ปีนี้สอนให้รู้ว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็เผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ” – วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ

Highlights

  • ปีนี้คือปีที่ วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ บรรณาธิการ นักเขียน และนักแปล พบจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตเมื่อตัดสินใจเกษียณหลังจากทำงานในวงการสื่อมา 25 ปี
  • การเกษียณในความหมายของวุฒิชัยแตกต่างจากนิยามคำว่าเกษียณที่คนทั่วไปเข้าใจ เพราะเขายังคงทำงานและย้ำว่า "เราหยุดทำงานไม่ได้หรอก เพราะงานมันจะนิยามความหมาย งานจะเป็นสิ่งที่ทำลายความเลวร้าย" เพียงแค่เขาเปลี่ยนจากการทำงานในออฟฟิศไปทำงานในนิยามอีกแบบแทน

ในฐานะที่อยู่ร่วมชายคาออฟฟิศเดียวกัน ทำให้ในรอบปีที่ผ่านมาผมมีโอกาสสนทนากับ วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ หรือ ‘พี่อ๋อง’ ของน้องๆ ในวงการบ่อยครั้ง

ปี 2562 คือปีที่ชีวิตเขาพบจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งเมื่อตัดสินใจจะเกษียณตัวเองหลังจากทำงานในวงการสื่อมา 25 ปี

เขาเริ่มต้นเส้นทางในวงการด้วยการเป็นนักข่าวสายการเงินที่หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ เมื่อปี 2537 หลังจากนั้นจึงย้ายไปทำงานนิตยสารที่ GM กว่าสิบปี ก่อนจะลาออกมาใช้ชีวิตฟรีแลนซ์อยู่ช่วงหนึ่ง จนกระทั่งมารับตำแหน่งบรรณาธิการบริหาร a day BULLETIN ในช่วงต้นปี 2560

นอกเหนือจากบทบาทบรรณาธิการ เขายังเป็นนักเขียนเจ้าของหนังสืออย่าง เมื่อถึงเวลาดอกไม้จะบานเอง และนักแปลหนังสือขายดีอย่าง อิคิไก ความหมายของการมีชีวิตอยู่ และ คินสึงิ ความงามของบาดแผลแห่งชีวิต

ตอนที่รู้ว่าเขาตัดสินใจเกษียณตัวเอง ผมทั้งไม่แปลกใจและประหลาดใจคละเคล้ากันไปสองความรู้สึก

ไม่แปลกใจ เพราะครั้งหนึ่งระหว่างเดินทางกลับจากงานเสวนา บนรถยนต์ที่เราโดยสารร่วมกันมา เขาเคยเปรยเรื่องการลาออกจากงานประจำ แต่ตอนนั้นเขาบอกไว้ว่าคงอีกสักปีสองปี

ผมจึงประหลาดใจ ที่วันนั้นที่เขาว่ามาถึงเร็วกว่าที่คาด

สิ่งที่ผมสงสัยคือในปีที่ชีวิตเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญเขาเรียนรู้สิ่งใด และอะไรทำให้ชายผู้ที่เคยย้ำกับผมว่า เราก็แค่ก้มหน้าก้มตาทำงานไป–ไม่ว่าใครจะมองเห็นหรือไม่ แสงไฟจะสาดส่องหรือเปล่า–ก็ยืนหยัดทำไป จึงตัดสินใจลาออกจากงานแล้วหันไปใช้ชีวิตเกษียณในวัยเพียง 47 ปี

และบทสนทนากับเขาในเย็นวันนั้น ผมหวังว่ามันจะมีคำตอบ

ย้อนกลับไปช่วงต้นปี คุณได้เขียนปณิธานปีใหม่อะไรไหม ทำอะไรสำเร็จไปบ้างหรือเปล่า

ไม่เลย ไม่ได้เขียนปณิธานปีใหม่ แล้วสิ้นปีก็ไม่ได้อยากจะเขียนสรุปอะไร

ผมรู้สึกว่า วิธีคิดแบบการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จ มีประสิทธิภาพสูง มันเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นานนี้ตอนที่โลกถูกปฏิวัติด้วยเทคโนโลยีแบบใหม่ วิธีคิดว่าเราจะต้องสรุปความสำเร็จประจำปีนี้ว่าเราทำอะไรมาบ้าง จะต้องวางแผนว่าปีหน้าต้องทำอะไร มันคือการวางแผนเหมือนเวลาเราเขียนโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ ที่มันจะต้องมีลำดับ ถ้ามาถึงตรงนี้แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ ทำแบบนี้ก็จะมาทางนี้ ซึ่งจริงๆ ผมค้นพบว่าชีวิตมันไม่ได้เป็นแบบนั้น อะไรจะเกิดขึ้นมันก็เกิด โดยที่เราไม่สามารถจะไปควบคุมบังคับอะไรมันได้

ชีวิตเรามันไม่ได้เป็นเหตุเป็นผล มันไม่ใช่ว่าถ้าเราวางแผนไว้แบบนี้ แล้วเราทำมัน แล้วพอถึงสิ้นปีคุณจะได้บทสรุปแบบนี้ ชีวิตมันไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลแบบนั้น มันไม่มีระบบเหตุผลนี้อยู่ มันแค่ดำเนินของมันไปตามปกติ แล้วส่วนใหญ่สิ่งที่เกิดขึ้นก็มักจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวัง เราทำได้ดีที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราไม่ได้คาดหวังไปเรื่อยๆ

 

เหมือนคุณเชื่อในการอยู่กับชีวิตที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังให้ได้ มากกว่าการอยู่กับความคาดหวัง

ใช่ แต่เราไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายถึงขนาดขอให้เราผิดหวังเอาไว้ก่อนเพื่อที่เวลาสมหวังจะได้ดีใจนะ มันไม่ได้มืดหม่นขนาดนั้น เพียงแต่เราแค่รู้สึกว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขอให้เรามีกำลังที่จะยืนหยัดทำอะไรบางอย่างต่อไปมากกว่า

โลกมันมักจะบอกเราเสมอว่า ถ้าเราทำสิ่งนี้แล้วเราจะได้สิ่งนี้เป็นการตอบแทน อย่างเช่นว่าคุณเปิดทีวีดู คุณจะเห็นเขาบอกว่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อนี้สิแล้วชีวิตคุณจะดี หรือถ้าคุณกินโยเกิร์ตยี่ห้อนี้คุณจะสมัครงานได้ เขาจะพยายามสร้างชุดความคาดหวังขึ้นมา

ทุกเช้าแม่ผมจะดูรายการข่าวช่อง 3 แล้วมันจะต้องตามมาด้วยรายการ แจ๋ว แล้วมันจะมีบางวันที่มีร้านอาหารร้านนั้นร้านนี้มาโฆษณา นึกภาพคนแก่อายุ 80 แข้งขาไม่ดีแล้ว แล้วเขาได้รับคำมั่นสัญญาว่า ชีวิตเขาจะมีความสุขมากเลย ถ้าเขาได้ไปกินข้าวร้านนี้ แล้วสิ่งที่ผมค้นพบก็คือวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ที่เราพาเขาไปกินข้าวร้านไหนก็ตามที่รายการแนะนำ เขากลับไม่มีความสุขกับชีวิตเขาเลย เขาพบว่าทำไมอาหารมันเค็มมากเลย เขากินแล้วไม่มีความสุขเลย นั่นเพราะว่าเขาได้รับคำมั่นสัญญาจากรายการที่เขาดูในแต่ละวันว่า ถ้าคุณไปกินข้าวนอกบ้านที่ร้านนี้แล้วมันจะอร่อยมากเลยนะ แล้วคุณจะมีความสุขมาก แต่ชีวิตมันเป็นแบบนี้ ถ้าเราคาดหวังว่ามันจะเดลิเวอร์ความสุขความสำเร็จให้คุณ คุณจะไม่มีวันได้รับสิ่งนั้นเลย จนกระทั่งคุณยอมรับว่า ไอ้ชุดความคิดนี้มันไม่มีอยู่จริง จะไปกินอาหารร้านไหนมันก็เท่านี้แหละวะ แล้วคุณก็จะหัวเราะกับมันไง

ดังนั้นถ้าคุณคาดหวังว่าปีใหม่คุณจะต้องได้อะไร หรือคุณวางแผนว่าปีใหม่นี้คุณจะเป็นอะไร มันจะไม่ได้ มันจะมีแค่ว่า ชีวิตมันก็แค่นั้นเอง

แล้วมันมีเป้าหมายอะไรที่คาดหวังผลลัพธ์ได้แน่นอนไหม อย่างเช่นตั้งเป้าว่าจะตื่นเช้ามาออกกำลังกายแล้วสุขภาพจะแข็งแรง ตั้งใจฝึกฝนแล้วจะทำงานได้ดีขึ้น

พอถามมาแบบนี้แล้วผมก็คิดว่า เฮ้ย หรือเรามองโลกในแง่ร้ายเกินไปเปล่าวะ จริงๆ มันต้องมีอะไรบางอย่างที่มันดีอยู่หรือเปล่านะ ใช่ มันต้องมีอะไรบางอย่างที่มันดีอยู่ เพียงแต่ว่า ถ้าเรามองมันแบบกลางๆ เราจะสามารถดำรงรักษาการมองโลกแบบรื่นรมย์หรือว่าเรื่อยๆ ต่อไปได้

มันไม่ใช่ว่าเราไม่มองโลกในแง่ดี และไม่ใช่ว่าเรามองโลกในแง่ร้ายนะ เพียงแต่ว่าถ้าเรามองแบบนี้ มันจะทำให้เราสามารถมองโลกในแง่ดีได้ไง คือถ้าคุณคาดหวังจะพบยูนิคอร์นและทุ่งหญ้าลาเวนเดอร์ คุณจะพบว่าคุณจะไม่ได้พบยูนิคอร์นและทุ่งหญ้าลาเวนเดอร์ แล้วคุณจะไม่สามารถทนมองโลกในแง่ดีแบบนั้นได้

ใช่ คุณออกกำลังกายมันจะต้องทำให้คุณอะไรบางอย่างบ้างแหละ แต่มันก็มีแบรนด์รองเท้าที่ให้คำมั่นสัญญาว่ารองเท้าคู่นี้วิ่งแล้วจะต้องเด้งดึ๋ง แต่เวลาใส่ไปสักพักเราจะรู้ว่ามันก็แค่เท่านั้น แล้วเราจะได้คำมั่นสัญญาครั้งต่อไปจากอีกแบรนด์ว่าเด้งกว่า เสร็จแล้วพอซื้อมาใส่คุณก็จะพบว่ามันก็เท่านั้น คือมันไม่ใช่แบบนั้น ชีวิตมันไม่ได้เป็นไปตามความโอเวอร์ที่เราคิดว่าเราจะสำเร็จ คิดว่าเราจะสุข คิดว่าเราจะสนุก คิดว่าเราจะอร่อย คิดว่าเราจะเก่ง อะไรขนาดนั้น

 

การไม่มีปณิธานปีใหม่มันคนละความหมายกับการไม่มีเป้าหมายในชีวิตใช่ไหม

(นิ่งคิดนาน) มันเป็นคำถามที่เราชอบไปถามคนอื่นเหมือนกัน ถ้าคุณไม่มีแผนแล้วคุณจะมีความทะเยอทะยานหรือเส้นทางที่เดินไปข้างหน้าได้ยังไง

คือไม่ใช่ว่าเราไม่คาดหวังหรือเราไม่มีเป้าหมายนะ พูดว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุดมันก็เกินไป มันแค่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะล้มเหลว ไม่ว่ามันจะผิดพลาด ไม่ว่ามันจะผิดทาง ไม่ว่ามันจะอับอาย ไม่ว่ามันจะเหนื่อย ไม่ว่ามันจะเสียแรงเปล่า เราก็ไม่ต้องมานั่งตีโพยตีพายหรือว่าเสียใจ เหมือนกับว่าวันนี้ไปกินข้าวร้านนี้แล้วพบว่าอาหารเค็ม ปลาไม่สด มันก็แค่วันหนึ่งน่ะ อร่อยก็ดี ไม่อร่อยก็แค่อีกวันหนึ่ง

ถ้าเรามองว่าปณิธานหรือเป้าหมายคือเข็มทิศ การมีสิ่งนี้มันทำให้เราไม่ต้องเสี่ยงจะหลงทางหรือเปล่า

เราว่าเข็มทิศก็ทำหน้าที่แบบหนึ่ง สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือแรงส่ง

วันแต่ละวันที่เรามีชีวิตอยู่เราทำอะไรเอาไว้ มันจะเป็นผลกรรมที่พอกพูนขึ้น แล้วสิ่งเหล่านี้มันจะดันเราไป มันจะส่งแรงให้เราไปต่อ โดยที่องค์ประกอบของแรงคือมันจะมีแรงที่ดัน และอีกหนึ่งองค์ประกอบคือทิศของมัน แรงมันมีทิศด้วย หมายถึงว่าเราทำอะไรสั่งสมไว้ ทิศและแรงส่งของมัน มันจะส่งเราให้ไปทางนั้นต่อ

เราเลยเชื่อว่า เราแค่ปล่อยวางจากความคาดหวัง ก้มหน้าก้มตาทำงานที่เราเชื่อ ที่เราถนัด ที่เราชอบ แล้วทุกอย่างที่เราทำมันเป็นแรงที่ดันเราไปโดยที่มันมีทิศเดิมซ้ำๆ กำกับเอาไว้อยู่แล้ว ถ้าบางครั้งเราเฉไฉมันก็จะพาเราเฉไฉออก แต่ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วถ้าแรงที่เราใส่เข้าไปมันยังเป็นแบบเดิม แบบที่เป็นตัวเรา มันก็จะพาเราไปในทิศเดิม คนอื่นอาจจะคาดหวังเรื่องเป้าหมาย เรื่องทิศ เรื่องการวางแผน แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ต้องสนใจสิ่งที่มันอยู่ตรงหน้าด้วย แล้วถ้าคุณทำมันไปมากพอ มันก็จะส่งคุณไปเรื่อยๆ ไม่ว่าอะไรจะเข้ามา มึงทำไปอย่างที่มึงทำ ดันมันไปเรื่อยๆ ยืนหยัด แต่ถ้าคุณคิดแต่เรื่องเป้าหมาย บางทีปณิธานและเป้าหมายของคุณมันคือชุดเหตุผลที่คนอื่นเขาเซตให้คุณโดยไม่รู้ตัว ปณิธานของคุณ คุณรู้ได้ยังไงว่ามันคือปณิธานของคุณจริงๆ

บางทีเรารู้สึกว่าเราสามารถกำหนดชีวิตเราได้ รู้สึกว่าเราเป็นตัวของตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้กุมชีวิตเรา และเราไม่ได้เป็นตัวของตัวเองแบบนั้นจริงๆ เราทุกคนเป็นผลผลิตของ zeitgeist ซึ่งเป็นคำเยอรมันที่มีความหมายเป็นภาษาอังกฤษว่า spirit of the times หมายถึงยุคนี้ ช่วงเวลานี้ มันมีวิธีคิดแบบไหน เราก็เป็นผลผลิตที่อยู่ในมวลรวมของสปิริตเดียวกัน เรามักจะรู้สึกว่าเราต้องเป็นตัวของตัวเอง แล้วเรากำหนดชะตาชีวิตของเราได้ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่

ถ้ามันเป็นปณิธานของคุณจริงๆ มันจะดีมากเลยไง แต่สุดท้ายปณิธานของคุณมันก็จะตกอยู่ใน spirit of the times อยู่ดี แล้วเป้าหมายที่คุณตั้งเป้ามันก็อาจจะเป็นเป้าที่คุณเห็นคนอื่นตั้งเอาไว้ อยากเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ชั้นนำของเมืองไทย อยากเป็นนั่นเป็นนี่ ซึ่งมันเป็นเป้าหมายแบบที่คุณไม่มีทางรู้เลยว่ามันเป็นคุณจริงๆ หรือเปล่า ฉะนั้นการตั้งเป้าหมายก็ดี แต่ว่าอีกสิ่งที่สำคัญคือคุณต้องพึงพอใจกับวันนี้แล้วก็แสดงฝีมือหรืออะไรก็ตามให้เต็มที่

แล้วอะไรทำให้ปีนี้คุณตัดสินใจลาออกจากหน้าที่การงานอันมั่นคงเพื่อเกษียณ

โหย ผมรู้ตัวมานานมากแล้วนะว่าเราเป็นนักเขียนมากกว่าบรรณาธิการ

ผมเคยไปงานอบรมเกี่ยวกับจิตวิทยาเมื่อหลายปีก่อน แล้วเขาให้ทุกคนจับคู่กันทำแบบฝึกหัดอย่างหนึ่ง เขาบอกว่าให้คุณลองทำท่าทางอะไรบางอย่างที่คุณชอบทำมากเลย ที่คุณทำตอนที่คุณเผลอตอนที่คุณไม่ทันยั้งคิด แล้วมันเป็นท่าที่ติดตัวคุณ คุณทำแล้วสบายใจ เพลิดเพลินโดยไม่รู้ตัว ให้ลองทำท่านั้นออกมา แล้วพอทำท่านั้นไปสักพักช่วยบอกหน่อยว่าเวลาทำท่านั้นคุณคิดยังไง มันเกิดความรู้สึกอะไรกับคุณ

เราก็นั่งคิดว่าเราชอบทำท่าอะไรวะ แล้วเราก็คิดได้ เออ เราชอบทำท่านี้ (ยกมือขึ้นมากำโดยไล่ทีละนิ้วเริ่มจากนิ้วก้อย) แล้วเวลาคุยกับคนอื่น เวลาประชุม ผมชอบทำท่านี้ (วางสันมือบนโต๊ะ เอาปลายนิ้วมือสองข้างมาชนกันเป็นสามเหลี่ยม) เฮ้ย แล้วมันคืออะไรวะ

อ๋อ มันคือท่าสรุปรวมอะไรบางอย่าง มันคือการหาภาพรวมอะไรบางอย่าง มันคือการสรุปรูปแบบของอะไรหลายๆ อย่างให้อยู่ภายใต้กรอบเดียวกัน เราเป็นคนที่สามารถมองเห็นจุดร่วมของอะไรหลายๆ อย่างที่มันไม่เห็นเกี่ยวกันเลย มันมีงานเขียนบางชิ้นของเราที่มีเรื่องเยอะมากเลย แต่ทุกอย่างมันกลายเป็นเรื่องเดียวกันได้ เหมือนกับที่เรากำลังคุยกัน มันคือเรื่องแม่ผมนอนดูรายการ แจ๋ว ที่เขามีความคาดหวัง แล้วมันคือเรื่องเดียวกับ spirit of the times และเรื่องที่ว่าทำไมเราจะต้องมีปณิธาน คุณสังเกตไหมว่าพูดแล้วมันเป็นเรื่องเดียวกัน ผมเป็นคนแบบนี้ แล้วผมมีทักษะนี้ทักษะเดียวในชีวิต ทุกครั้งที่ผมได้ทำสิ่งนี้ ผมจะรู้สึกทรงพลัง ผมจะรู้สึกว่าตัวเองได้เป็นตัวเองแล้วมีพลัง แล้วทำได้ดี พึงพอใจในตัวเองโดยปราศจากความคลางแคลงใจว่าคนอื่นจะชอบไหม แล้วเรามั่นใจว่าถ้าได้ทำสิ่งนี้เราจะมีความสุข โดยอยู่กับสิ่งตรงหน้าโดยที่ไม่ต้องตั้งเป้าหมาย แต่ทักษะความสามารถนี้มันไม่ค่อยได้ถูกใช้ในการทำงานของผมในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกที่คอนเทนต์มัน flow และ flood อย่างทุกวันนี้

เราไม่ได้มุ่งมาดปรารถนาที่จะทำอะไรที่ถือว่ามันเป็นงานประจำแบบนี้อีกแล้ว เราอยากจะทำอะไรที่มันเป็นเรา ถ้าบังเอิญว่ามันขายแล้วมีคนซื้อก็ขายและซื้อ เราพยายามกลั้นใจ หยุด แล้วหลังจากนี้ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น

 

การเกษียณในความหมายของคุณก็คือลาออกมาทำงานที่ตัวเองชอบ ไม่ใช่หยุดทำงาน

ใช่ ไม่ใช่งอมืองอเท้า มันก็คือหาอะไรทำ แต่เราไม่กล้าพูดเต็มปากว่ามันคือการทำงาน ไม่กล้าพูดเต็มปากว่าเราจะเขียนนิยาย เดี๋ยวเราจะแปลหนังสือไปเรื่อยๆ เพราะว่าหนังสือเราจะแปลไปได้เรื่อยๆ ก็ต่อเมื่อหนังสือเล่มเก่าๆ เคยขายดีมาก่อน แล้วก็ยังมีสำนักพิมพ์ส่งงานมาให้เรา แต่ว่าถ้าหนังสือเริ่มเฟดออกจากตลาดไป แล้วเราไม่ได้ไปขอเขาแปล เราก็ไม่ได้ทำงานแล้วหรือเปล่า ฉะนั้นคือเราก็กุมเงินที่เรามีอยู่ แล้วเราก็ไม่ซื้อของอะไรเพิ่มหลังจากนี้ ใช้จ่ายอย่างประหยัด ก็อยู่ไป ทำอะไรได้ก็ทำ มันก็ก้ำกึ่งน่ะครับ คาดหวังนิดๆ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย

คุณเคยลาออกจากงานประจำมาแล้วครั้งหนึ่ง การลาออกครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนยังไง

เราว่าคล้ายๆ กันเลย ผมทำงานตั้งแต่ปี 2537 อยู่ในวงการนี้มา 25 ปี มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมลาออกจากนิตยสาร GM มาเป็นฟรีแลนซ์ ตอนนั้นไม่ได้เกษียณ แต่มันก็เป็นชีวิตแบบแค่ไหนแค่นั้น ใกล้เคียงกับตอนนี้

เราก็ใช้ชีวิตอยู่บ้าน อ่านหนังสือ ดูซีรีส์ เขียนหนังสือ รับงานมาก็รับผิดชอบให้มันเสร็จ แล้วตอนเย็นเวลาเดินไปในหมู่บ้านจัดสรรมันจะมีสวนหย่อมเล็กๆ เวลาก้มดูดอกหญ้าที่ขึ้นแล้วเราสงสัยว่า ทำไมเมื่อก่อนเราไม่เคยมีเวลาที่จะมามองเห็นความงามอะไรแบบนี้เลยวะ เราไม่เคยกลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ตอนเห็นดอกหญ้ามันขึ้นแล้วเรารู้สึกท่วมท้นมากเลยนะ เรามีความสุขมากเลยกับชีวิตฟรีแลนซ์ แต่ตอนนี้เราไม่ได้อยากเป็นฟรีแลนซ์แล้ว ลาออกก็คือลาออก เราอยากเกษียณ

 

คนรอบข้างว่ายังไงตอนคุณบอกว่าจะเกษียณ

ถ้าคนแก่เขาจะไม่เข้าใจ เพราะเขาจะมีชุดความคิดว่าชีวิตต้องทำงานสิวะ มึงไม่ทำงานมึงจะกินอะไร ชีวิตจะมีคุณค่าอะไร ซึ่งเราค้นพบคุณค่าใหม่แล้วไง นี่ไง เราค้นพบความงามของชีวิต เราค้นพบความงามของสิ่งเล็กๆ เรามีความสุขอะไรง่ายๆ เราไม่ต้องการอะไรแบบนั้นแล้วไง ส่วนเมียก็ก้ำกึ่ง ก็คงเข้าใจแล้ว แต่จริงๆ เมียเราเป็นคนอ่านหนังสือไง แล้วก็รู้จักเราจากงานหนังสือที่เราเขียน ดังนั้นเราเชื่อว่าเขาก็เชื่อใจ เขาคงคาดหวังว่าเราลาออกมาเพื่อจะเขียนหนังสืออะไรบางอย่าง ซึ่งจริงๆ เราก็อยากเขียนอะไรบางอย่าง แต่เรายังไม่ commit ว่าเราจะทำสำเร็จหรือไม่

การเดินไปบนเส้นทางที่เลือกมันน่ากลัวไหม มีอะไรน่ากังวลหรือเปล่า

อันนี้ผมเคยคุยกับเพื่อนว่าถึงจุดหนึ่งถ้าคุณสามารถไปนั่งรอหมอที่แผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลรัฐได้ คุณหยุดทำงาน ณ วันนี้ได้เลย แต่ว่าแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลรัฐมันน่ากลัวมากนะ ถ้าคุณทนอะไรแบบนั้นได้ อายุ 50 คุณเกษียณได้เลย แต่คนส่วนใหญ่ทนไม่ได้ เขายังต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพ ค่าประกันชีวิต ยังผ่อนบ้าน ยังผ่อนรถ เขายังคาดหวังว่าถ้าสักวันฉันเป็นมะเร็งฉันจะได้เงินจากประกันชีวิต 3 ล้านบาท มาจ่ายค่าคีโมกับค่าฉายแสง แล้วเขาจะต้องทำยังไง ก็ต้องทำงานให้มัน productive ต้องสมัครงานที่ใหม่ ที่มันได้เงินเดือนสูงขึ้นไป แต่ว่าถ้าเราไม่ได้ไปจ่ายอะไรแบบนั้น เราจ่ายประกันสังคมเดือนละไม่กี่ร้อยบาท แล้วเราก็ยอมไปรอที่แผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลรัฐ แล้วเท่าไหร่ก็เท่านั้น ซึ่งอันนี้แหละสยอง ผมอาจจะตายแบบน่าอเนจอนาถมาก แต่เราพึงพอใจแค่นี้ โดยที่เราไม่ต้องมานั่งพะเน้าพะนอกับความหวังของตัวเองมาก เราคาดว่ามันก็คงจะอยู่ไปได้สักพักก่อนที่เราอาจจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากขึ้นมา

 

เกิดวันหนึ่งป่วยอย่างที่คุณว่าแล้วต้องมาต่อคิวรอรักษาในโรงพยาบาลรัฐ มันจะเป็นชีวิตที่ดีไหม

ไม่ดี มันจะเป็นชีวิตที่ไม่ดี แต่มันเป็นชีวิตที่ไม่ดีในแบบที่คนอื่นเขาบอกคุณหรือเปล่า

โลกทุนนิยมหรือโลกบริโภคนิยม หรือว่าจิตวิญญาณแห่งยุคสมัย มันบอกเราอีกแบบ มันเซตคุณค่าไว้แบบหนึ่งว่าเราจะต้องอยู่รอดปลอดภัยแบบนั้น แต่คุณจะมีชีวิตอยู่ยังไง จะมีชีวิตอยู่อย่างนี้ ปกติธรรมดา แล้วเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามกูก็ยืนหยัดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป หรือว่า ไม่ได้ กูต้องหาเงินมาจ่ายประกันสุขภาพ แล้วกูก็มานั่งบ่นนั่งด่าบริษัท แล้วก็ตั้งเป้าหมายปีนี้ แล้วก็มานั่งพะเน้าพะนอกับคนในโซเชียลมีเดียของตัวเอง

แต่ก็ไม่รู้นะ อีกสิบปีถ้าเรานอนพะงาบๆ อยู่บนเตียงรอหมอก็อาจจะไม่ได้ปากเก่งแบบนี้ แต่ตายก็ตายน่ะ ปวดก็ปวด ตายก็ตาย เท่าไหร่ก็เท่านั้น เรารู้สึกแบบนี้ เท่าไหร่ก็เท่านั้น คือเราโชคดีตรงที่ไม่มีลูกไง ถ้าเรามีลูกเราจะพูดแบบนี้ไม่ได้ เพราะลูกก็ต้องหวังพึ่งเรา เราจะไปบอกว่าเท่าไหร่ก็เท่านั้นไม่ได้ เพราะเราก็คงอยากให้ลูกเราเป็นอัจฉริยะอะไรบางอย่าง แต่พอเราไม่มีลูกเรารับได้กับเงื่อนไขมากมาย

แล้วคุณคิดว่าจะได้อะไรจากการใช้ชีวิตแบบเท่าไหร่เท่านั้น

เราจะได้มีโอกาสใช้เวลาที่เหลืออยู่มาทำอะไรที่เราชอบ มันจะมีงานอะไรบางอย่างที่เราเพลิดเพลินกับการทำ งานที่มันเปิดให้เราได้คิดได้มองสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วก็รวบมันไว้ด้วยกัน เวลาอีกส่วนหนึ่งก็คงไปดูแลแม่ ดูแลเมีย ดูแลสุขภาพตัวเอง

 

ถ้าใครสักคนอยากจะเกษียณแบบคุณ เขาต้องมีอะไรบ้าง

ผมว่าคนเราจะเกษียณได้มันต้องมีโมเมนตั้ม คือแรงส่ง ผมไม่ได้พูดถึงว่าเราต้องมีเป้าหมายนะ แต่เราต้องมีแรงส่งอะไรบางอย่าง โอเค เราเก็บเงินได้มากพอที่เราจะอยู่ได้ อาจจะต้มไข่กินกับข้าวซ้อมมือเหยาะน้ำปลา แล้วก็จ่ายค่าประกันสังคมได้เดือนละสี่ร้อยห้าร้อยบาท เพื่อที่เราจะได้ไปนั่งรอรับยาในแผนกผู้ป่วยนอก อันนี้คือเรื่องเงิน

อีกเรื่องก็คือกรอบ นิสัย วิธีคิด ความชำนาญ ความสุข อะไรบางอย่างที่มันจะทำให้เราสามารถใช้เวลาในแต่ละวันไปข้างหน้า เป็นแรงส่งให้เราไปต่อได้ อาจจะเป็นเพื่อน อาจจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเงินนะ แต่เป็นการที่เรารู้แล้วว่าเราจะอยู่อย่างเพลิดเพลินกับอะไรในอนาคต สำหรับเรา การเขียนเราได้ทำแน่นอน ซึ่งมันก็ไม่ใช่การเขียนแบบคาดหวังว่าเราจะได้ไลก์ ได้แชร์ หรือว่าได้รวมเล่มขาย

พอคุณตัดความคาดหวังที่คุณควบคุมไม่ได้ออกไป คุณคาดหวังแค่ว่าคุณจะได้มาเพลิดเพลินกับกิจกรรมอันนี้ มันจะเป็นเรื่องที่คุณควบคุมตัวเองได้แล้ว แต่ว่าคุณอาจจะไม่ได้เที่ยวนะ เพราะว่ามันจะไม่มีเงินพอที่คุณจะไปเที่ยว คุณจะไม่มีวันได้ไปญี่ปุ่นและคุณจะไม่มีทางได้เห็นแสงเหนือแน่นอนในชีวิตนี้

พอคุณมีเงินพอ คุณมีแรงส่งพอ คุณจะต้องมีอะไรบางอย่างที่คุณจะต้องหยุด ความพึงพอใจหลายอย่างที่คุณต้องหยุด ถ้าคุณยังอยากซื้อรองเท้ารุ่นใหม่ อันนี้คุณจะหยุดทำงานไม่ได้ ถ้าคุณยังอยากได้ไลก์ได้แชร์ ถ้าคุณยังอยากได้ชื่อเสียงตัวตน อันนี้คุณก็ยังหยุดทำงานไม่ได้ ถ้าคุณยังถูกพ่อแม่คาดหวังอยู่ คุณก็หยุดไม่ได้ อย่างที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าพ่อแม่คาดหวังให้เราทำงาน วันไหนที่เราไม่ได้ออกไปทำงาน พอเห็นพ่อผมซึ่งนอนติดเตียงอยู่แล้วผมจะรู้สึกผิดข้างใน ซึ่งปีนี้พ่อผมเพิ่งเสียไป

คุณเคยบอกว่า หนึ่งในวิธีค้นหาความหมายของชีวิตคือการทำงาน แต่วันนี้คุณเลือกที่จะเกษียณ

ใช่ ผมเชื่อว่าเราจะค้นพบความหมายของชีวิตได้โดย 3 ทาง ข้อแรกคือความรัก การเอาใจใส่ดูแลคนอื่น ข้อที่สองคือการทำงาน การทำสิ่งที่มีความหมาย ทำสิ่งที่ให้ความหมายกับชีวิตคุณ ข้อสามคือการยืนหยัดเผชิญหน้ากับความยากลำบากไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตาม

ผมคิดว่าไอ้คำว่าแค่ไหนก็แค่นั้นก็คือข้อสาม ส่วนข้อสองที่บอกว่าทำงาน ผมคิดว่าผมอยากทำอะไรบางอย่างที่มันมีความหมายกับชีวิต ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่งานออฟฟิศไงครับ แล้วมันอาจจะไม่ใช่งานเขียนหนังสือด้วย มันอาจจะเป็นงานปลูกต้นไม้ ปลูกกะเพราเพราะว่าเราอยากกินกะเพรา เราอยากนิยามงานแบบนั้น

จริงๆ ก็คือเรายังทำงานนั่นแหละ เราหยุดทำงานไม่ได้หรอก เพราะงานมันจะนิยามความหมาย งานจะเป็นสิ่งที่ทำลายความเลวร้าย เคยอ่านหนังสือ ก็องดิด ไหม ใน ก็องดิด เป็นยุคสมัยที่โลกข้างนอกมันชั่วช้าเลวทราม มีการฆ่าฟัน เสร็จแล้วตัวละครก็เข้าไปมีส่วนร่วมกับตรงนั้นตรงนี้ จนสุดท้ายเขาออกมาแล้วก็มาทำสวน ทำไร่ เขาทำสวนของเขาต่อไป คือคนเราต้องทำงาน

มันจะมีความเลวร้ายอยู่ในโลกหลายประการ ใน ก็องดิด บอกว่างานจะทำลายความชั่วร้ายเหล่านั้น ทำลายความเบื่อหน่าย ทำลายความชั่ว และทำลายความขัดสน แล้วผมค้นพบว่าความเลวร้ายที่ชั่วร้ายที่สุดคือความเบื่อหน่าย

 

ทำไมจึงคิดแบบนั้น

ความเบื่อหน่ายมันกัดกร่อนจนตัวตนคุณไม่สามารถจะดำรงอยู่ได้ ความเบื่อหน่ายมันกัดกร่อนคุณหนักที่สุด เป็นความชั่วร้ายที่โหดร้ายที่สุด ซึ่งในที่สุดแล้วคุณก็ต้องทำอะไรอยู่ดี แต่มันไม่ใช่งานออฟฟิศ มันอาจจะเป็นงานเขียนหนังสือก็ได้ หรือมันจะเป็นงานอย่างอื่นก็ได้ มันอาจจะแค่วันนี้แม่ปวดฟันแล้วก็ขับรถพาแม่ไปทำฟัน หรือวันนี้ญาติคนนี้เสียชีวิต เราก็ขับรถไปร่วมงานเขา นั่นก็เป็นงานใช่ไหม

แต่ละวันเราก็แค่แสดงความรัก ดูแลเอาใจใส่ แล้วก็ทำงานที่ให้ความหมาย แล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็เผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ

 

สุดท้ายสิ่งที่เรียนรู้จากการเลือกครั้งนี้คืออะไร

แต่ละวันที่ผ่านไปตลอดหนึ่งเดือนเราพบทั้งสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขและสิ่งที่มันไม่เป็นดังหวัง มันทำให้เรารู้ว่า ใช่ มันเท่าไหร่ก็เท่านั้น และไม่ว่าอะไรจะเข้ามา เราก็จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

ช่างภาพนิตยสาร a day ที่เพิ่งมีพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มใหม่ชื่อ view • finder ออกไปเจอบอลติก ซื้อสิ ไปซื้อ เฮ่!