ปีนี้สอนให้รู้ว่า “ไม่มีใครก้าวผ่านความเจ็บปวดที่เจอมาได้หรอก” ไมค์ พิรัชต์

Highlights

  • หากมองว่าเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตเป็นดั่งขั้นบันได ชีวิตของ ไมค์–พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล คงผ่านจุดที่ยืนอยู่บนยอดสูงสุดมาแล้วหลายต่อหลายหนในเส้นทางอาชีพที่เขาเลือกเดิน
  • จากคู่หูดูโอ้กอล์ฟ-ไมค์ สู่เส้นทางนักแสดงในระดับอินเตอร์ แม้ดูสวยงาม แต่เขาบอกว่ากว่าจะเป็นอย่างทุกวันนี้ เส้นทางที่เดินมานั้นไร้กลีบกุหลาบ
  • 'ปีนี้เป็นปีที่ผมไม่มีความสุขเลยสักวัน' คือสิ่งที่ไมค์สะท้อนให้ฟังถึงปี 2020–ปีที่เขาต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่กลับเข้ามารุมเร้าอีกหน
  • บทสัมภาษณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งในซีรีส์ 'ปีนี้สอนให้รู้ว่า' บทความซีรีส์พิเศษส่งท้ายปีจาก a day ว่าด้วยสิ่งที่ผู้คนจากหลากหลายแวดวงเรียนรู้ในปี 2020

หากมองว่าเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตเป็นดั่งขั้นบันได ชีวิตของ ไมค์ – พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล คงผ่านจุดที่ยืนอยู่บนยอดสูงสุดมาแล้วหลายต่อหลายหนในเส้นทางอาชีพที่เขาเลือกเดิน

จากนักร้องคู่หูดูโอ้ในประเทศ สู่การสร้างผลงานและชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่น และปัจจุบันกำลังเติบโตไปได้ดีและได้ไกลในเส้นทางการแสดงระดับอินเตอร์

หากมองเพียงแค่นั้น ชีวิตของชายตรงหน้าเราคงเป็นดั่งชีวิตที่ใครต่อใครพากันใฝ่ฝันและอิจฉา

แต่เพราะนี่คือชีวิต จึงไม่มีเรื่องราวใดหรือมนุษย์คนใดสมบูรณ์แบบขนาดนั้น–หลายต่อหลายครั้งมรสุมชีวิตก็ซัดให้เขาดิ่งลงก้นเหว 

‘ไม่มีที่ยืนในสังคมไทย ไม่มีที่ให้ไปอีกแล้ว เหมือนท้องฟ้าที่มืดสนิท ไม่มีดาว’ คือสิ่งที่เขารู้สึกในวันและเวลาเหล่านั้น

ไมค์ พิรัชต์

ไม่นานมานี้ เป็นอีกครั้งที่ชื่อของ ไมค์ พิรัชต์ โผล่ขึ้นมาในกระแส 

หากจะนับว่านี่คือครั้งแรกๆ ที่มีคนหันกลับมาให้ความสนใจและจับจ้องไปที่เขาอีกครั้ง หลังข่าวใหญ่ที่ทำให้เขาได้เริ่มบทบาทความเป็นพ่อเมื่อปี 2557 ก็คงไม่ผิดนัก

แม้ไม่ใช่ข่าวคราวที่ดีนัก แต่ก็นับเป็นจังหวะเวลาที่น่าสนทนา

เพราะว่ากันว่าในวันคืนที่มรสุมซัดถาโถมเข้ามา

เราจะรับรู้บทเรียนชีวิตได้ดีขึ้น

ไมค์ พิรัชต์

 

เพราะโควิด-19 ระบาดหนัก ปีนี้เลยได้อยู่ไทยยาว เป็นยังไงบ้าง

ใช่ กลับมาทำธุระตั้งแต่ต้นปี แล้วก็ติดอยู่ที่นี่ยาวเลย (ยิ้ม)

จริงๆ มีแพลนจะกลับจีนหลายรอบแล้วแหละ แต่ก็ยกเลิกไปหลายรอบแล้วเหมือนกัน อย่างที่รู้กันอยู่ว่าปีนี้มีปัญหาหลายอย่างเข้ามาให้ผมต้องแก้ไข จัดการ ก็เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นอยู่แก้ปัญหาในชีวิตให้จบก่อน

 

นับว่าปี 2020 เป็นปีที่ปัญหาซัดคุณอย่างหนักหน่วง

ที่จริงก็หนักมาเรื่อยๆ ทุกปี แต่ก็ใช่ ปีนี้คงหนักสุด 

แต่ผมมองว่าทุกสิ่งที่เกิด ทุกปัญหาที่เจอ มันเป็นแค่อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตอยู่ดี ไม่ได้มองว่าเกิดเรื่องราวนี้ขึ้นแล้วโลกจะแตกสลาย ถึงล้มเราก็พร้อมลุกขึ้นใหม่

ไมค์ พิรัชต์

ไม่กลัวการเริ่มต้นใหม่

ไม่กลัวนะ อาจเพราะชีวิตผมตั้งแต่เข้าวงการมาก็เหมือนต้องเจอกับการเริ่มต้นใหม่อย่างนี้ตลอดเวลาอยู่แล้ว วงการบันเทิงมันเป็นอย่างนี้ มีขึ้น มีลง ไม่จีรัง อย่างการไปทำงานที่จีนก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ ปีนี้ผ่านไปผมก็ต้องเริ่มต้นกับปีหน้าใหม่อีกอยู่ดี 

ที่จริงไมค์ พิรัชต์ ตายไปหลายเวอร์ชั่นแล้วนะ ผมแทบจำตัวเองสมัยก่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ เปลี่ยนไปทุกปี และปีหน้าก็คงเปลี่ยนไปอีก แต่สำหรับผมปีนี้ ถ้าเรียกว่าเป็นปีแห่งการตื่นรู้ก็น่าจะได้ ผมได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงิน หรือคนรอบข้าง และที่ชัดเจนที่สุดคือผมได้เห็นตัวเองหลังจากที่ละเลยมาตลอด 

 

เพราะอะไรถึงเป็นอย่างนั้น

เพราะโควิด-19 ปีนี้ผมเลยทำงานน้อยลง มีเวลาโฟกัสที่ตัวเองมากขึ้น มันเลยทำให้ผมเห็นว่าชีวิตของเรามีข้อผิดพลาดหรือสิ่งที่ผมคิดว่าผิดปกติเยอะมาก

ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยได้ใช้ชีวิตแบบที่คนอื่นเขาใช้กัน คนอื่นอาจมีวัยเด็กที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียน มีเพื่อน มีสังคม เขามีประสบการณ์ให้คุยให้แชร์กัน แต่ผมไม่มี ผมโตมาแบบเดี่ยวๆ มีโลกส่วนตัว มีเพื่อนบ้างเล็กน้อย แทบไม่ได้ออกไปเจอสังคม 

คำถามที่ผมถามคนรอบข้างบ่อยมากคือ วันว่างๆ คนปกติธรรมดาเขาทำอะไรกัน เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยว่าง ปีนี้ผมเลยรู้สึกดีกับการได้เป็นคนธรรมดามากขึ้น ได้ทำกับข้าว ล้างจาน เก็บขยะ ทำหลายๆ อย่างที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ทำ

ไมค์ พิรัชต์

ทำไมถึงโหยหาความธรรมดานัก เป็นคนดังไม่ดีตรงไหน

ถ้าตอบแบบไม่สวยหรู คือเอาจริงๆ ผมไม่เคยอยากเข้าวงการบันเทิงเลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่อยู่ๆ จับพลัดจับผลูเข้ามาเป็นศิลปินในโครงการ G-Junior ด้วยความเป็นเด็ก ได้เจอได้เล่นกับเพื่อนมันก็สนุก แต่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเป็นดารา เป็นคนของประชาชนคืออะไร ผมใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งนี้มาเรื่อยๆ จนมันเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในชีวิตของเรามาตลอด ไม่รู้จะไปทำอะไร 

ตอนเด็กผมเลยคิดว่าสิ่งสำคัญสิ่งเดียวของเราคงเป็นชื่อเสียง ผมคงต้องรักษามันไว้ ต้องต่อสู้เพื่อให้ตัวเองดังขึ้น แต่ตอนนี้ความคิดผมเปลี่ยนไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผมไม่ใช่เรื่องของชื่อเสียง แต่มันคือการได้ใช้ชีวิต

มันเลยมีคำว่าคนในอยากออกคนนอกอยากเข้าไง เพราะคนนอกไม่เข้าใจว่าข้างในวงการเป็นยังไง ส่วนคนในที่เข้าใจแล้วก็อยากออกไปอยู่ที่อื่น  

ไมค์ พิรัชต์

เคยคิดอยากออกจากวงการบ้างหรือเปล่า

เคยนะ (ยิ้ม) ช่วงหลังจากถ่ายละครเรื่อง รากบุญ กับ Full House วุ่นนักรักเต็มบ้าน ผมเคยมีความคิดอยากออกไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่พอละครดัง คนรอบข้างก็บอกว่าไปทำไมล่ะ ตอนนี้กำลังดี ผมเลยโอเค งั้นคว้าโอกาสไว้ก่อน ทำงานต่อ  

 

ล้มเลิกความคิดได้ง่ายๆ แบบนั้น

ตอนนั้นจะเรียกว่าผมเป็นคนยังไงดีล่ะ ผมเป็นคนที่ไม่ได้ชัดเจนกับการตัดสินใจของตัวเองเท่าไหร่ เป็นคนเหลาะแหละกับทุกสิ่งทุกอย่าง ตัดสินใจอะไรก็กลัว ผมเลยทำตามคนอื่นไปเรื่อยๆ ใครคิดยังไง ใครอยากให้ไปทางไหนก็ไป 

จริงๆ ตอนนั้นจริงจังถึงขั้นดูโรงเรียนไว้แล้วนะ แต่สุดท้ายพอไม่ได้ไป ผมเลยคิดว่าคงออกไปจากตรงนี้ไม่ได้แล้วแหละ งั้นผมไม่ฝืนชะตาตัวเองแล้วกัน ถ้าปัจจุบันผมยังอยู่ได้ งั้นผมทำมันให้ดีที่สุด ทั้งที่จริงๆ ผมเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองสักนิด ไม่เคยมั่นใจในความสามารถของตัวเองเท่าไหร่ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีความมั่นใจ 

แล้วทำไมตอนนั้นคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจอย่างคุณถึงกล้าตัดสินใจรับโอกาสจากจีน แล้วออกเดินไปยังเส้นทางนั้น ทั้งๆ ที่ดูเหมือนต้องเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ทั้งหมด

(เงียบนาน) เอาตรงๆ เพราะตอนนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีที่ยืนในสังคมไทยอีกแล้ว ไม่มีที่ให้ยืน ไม่มีที่ให้ไป เหมือนท้องฟ้าที่มืดสนิท ไม่มีดาว

ผมเป็นคนคิดเยอะ คิดมาก คิดตลอดเวลา คิดจนทนอยู่กับความรู้สึกนั้นไม่ได้ รู้สึกแค่ว่าต้องไปที่ไหนสักแห่ง ไปจากสิ่งตรงหน้าที่ต้องรับรู้ เพราะย้อนไปตอนนั้นมีหลายคนบอกผมนะ ว่าชีวิตในวงการของเรามันจบ มันหมดสิ้นไปแล้ว ทุกอย่างพังแล้ว แต่สุดท้ายผมก็ยังฝืน ถ้าที่นี่ไม่ต้อนรับก็ไปหาที่อื่นที่เขาพร้อมต้อนรับ เริ่มใหม่จากศูนย์ บอกตัวเองว่าไม่ต้องยึดติดกับอะไรแล้ว อดีตก็คืออดีต แค่ไปเริ่มต้นใหม่ 

สิ่งที่คิดในใจตอนนั้นคืออะไร 

ทำไปเรื่อยๆ และสุดท้ายเวลามันก็พาเราผ่านอุปสรรคไปเรื่อยๆ ผ่านสิ่งต่างๆ มาเรื่อยๆ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่ก็เป็นปกติของชีวิตคน 

 

คุณเคยบอกเองว่าเส้นทางที่จีนของคุณไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่มีกระทั่งก้านกุหลาบ ทำไมถึงบอกแบบนั้น

(หัวเราะ) เพราะกว่าจะมาถึงวันนี้ ถ้าคิดภาพว่านี่เป็นขั้นบันไดที่ต้องเดินขึ้นไป ทุกวันนี้คนเขาก็มองเห็นแค่ตอนที่ผมยืนอยู่ข้างบนแล้วเพราะมองจากอีกฝั่ง เขาเลยไม่รู้ว่าขั้นบันไดที่ผมเดินผ่านมีทั้งเศษแก้ว เศษหนาม เขาไม่เห็นว่าที่ผ่านมาเราเจออะไรมาบ้าง

ผมใช้เวลาหลายปีมากกว่าจะเข้าใจวัฒนธรรม การวางตัวในฐานะศิลปิน การใช้ชีวิตที่นี่ สิ่งต่างๆ ที่เคยทำได้ที่ไทย ผมทำไม่ได้เลย พออยู่ต่างประเทศเราถูกบีบอยู่ในข้อจำกัด 

ผมเคยคิดเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ว่าการเข้าวงการนี้เหมือนเซ็นสัญญากับซาตาน ยิ่งอยากได้มากเท่าไหร่ สิ่งที่ต้องแลกมาก็มากขึ้นเท่านั้น และผมดันต้องการสิ่งที่สูงมาก สิ่งที่ผมต้องแลกมามันเลยเยอะ

กับหลายๆ เรื่องที่เจอมา ฟังดูคุณเป็นคนเข้มแข็งนะ

ผมไม่เข้มแข็ง (ตอบทันที) อ่อนแอที่สุดในหมู่คนรอบข้างที่รู้จักด้วยซ้ำ เป็นคนเซนซิทีฟ คิดมาก ขี้นอยด์ ปล่อยวางไม่ค่อยได้ พวกนี้มันเป็นสันดานของผม เพียงแต่ว่าสิ่งที่ผมต้องทำ ผมก็แค่ต้องทำ สิ่งที่ผมต้องแก้ ผมก็แค่ต้องแก้ ก็แค่นั้น

ผมเคยอ่านเจอคำหนึ่ง เขาบอกประมาณว่า ‘ปัญหาที่เกิดขึ้น คุณต้องถามตัวเองว่าแก้ได้ไหม ถ้าแก้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะมันทำอะไรไม่ได้แล้ว แต่ถ้าแก้ได้ก็ไม่เป็นอะไรอีกนั่นแหละ เพราะสุดท้ายปัญหานั้นจบไปแล้ว’ สุดท้ายมันก็จบที่คำว่าไม่เป็นไร อันนี้แก้ไม่ได้ โอเค ปล่อย อันนี้แก้ได้ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล 

บางทีเราต้องคิดอย่างนี้ แต่ก็ใช่ว่าเราปล่อยหรือบอกว่าไม่เป็นไรกับทุกๆ อย่าง มันได้แค่บางเรื่องเท่านั้น บางเรื่องบางปัญหาในชีวิตที่มันเกิดขึ้นวันนี้ เราก็ควรต้องแก้วันนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้มันกองๆ จนเป็นเนื้อร้ายแล้วมากัดกินในอนาคต ซึ่งที่ผ่านมาผมปล่อย ปล่อยกับทุกๆ อย่าง ทุกวันนี้ผมเลยต้องมานั่งแก้ปัญหาที่ผมเป็นคนกองมันขึ้นมาเอง เพราะผมปล่อยมันมาเรื่อยๆ ผมเหลาะแหละ จะมาแก้วันนี้มันก็ยาก เหมือนคนเป็นมะเร็ง ถ้ารักษาตั้งแต่ระยะแรกโอกาสหายก็สูง แต่ถ้าไปรักษาระยะที่สี่โอกาสหายก็น้อยลง

 

แล้ววันนี้คุณก้าวผ่านความเจ็บปวดนั้นมาได้หรือยัง

ไม่มีใครก้าวผ่านความเจ็บหรือความรู้สึกต่างๆ ที่เจอมาได้หรอก มันอยู่ในความทรงจำของเรา ทุกครั้งที่คิดถึงหรือมีใครพูดถึงอะไรที่เกี่ยวข้อง ผมก็ยังย้อนความรู้สึกนั้นได้อยู่ดี 

ทุกอย่างใช้เวลา การเยียวยาบาดแผลทุกอย่าง แผลทุกที่ในร่างกายของคนเรามันก็ใช้เวลา ถึงสุดท้ายมันตกเป็นสะเก็ดแล้วหลุดออกไป อาจกลายเป็นแผลเป็น แต่ทุกครั้งที่มองเราก็จะคิดได้ว่า อ๋อ แผลนี้ได้มายังไง มันเป็นแค่แผลเป็นที่ไม่เจ็บแล้ว แต่ในอนาคตผมอาจเป็นแผลอีกก็ได้ มันเป็นเรื่องธรรมดามากที่คนเราจะทุกข์ เพียงแค่ว่าปีนี้มันเป็นปีที่ผมต้องเช็กบิล ก็ไม่แปลกที่ทุกอย่างถาโถมจนเราทุกข์ เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว เพราะผมทำตัวเอง ผมไม่แก้ ผมเหลาะแหละ มาเปลี่ยนเอาตอนนี้เหมือนรักษามะเร็งระยะที่สี่แล้ว ก็ต้องทำคีโมเยอะหน่อย ทรมานเยอะหน่อย เป็นเรื่องธรรมดา

มองว่าเป็นปีที่มีสุขหรือมีทุกข์มากกว่ากัน

(นิ่งเงียบนาน) พยายามนึกถึงความสุขอยู่ แต่คิดไม่ออกจริงๆ เอาตรงๆ นะ ปีนี้เป็นปีที่ผมไม่มีความสุขสักวัน นึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าวันไหนคือวันที่มีความสุข เพราะในหัวผมมีเรื่องกังวล เรื่องนั่นเรื่องนี่อยู่ตลอดเวลา ต่อให้ผมหัวเราะแต่ผมก็ไม่ได้มีความสุขหรอก

แล้วกับปีแย่ๆ แบบนี้ มีอะไรที่คุณอยากขอบคุณไหม

เยอะมากนะ (คิด) แต่ผมอยากขอบคุณตัวเอง ขอบคุณตัวเองที่วันนั้นไม่ยอมแพ้ ขอบคุณตัวเองที่ไม่ได้ท้อกับมัน ขอบคุณที่ในชีวิตนี้ไม่ว่าเจอเรื่องราวอะไรมา ผมล้มแล้วลุก แล้วก็เดินต่อทุกครั้ง ทั้งๆ ที่ตัวมีแผลเต็มไปหมด แต่ผมก็เดินแล้วยิ้มกับมันได้ ขอบคุณตัวเองทั้งในอดีตและปัจจุบันที่เปลี่ยนมาได้ขนาดนี้ และขอบคุณตัวเองในอนาคตด้วยที่จะเปลี่ยนไปให้ดีกว่านี้ 

ปีที่ผ่านมาคุณขอบคุณตัวเองบ่อยไหม

ไม่ค่อยนะ ผมไม่ค่อยนึกถึงตัวเองเท่าไหร่ ปกติเวลาใครให้ขอบคุณอะไรก็ขอบคุณคนนั้นคนนี้ แต่ก็เพิ่งมานึกได้ว่าต้องขอบคุณตัวเองบ้างแล้วแหละเนอะ (ยิ้ม)

 

อะไรคือสิ่งที่เพิ่งมาค้นพบว่าเป็นสิ่งสำคัญกับชีวิตตัวเองในปีนี้

ชีวิตมั้ง สำคัญสุดก็คงชีวิตนี่แหละ

 

ทำไม

ผมแค่คิดว่าชีวิต ณ ปัจจุบันนี้ แค่ตอนนี้ยังหายใจ ยังตื่นมาอยู่ ยังกินข้าว ยังนอน ยังมีชีวิต นี่แหละคือสิ่งสำคัญ เพราะถ้าไม่มีตรงนี้อย่างอื่นมันก็ไม่สำคัญหมด เพื่อน ทุกคนรอบข้าง ชื่อเสียง เงินทอง บ้าน ที่อยู่ ของใช้ ของรัก ทุกอย่างไม่มีความหมายแล้ว สิ่งที่เพิ่งมาค้นพบเลยคือเรื่องนี้ ว่าสิ่งสำคัญของเราคือชีวิตและลมหายใจ 

สุดท้ายแล้ว ปีนี้ให้บทเรียนอะไรกับคุณบ้าง

ที่จริงปีนี้เป็นปีที่ผมได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะมากมายนะ เยอะกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมาด้วยซ้ำ ผมได้มิตรภาพที่ดี ได้เพื่อนใหม่ๆ ได้รู้ว่ามีคนที่คอยเคียงข้างเรา สู้กับเราในวันที่ต้องเจอเรื่องร้ายๆ เรื่องแย่ๆ แต่ปีนี้ให้บทเรียนอะไรกับผมเหรอ (นิ่งคิด) คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ย้ำในสัมภาษณ์นี้บ่อยๆ มั้ง 

ปัญหาของเราที่เกิดขึ้นวันนี้ก็ต้องแก้วันนี้ อย่าปล่อยให้มันเป็นเนื้อร้ายมาทำร้ายเราในอนาคต

 

สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ณัฐปคัลภ์ ทัศนวิริยกุล

นักเรียนฟิล์มที่มาฝึกงานช่างภาพ รักการถ่ายรูป ชอบกินของอร่อย และชอบใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนสนิท คนรัก