตไลต์ส่องฉายในชั่วพริบตา

แต่การตัดสินใจหันหลังให้แสงนั้น เพื่อเตรียมย้ายจากคนเบื้องหน้าไปเป็นคนเบื้องหลังที่จะสร้างสรรค์ผลงานในแบบของตัวเองจริงๆ
ได้มากกว่า ทำให้เขาเลือกกลับไปเรียนต่อไฮสคูลและปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกา คว้าใบปริญญาใน
2 สาขาวิชาที่ดูไม่น่าเข้ากันแต่ดันทำได้ดีทั้งคู่คือเศรษฐศาสตร์และดนตรี ที่คล้ายจะปูทางให้เจมุ่งหน้าสู่การทำงานในวงการดนตรี
พื้นที่ที่เขาสามารถลงมือทำทุกอย่างทั้งแต่งเพลง โปรดิวซ์ หรือแม้แต่ออกไปแสดงก็ยังได้ และที่สำคัญ เขามีความสุขที่ได้ทำมัน

ไม่แปลกที่โอกาสจะวิ่งเข้ามาหาเขาในวัยเด็กที่อยู่เบื้องหน้า
แต่ในวันที่เขาหันหลัง เจก็ไม่หยุดวิ่งหาโอกาสและพาตัวเองไปร่วมงานกับศิลปินมากมาย
ซึ่งถ้าฝีมือของเขาไม่เจ๋งพอ ก็คงไม่ง่ายที่จะได้อยู่ในห้องอัดเดียวกับฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ เช่นเดียวกับโปรเจกต์ล่าสุดที่เขาร่วมก่อตั้ง Asiola เว็บไซต์ระดมทุนให้แคมเปญสร้างสรรค์ทั้งดนตรี
ศิลปะ แฟชั่น หรือแม้แต่เพื่อการกุศล
เกิดขึ้นได้จริงจากคนที่เชื่อมั่นในไอเดียเดียวกัน
ซึ่งกำลังไปได้ดีไม่น้อยแม้จะเปิดตัวมาได้เพียง 7 เดือน

ในวันที่ชัดเจนกับสิ่งที่เลือกทำมาตลอด
20 ปี เราชวนเจนั่งลงและพูดคุยถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญคราวนั้นอีกครั้ง เขาบอกกับเราชัดเจนว่าจะยังเป็นเด็กคนนั้นที่รับงานถ่ายแบบ
เข้าวงการบันเทิง และทำทุกอย่างที่เคยทำมา แต่คงอยากแบ่งเอาความคิดในวัย 38 ไปบอกเพิ่มหน่อยว่า
“อย่าไปคิดมากเลยกับบางอย่างที่ไม่สำคัญต่อตัวเรา”

“สิ่งที่เรารู้มาตั้งแต่ตอนเรียนคือเราไม่ค่อยชอบทำงานกับคนเยอะๆ
เราถึงเลือกทำงานดนตรีที่ทำส่วนของเราได้เองคนเดียวและกลายเป็นงานของเรา
แทนที่จะไปถ่ายหนังซึ่งต้องทำเป็นทีม เมื่อก่อนเราอาจทำงานที่ไม่ชอบเพื่อที่จะได้มีประสบการณ์และรู้ว่าเราชอบทำอะไร”

“เราโชคดีที่ทำงานตั้งแต่เด็กและพ่อแม่ก็ปล่อยให้ลองทำหลายๆ
อย่าง เปิดโอกาสให้เราคิดและเลือกสิ่งที่อยากทำ คล้ายกับการสร้างทางที่เป็นของเราเอง
เราลองไปทำงานออฟฟิศ ก็คิดว่าทำยังไงถึงจะอยู่ได้โดยไม่ทำงานแบบนั้น ก็ค่อยๆ ปรับมาเป็นฟรีแลนซ์
แต่ต้องจัดระเบียบวินัยในการทำงาน ดูแลสุขภาพของตัวเอง เล่นโยคะทุกเช้า
ตลกดีนะที่เราบอกว่าเป็นคนขี้เบื่อ แต่เวลาทำงานเรากลับชอบให้เป็นระบบ เป็นรูทีน
อย่างน้อยถ้าเราทำงานทุกวัน อาจจะดีหรือไม่ดี แต่ก็มีงานที่เราสร้างขึ้นมา”

“เราคิดว่าถ้าใช้ชีวิตอย่างไม่มีระบบ
มันง่ายมากที่จะผลักบางอย่างไปเรื่อยๆ พอมองกลับไปก็เห็นว่าเวลาผ่านมาปีนึงแล้วยังไม่เริ่มทำอะไรเลย ตอนเรียนปีสุดท้ายก่อนจะจบไปทำงาน พอเพื่อนชวนไปเที่ยว
เราก็บอกว่าขออ่านหนังสืออะไรต่างๆ ที่มีอยู่ดีกว่า
ไม่ได้อยากเสียเวลาไปทำอย่างอื่นที่ไม่สำคัญแล้ว ในเมื่อเรามีเวลาได้ลงมือทำสิ่งที่ชอบเลยพยายามหาวิธีควบคุมเวลาเหล่านั้นเพื่อที่จะสร้างงานได้ตลอด”

“เราจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร
แต่จะมุ่งมั่นกับสิ่งที่เราชอบไว้ก่อน ไม่ต้องใช้เกณฑ์หรือมาตรฐานของคนอื่นที่ไม่ได้สำคัญกับตัวเรา
ทำแบบนี้แล้วอาจจะเปิดโอกาสให้เราลงมือทำสิ่งที่ชอบโดยไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไงเรา แค่ต้องสร้างงานออกมา
คนอื่นจะชอบหรือไม่ ตรงนั้นไม่สำคัญ เรารู้แต่ว่าสิ่งที่เราสร้างออกมาเป็นสิ่งที่เราชอบแล้ว”

“และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราทำอยู่”

www.asiola.co.th

ภาพ ลักษิกา แซ่เหงี่ยม

ขอบคุณสถานที่ 26 Cafe NOW at Siam

AUTHOR