สดใส พันธุมโกมล : ครูใหญ่ผู้เป็นที่รักของนักเรียนการละครทุกคน 4/4

อรชุมา: ครูเลือกที่จะทำให้เห็น ทำอย่างที่ครูเชื่อแทนที่จะไปก่นด่าผู้อื่น อย่างที่ครูเคยกำกับละครโทรทัศน์เรื่อง คำพิพากษา ตอนนั้นทำไมถึงเลือกที่จะทำละครเรื่องนี้

เรื่อง คำพิพากษา ต้องขอบคุณอาจารย์สมรักษ์ ณรงค์วิชัย คือตัวเองไม่ใช่นักอ่านที่เก่งกาจ จะทำเรื่องไทย อาจารย์สมรักษ์เขาก็แนะนำว่าให้ทำเรื่อง คำพิพากษา ของชาติ กอบจิตติ
ตอนนั้นเราก็โง่มาก ยังไม่รู้จักว่าชาติเป็นใคร เลยไปหาอ่าน พออ่านจบก็อยากจะปูผ้าลงกราบเลย เด็กคนนี้เขียนได้ยังไง พูดถึงความรู้สึกนี้ ขอย้อนไปถึงวันนั้นที่ลูกศิษย์มาถามตอนงาน แมคเบธ ว่าเรารู้สึกอย่างไร แต่เราบอกว่าพูดไม่ได้ แล้วร้องกรี๊ด มันคือความรู้สึกเดียวกัน ทุกคนยอมเสียสละเวลาของตัวเอง มาซ้อมกันเป็นปี ทั้งท่องบท เสียสตางค์ตัวเอง
ทำขนาดนี้ให้กับครูถามว่าครูรู้สึกอย่างไร ครูรู้สึกเหมือนกับตอนที่อ่าน คำพิพากษา จบ เราอยากบอกว่าอยากจะปูผ้าลงกราบที่พวกเธอทำให้ แต่วันนั้นเราไม่ได้บอก ถ้าบอกเดี๋ยวลูกศิษย์เขาจะว่าเอา

ประภาส: ตอนนั้นที่กำกับเรื่อง คำพิพากษา แล้วมีนักแสดงรุ่นเก่าที่แสดงด้วยความเคยชิน
พอมาเจอการกำกับของครูมีอะไรขัดกันไหมครับ

ไม่มีเลย เราทำด้วยความเคารพ ถ้าจะต้องเตือนอะไรก็ขอขมาท่านหน่อย แล้วต้องให้เกียรติท่านเพราะท่านเป็นบรมครูเก่าแก่ แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องซื่อตรงกับอาชีพของเราด้วย ตรงไหนต้องแก้ก็ขอให้ท่านแก้ แล้วไม่มีปัญหาเลยถ้าเราทำด้วยความเคารพ ไม่ยากเลย เรานับถือ ป๋า ส. (สมชาย อาสนจินดา) ว่าท่านมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ก่อนเราเกิด เรานับถือในสิ่งที่ดีของท่าน ถ้ามีจุดอะไรที่ต้องแนะนำ เราไม่เรียกว่าแนะนำ เราใช้วิธีขอว่าเป็นอย่างนี้ได้ไหม วิธีการกำกับของครูที่ใช้กับแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ครูจะใช้วิธีการที่เหมาะกับคนนั้น และสิ่งที่ครูทำเสมอคือจะวิ่งไปที่เวที แล้วกระซิบบอก ครูจะไม่ตะโกน ตวาด ครูไม่เคยโกรธนักแสดงเลย ถ้าเรากำกับด้วยความเคารพอย่างเต็มที่ ท่านให้เรากำกับทั้งนั้น ท่านต้องการด้วยซ้ำไป ถ้าเราเปิดใจให้กัน ไม่มีอะไรที่จะสื่อสารกันไม่ได้

อรชุมา: ทำไมครูสามารถปั้นลูกศิษย์ทุกคน ไม่ว่าใคร ให้ไปทางซ้ายก็ได้ ขวาก็ได้

เพราะว่าครูไม่เคยคิดว่าจะให้เขาไปทางซ้ายหรือไปทางขวาตามใจครู แต่ครูจะดูว่าเขาดีที่สุดทางไหน แล้วอุ้มให้เขาลอยไปในทางที่เหมาะสมกับเขาอย่างเต็มที่

อรชุมา: ถ้าพระองค์เปรมฯ ไม่ทักครูว่าให้ไปเรียนการละคร ครูว่าชีวิตครูตอนนี้จะเป็นยังไง

แหม ชีวิตคงเหลวเป๋วเลย จะให้เราไปเรียนการสอนภาษาอังกฤษเหรอ (ยิ้ม)

ประภาส: ความจริงความสามารถอย่างครูใหญ่สามารถจะมุ่งเอาดีไปทางด้านการละครระดับโลกเลยก็ได้ แต่ทำไมถึงเลือกมาเป็นครู

ครูรักการเป็นครู แล้วครูไม่ได้ต้องการเป็นดารา การที่เราสอนมันได้สื่อสารและได้ช่วยคน อย่างตอนนี้เราก็อยากเขียนหนังสือถ้ายังเขียนไหว เพื่อฝากเอาไว้ให้คนรุ่นหลัง ศิลปะการละครเป็นชีวิตของครูแต่ครูว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องไปอยู่ช่อง 4 หรือช่องไหน

อรชุมา: มีอะไรที่ครูอยากจะบอกสอนคนรุ่นหลังๆ เป็นพิเศษ

เป็นตัวของตัวเอง เชื่อในตัวของตัวเอง เชื่อในจริยธรรม จิตใจสำคัญที่สุด จริงอยู่เงินทองเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่อย่างนั้นเราก็ไม่มีเงินซื้อข้าวกิน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของมนุษย์คือจิตใจ ถ้าจิตใจดี อยู่อย่างพอเพียงก็สบายแล้ว พอแล้วชีวิต

ประภาส: ครูชื่นชมชีวิตไหมครับ

ไม่เรียกว่าชื่นชมชีวิตหรอก ชีวิตมีความโศกเศร้า มีความทุกข์ ครูก็มีความทุกข์ เรื่องหมอตรงนี่แหละ เขาจากไปตั้งแต่ปี 45 10 ปีที่ครูต้องทนทุกข์ทรมาน แต่ว่าตอนที่เขาอยู่ เรามีความสุขมาก เพราะฉะนั้น เราจะไปเอาแต่ได้ได้ยังไง ใช่ไหม ในชีวิตมีทั้งสุขและทุกข์ อันนี้ท่านพุทธทาสสอนอยู่แล้ว ซึ่งตรงกันกับในไบเบิล Thy will be done อยู่ที่พระประสงค์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้นเราต้องอยู่ให้ได้ แล้วความรักก็ไม่ได้ไปไหน ความรักอยู่ตรงนั้น แต่ถ้าถามว่าครูชื่นชมอะไร ครูชื่นชมชีวิตคนอื่นมากกว่าเรื่องของตัวเอง ที่ครูพูดเสมอว่า ให้ดีใจในความสำเร็จของคนอื่น อันนี้เราจะมีความสุขตลอดชีวิตเลย อย่างครู ครูดีใจตลอดทุกวินาทีเลย เดี๋ยวได้ข่าวจิกทำอะไรดีๆ เดี๋ยวแอ๋วทำอะไรดีๆ มันชื่นชมไปหมด ดีใจกับความสำเร็จของทุกคน อันนี้เป็นกำไรชีวิต แล้วมีลูกศิษย์เป็นหมื่นคิดดูสิ มันดีใจได้ทุกวัน

อรชุมา: ครูสอนละครมาทั้งชีวิต แล้วละครสอนอะไรครูบ้าง

ละครสอนทุกอย่าง บทละครที่ครูอ่านแต่ละเรื่องมันมีข้อคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง The Cocktail Party ของ ที. เอส. เอลเลียต สอนเยอะเลย เขาเป็นกวีที่มาเขียนละคร แต่ครูคิดว่าครูคงไม่เอาละครของเขามาแสดง เพราะคนดูคงหลับ แต่ว่าตอนอ่านเราได้ความรู้มากเลย ที. เอส. เอลเลียต สอนว่าคนเราจะรักกันได้ยืดยาว ทุกครั้งที่เห็นหน้ากัน ต้องถือว่าเขาคือคนใหม่ที่เรายังไม่เคยรู้จัก และเราต้องแสวงหา ค้นหาว่าเขาต้องการอะไร สนใจเขา สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกัน เมื่อคนนึงไปทำงาน คนนึงอยู่บ้าน ให้ถือว่าตายจากกัน และคนที่กลับมาบ้านให้ถือว่าเป็นคนใหม่ เขามีอะไรติดค้างมาจากที่ทำงานเราต้องอยากรู้ทุกวันเวลา เพราะคนเราเปลี่ยนไปทุกวัน เวลาไปฟังคนแปลกหน้าพูด ชีวิตเราไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะว่าเมื่อชั่วโมงที่แล้วเรายังไม่ได้ฟังคำนี้ เราเจอกัน เราเปลี่ยนชีวิตกันไปคนละนิดคนละหน่อย ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดทุกวินาที เขาถึงบอกว่าต้องมองให้เห็นคนปัจจุบัน ไม่ใช่ไปคิดว่าเขาเป็นอย่างนี้และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป คิดอย่างนี้ความรักถึงจะอยู่ตลอดไป แล้วครูก็ใช้ทฤษฎีนี้กับชีวิตการแต่งงานของตัวเอง ซึ่งได้ผล ชีวิตเป็นฮันนีมูนตลอดเวลา (ยิ้ม)

ประภาส: ทุกวันนี้ปล่อยวางมากขึ้นมั้ยครับ

มีแต่คนบอกให้ปล่อยวาง แต่จะเรียกว่าปล่อยวางก็คงไม่ใช่ มันเป็นไปตามกาลเวลา อย่างวันนี้ได้มาเจอลูกๆ มันก็มีอะไรที่ดึงเราออกไปชั่วขณะ รู้สึกค่อยยังชั่วขึ้น เพราะอยู่คนเดียวเมื่อไรได้เรื่อง (หัวเราะ) อยู่คนเดียวแล้วเหงา อยู่คนเดียวแล้วนึกถึงอดีต แต่ว่าหลังๆ ดีขึ้นนะ
เพียงแต่ถ้าจะบอกว่าปล่อยวางได้อย่างที่เขาพูดกันคงยังไม่กล้าอวดอ้าง คือครูไม่ค่อยดี เรียกว่าเป็นปุถุชนมากเกินไป

ประภาส: ทุกวันนี้ยังได้ดูหนังดูละครอยู่มั้ยครับ

วันก่อนลูกเราไปจองโรงแรมที่นิวยอร์ก จะพาเราไปดูละครบรอดเวย์ แต่เรารู้สึกว่าถ้าไม่มีหมอตรง ไปไหนก็ไม่มีประโยชน์ เลยบอกลูกว่าแม่ไม่ไป คือจิตมันไม่มีความรู้สึกอยากที่จะไปโดยไม่มีเขา ชีวิตนี้พอเขาจากไปแล้วความสุขอยู่ที่นักเรียน อยู่ที่ได้เห็นพวกเรา
ไม่ได้ต้องการจะไปเที่ยวที่นั่นที่นี่เพราะตลอดเวลาที่แต่งงานครูไม่เคยไปไหนโดยไม่มีหมอตรงเลย ไม่เคยไปดูหนังคนเดียว ไม่เคยไปเที่ยวคนเดียว มีอยู่อย่างเดียวที่ไปคนเดียวคือไปกำกับละคร เพราะครูถือว่าครูเลื่อนการแต่งงานมาตลอดจนถึง 14 ปี พอแต่งงานครูก็พยายามล้างบาปด้วยการอยู่กับเขา อยู่บ้าน แล้วก็ทำทุกอย่างตามที่ ที. เอส. เอลเลียต ว่า แล้วเราก็มีความสุขมาก

จนกระทั่งวันหนึ่งตอนทำเรื่อง ยอดปรารถนา วันสุดท้ายที่เล่นละคร เรามีงานเลี้ยงกันนิดหน่อย เขาก็มา แต่ตอนขับรถกลับบ้าน เขานั่งเงียบ ครูถามว่าทำไมนั่งเงียบอย่างนี้ เขาบอกเขาเกลียดโรงละคร เขาถามเราว่า รู้หรือเปล่าเวลาเราทำละครเราอยู่กับเขาแค่ครึ่งตัวเท่านั้น ตอนนั้นลูกเราถามทุกวันว่าทำไมแม่ไม่มากินข้าว แม่หายไปไหน โอ้โห ครูเพิ่งจะรู้ว่าเขาเดือดร้อนแค่ไหน ทำมาตั้งกี่เรื่องแล้ว แล้วเขาไม่เคยบ่นเลย แถมยังมารับกลับทุกวันหลังจากเราซ้อมละครเสร็จ ครูเลยขอโทษ บอกว่าต่อไปจะเลิกทำละครแล้ว ไม่ทำแล้ว สัญญากันอย่างดิบดี พอวันรุ่งขึ้นไปห้องที่จุฬาฯ ตอนนั้นเห็นหนังสือ The Good Woman of Setzuan หรือ คนดีที่เสฉวน วางอยู่ก็พลิกอ่าน เห็นว่า แบร์ทอลท์ เบรคชท์ เขียนดี เลยคิดว่าแปลไปใช้เป็นแบบฝึกในห้องสอนดีกว่า เพราะสัญญาไว้กับเขาว่าจะไม่ทำละครอีกแล้ว แปลไปแปลมาจนจบเล่ม เอ๊ะ ยังไงดี นึกไปนึกมาอยากทำละครเรื่องนี้ ลงท้ายก็กลับไปบอกเขาว่าสงสัยจะทำละครอีกเรื่องนะ เขาบอกตราบใดที่หมายังกินขี้เราก็ไม่หยุดทำละครหรอก เขารู้ (หัวเราะ) ตั้งแต่นั้นเขาเลยไม่ว่าอะไร แล้วเราก็ทำตัวดี

อรชุมา: ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ครูอยากย้อนกลับไปช่วงไหน

(ทิ้งตัวลงเอน สีหน้าแววตาครุ่นคิด มีรอยยิ้มปรากฏที่มุมปาก)

ขอเก็บไว้หมดเลย เพราะว่ามีอะไรที่ดีๆ เยอะเหลือเกิน ชีวิตเป็นสิ่งที่ดีนะ ครูขอบใจที่ได้มีชีวิตนี้ มีนักเรียนอย่างนี้ที่ให้ความรักกับครู พูดแล้วขนลุกเลย มีความรักจากลูก 5 คน ลูกที่เบ่ง 3 คน ลูกสะใภ้คนนึง ลูกเขยคนนึง กับนักเรียนหมื่นนึง จะมองไปทางไหนก็ได้รับแต่ความเมตตา ทุกคนกตัญญูมากๆ ทำให้ทุกวันนี้ครูมีความสุข ตอนที่สูญเสียหมอตรงไป ครูซึมเศร้ามาก เพราะว่าเรารักกันมาก แล้วไม่เคยจากกันเลย ในช่วงเวลาที่เขาเจ็บป่วย 3 ปีครูอยู่กับเขาทุกวินาที ช่วงท้ายๆ ของชีวิตหมอตรง ครูยอมกินข้าวเย็นๆ ไม่ยอมเอาข้าวไปอุ่นไมโครเวฟนอกห้อง ไม่อยากห่างจากเขา แล้วพอเขาจากไปจริงๆ ก็กินไม่ได้ ร้องเพลงไม่ได้ ตั้งแต่หมอตรงเสีย ร้องได้เพลงสุดท้ายคือเพลง เมื่อไหร่เมื่อนั้น ที่อัดแผ่นเสียงให้เขาเพื่อแจกในงานศพ หมอเขาว่ามันเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ เขาว่าเราสะเทือนใจรุนแรงมาก ครูเป็นคนที่รักอะไรแล้วถลำลึกมาก รักละครก็รักถลำลึกมาก รักอย่างเดียวเลย ทุกวันนี้ครูยังกลับมาร้องเพลงไม่ได้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เสียงจะคืนมา แต่ว่าโชคยังดีที่มีความรักจากลูกและลูกศิษย์
ทำให้ทุกวันนี้ครูยังมีชีวิตอยู่ได้

(จากคอลัมน์ a day with a view – a day 131 กรกฎาคม 2554)

คลิกอ่านบทสัมภาษณ์ตอนอื่นๆ ได้ที่นี่
ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
ตอนที่ 3

ภาพ นวลตา วงศ์เจริญ

AUTHOR