World War Tools เรื่องไม่ลับของสงครามโลกในสิ่งของที่คนไม่อินประวัติศาสตร์ ก็อ่านสนุก

เมื่อกล่าวถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายคนคงนึกถึงบันทึกของ Anne Frank เด็กสาวชาวยิวเจ้าของบันทึกก้องโลกที่บันทึกชีวิตในช่วงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว (Holocaust) ของ Adolf Hitler ผู้นำลัทธินาซีเยอรมนีผู้เป็นสาเหตุให้ชาวยิวเสียชีวิตไปกว่า 6 ล้านคน World War Tools

บางคนอาจรู้เพียงว่าสงครามครั้งนี้เป็นสงครามที่เริ่มขึ้นจากเยอรมนีเข้าบุกยึดโปแลนด์อันนำไปสู่สงครามครั้งใหญ่ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต และฝ่ายอักษะอย่างเยอรมนีและญี่ปุ่น ซึ่งกินเวลาตั้งแต่ปี 1939-1945 

แต่เรา ในฐานะนักเรียนอักษรศาสตร์ผู้รักวิชาอารยธรรมตะวันตกยิ่งชีพจะนึกถึงจดหมายรักในช่วงสงคราม บันทึกเล่มต่างๆ ของชาวยิว บุคคลชายขอบอย่างเหล่าผู้พิการและกลุ่มเพศหลากหลาย ฯลฯ อันเป็นเรื่องราวของคนตัวเล็กตัวน้อยในสังคมซึ่งไม่ค่อยมีหนังสือภาษาไทยเล่มไหนพูดถึงมาก่อน 

กระทั่งได้อ่าน สงครามโลกในสิ่งของ (World War Tools) ของ เตย–มนสิชา รุ่งชวาลนนท์ นักเขียนคอลัมน์ Past Forward ของ a day โฮสต์รายการ อดีต l ของ l ปัจจุบัน ใน a day PODCAST และเจ้าของเพจเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์สนุกๆ อย่างพื้นที่ให้เล่า เราก็รู้สึกตื่นเต้นจนอยากบอกเล่าให้ทุกคนได้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านกันบ้าง

มนสิชา รุ่งชวาลนนท์ เรียนจบโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อนเรียนต่อปริญญาโทด้านการจัดการแหล่งมรดก (Heritage Management) ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เธอเป็นนักเรียนโบราณคดีที่เชี่ยวชาญด้านสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นพิเศษ ซึ่งเราก็เชื่อในความเชี่ยวชาญของเธอจริงๆ 

เพราะก่อนเข้าสู่สิ่งละอันพันละน้อยในสงครามอย่างเข้มข้น มนสิชานำผู้อ่านเข้าสู่เรื่องราวประวัติศาสตร์อย่างรวบรัด เข้าใจง่าย แต่ยังคงสารสำคัญไว้ไม่ขาด ตั้งแต่จุดเริ่มต้นอันไกลโพ้นระหว่างสงครามจีนและญี่ปุ่น จุดตั้งต้นที่นักประวัติศาสตร์ยกให้เป็นการเปิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการครั้งที่เยอรมนีบุกโปแลนด์ กระทั่งแนวคิดเบื้องหลังสงคราม จำนวนทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นไม่ว่าคุณจะมีภูมิหลังเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 มากน้อยแค่ไหน เราเชื่อว่าคุณจะอ่านหนังสือเล่มนี้รู้เรื่อง อาจไม่ถึงกับเข้าใจลึกซึ้งเรื่องสงครามมากนัก แต่จะเห็นภาพรวมและสนุกไปกับมันได้

หลังปูภูมิหลังสงครามครั้งนี้อย่างเข้าใจง่าย มนสิชาเปิดหมัดฮุกดึงผู้อ่านเข้าสู่เรื่องราวด้วยการเปิดให้ 2-3 เรื่องแรกเป็นสิ่งที่คนทั่วไปน่าจะเข้าถึงได้ง่ายแต่ก็ลึกซึ้งไม่เหมือนใคร

อย่างเรื่องราวของน้ำหอมตัวดัง CHANEL No. 5 ที่ผลักดันให้ Coco Chanel หรือ Gabrielle Chanel สลัดคราบศิลปินสาวไปเป็นสายสืบและผู้สนับสนุนลัทธิต่อต้านชาวยิวของนาซีเยอรมนีเพื่อหวังให้สัดส่วนการบริหารดูแลธุรกิจน้ำหอมกลับมาเป็นของเธออีกครั้งหลังการตัดสินใจให้หุ้นส่วนชาวยิวดูแลกว่า 90 เปอร์เซ็นต์

เรื่องราวของเสื้อผ้าชายหนุ่มลุคมาดเข้มอย่าง Hugo Boss ที่ใครจะรู้ว่าเขาคือดีไซเนอร์ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จนสงครามสิ้นสุดลง แบรนด์เสื้อผ้าลุคขรึมๆ และแข็งกร้าวแบรนด์นี้ต้องออกมายอมรับความผิดพลาดของเจ้าของแบรนด์ตั้งต้นเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการสูญเสียยามสงคราม

หรือเรื่องราวการพยายามกระจายชาไปที่ต่างๆ ของอังกฤษเพื่อป้องกันเยอรมนีทำลายชาอันเป็นแรงใจสำคัญของคนในชาติ กระทั่งการพยายามขนส่งผลงานศิลปะอันล้ำค่าของฝรั่งเศสออกจากพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ไปเก็บยังพื้นที่ปลอดภัยอื่นๆ โดยเฉพาะรูปภาพโมนาลิซ่าของ Leonardo da Vinci ที่ถูกบรรจุในกล่องลับพิเศษและถูกอพยพถึง 5 ครั้งเพื่อให้ศิลปะทุกชิ้นปลอดภัยจากระเบิดและการบุกยึดของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่ต้องการให้เยอมนีเป็นศูนย์กลางศิลปะโลก 

ขอบอกว่าอ่านถึงประเด็นนี้แล้วสะท้อนใจว่าประเทศไทยจะให้ความสำคัญกับคนในชาติและศิลปะมากเท่าสองประเทศข้างต้นได้ชาติไหน 

การเลือกเรียงร้อยเกร็ดและแก่นสงครามโลกครั้งที่สองผ่านสิ่งของแสนใกล้ตัวที่เราอาจนึกไม่ถึงอย่างเรื่องราวข้างต้น แทนการเล่าตามลำดับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ใคร ทำ อะไร ที่ไหน อย่างไร หรือฝ่ายไหนโจมตีใครก่อนอย่างหนังสือประวัติศาสตร์ทั่วไป เราจึงคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะครองใจผู้อ่านได้ไม่ยาก

นอกจากท่วงท่าลีลาการเล่าอันเป็นเอกลักษณ์จะทำให้เราตกหลุมรักหนังสือเล่มนี้เข้าอย่างจัง อีกสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเก็บหนังสือเล่มนี้ขึ้นหิ้งและปวารณาตนว่าจะไม่หยิบไปขายเสียก่อนคือการที่สิ่งของที่มนสิชาเลือกหยิบมาเล่าเปิดให้เห็นแง่มุมความเป็นมนุษย์และความโหดร้ายใต้พรมสงครามผืนใหญ่ได้ลุ่มลึกกว่าหนังสือประวัติศาสตร์เล่มอื่นๆ ที่เราเคยอ่าน

ทั้งการพยายามต่อสู้ผ่านการทาลิปสติกสีแดงของหญิงสาวฝ่ายประเทศสัมพันธมิตรเพื่อสื่อสารว่าพวกเธอไม่เอาลัทธินาซีที่ตีกรอบให้ผู้หญิงต้องอยู่แต่ในครัวและแต่งตัวจืดชืดเท่านั้น 

เรื่องราวการต่อสู้ของชาวเมืองทั่วไปที่ไม่ได้เป็นทหารแต่พร้อมยืนหยัดเคียงข้างรัฐบาลเพื่อเอาชนะเยอรมนี เช่น การที่ชาวเนเธอร์แลนด์พร้อมประท้วงหยุดงานการรถไฟเพื่อไม่ให้เยอรมนีขนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ได้ แม้พวกเขาจะต้องเสียสละดอกทิวลิปอันสูงค่าเป็นอาหารแทนมันฝรั่งเพราะการหยุดเดินรถไฟหมายถึงพวกเขาจะไม่มีอาหารเช่นเดียวกัน

เรื่องราวการกดขี่ ขืนใจ และใช้หญิงสาวหลากชาติหลายอายุเพื่อเป็นนางปลอบใจให้เหล่าทหารได้สำเร็จความใคร่และคลายความเครียดให้มีแรงสู้ในสงคราม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามเอาชนะสงครามของรัฐบาลและความรักชาติที่ใหญ่ยิ่งจนหนักทับความเป็นมนุษย์ให้จมดิน

กระทั่งเรื่องราวการลดทอนความเป็นมนุษย์ของฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างสหรัฐอเมริกาที่สร้างค่ายกักกันชาวญี่ปุ่นที่อพยพมาอาศัยอยู่ตามรัฐต่างๆ ในสหรัฐฯ ซึ่งแม้ไม่เลวร้ายเทียบเท่าค่ายกักกันชาวยิวแต่ก็ลดทอนความเป็นมนุษย์ลงไปไม่แพ้กัน 

ยอมรับว่าเมื่ออ่านถึงประเด็นนี้ มุมมองของเราต่อประเทศสัมพันธมิตรก็เปลี่ยนไปไม่น้อย

ถ้าต้องตอบคำถามว่าใครบ้างที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ เราคงต้องบอกว่าคนรักประวัติศาสตร์ก็อ่านได้ ไม่ใคร่จะรักก็อ่านดี หรือไม่อยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้นก็เหมาะเจาะที่จะหยิบมาลองอ่าน 

เพราะไม่ว่าคุณจะอยู่ฝั่งไหน ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรของรัฐบาลหรือเป็นประชาชนคนทั่วไป สงครามโลกในสิ่งของจะตอกย้ำให้คุณได้รู้ว่าสงครามไม่เคยดีกับใคร แต่การเห็นความเป็นมนุษย์ในคนรอบตัว คนที่ถูกกดขี่ คนที่เดินผ่านไปมา กระทั่งคนเห็นต่างที่เราไม่อาจรักใคร่ต่างหากที่เราในฐานะมนุษย์ควรยกเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด 

โดยเฉพาะในประเทศนี้ที่ความเท่าเทียมเป็นเรื่องยากแต่ความอยุติธรรมกลับเป็นสิ่งสามัญ

เพราะไม่ว่าคุณจะอยู่ฝั่งไหน ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรของรัฐบาลหรือเป็นประชาชนคนทั่วไป สงครามโลกในสิ่งของจะตอกย้ำให้คุณได้รู้ว่าสงครามไม่เคยดีกับใคร แต่การเห็นความเป็นมนุษย์ในคนรอบตัว คนที่ถูกกดขี่ คนที่เดินผ่านไปมา กระทั่งคนเห็นต่างที่เราไม่อาจรักใคร่ต่างหากที่เราในฐานะมนุษย์ควรยกเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดถ้าต้องตอบคำถามว่าใครบ้างที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ เราคงต้องบอกว่าคนรักประวัติศาสตร์ก็อ่านได้ ไม่ใคร่จะรักก็อ่านดี หรือไม่อยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้นก็เหมาะเจาะที่จะหยิบมาลองอ่านถ้าต้องตอบคำถามว่าใครบ้างที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ เราคงต้องบอกว่าคนรักประวัติศาสตร์ก็อ่านได้ ไม่ใคร่จะรักก็อ่านดี หรือไม่อยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้นก็เหมาะเจาะที่จะหยิบมาลองอ่านถ้าต้องตอบคำถามว่าใครบ้างที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ เราคงต้องบอกว่าคนรักประวัติศาสตร์ก็อ่านได้ ไม่ใคร่จะรักก็อ่านดี หรือไม่อยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้นก็เหมาะเจาะที่จะหยิบมาลองอ่านถ้าต้องตอบคำถามว่าใครบ้างที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ เราคงต้องบอกว่าคนรักประวัติศาสตร์ก็อ่านได้ ไม่ใคร่จะรักก็อ่านดี หรือไม่อยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้นก็เหมาะเจาะที่จะหยิบมาลองอ่านถ้าต้องตอบคำถามว่าใครบ้างที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ เราคงต้องบอกว่าคนรักประวัติศาสตร์ก็อ่านได้ ไม่ใคร่จะรักก็อ่านดี หรือไม่อยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้นก็เหมาะเจาะที่จะหยิบมาลองอ่าน

เพราะไม่ว่าคุณจะอยู่ฝั่งไหน ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรของรัฐบาลหรือเป็นประชาชนคนทั่วไป สงครามโลกในสิ่งของจะตอกย้ำให้คุณได้รู้ว่าสงครามไม่เคยดีกับใคร แต่การเห็นความเป็นมนุษย์ในคนรอบตัว คนที่ถูกกดขี่ คนที่เดินผ่านไปมา กระทั่งคนเห็นต่างที่เราไม่อาจรักใคร่ต่างหากที่เราในฐานะมนุษย์ควรยกเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดถ้าต้องตอบคำถามว่าใครบ้างที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ เราคงต้องบอกว่าคนรักประวัติศาสตร์ก็อ่านได้ ไม่ใคร่จะรักก็อ่านดี หรือไม่อยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้นก็เหมาะเจาะที่จะหยิบมาลองอ่านถ้าต้องตอบคำถามว่าใครบ้างที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ เราคงต้องบอกว่าคนรักประวัติศาสตร์ก็อ่านได้ ไม่ใคร่จะรักก็อ่านดี หรือไม่อยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้นก็เหมาะเจาะที่จะหยิบมาลองอ่านถ้าต้องตอบคำถามว่าใครบ้างที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ เราคงต้องบอกว่าคนรักประวัติศาสตร์ก็อ่านได้ ไม่ใคร่จะรักก็อ่านดี หรือไม่อยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้นก็เหมาะเจาะที่จะหยิบมาลองอ่านถ้าต้องตอบคำถามว่าใครบ้างที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ เราคงต้องบอกว่าคนรักประวัติศาสตร์ก็อ่านได้ ไม่ใคร่จะรักก็อ่านดี หรือไม่อยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้นก็เหมาะเจาะที่จะหยิบมาลองอ่านถ้าต้องตอบคำถามว่าใครบ้างที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ เราคงต้องบอกว่าคนรักประวัติศาสตร์ก็อ่านได้ ไม่ใคร่จะรักก็อ่านดี หรือไม่อยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้นก็เหมาะเจาะที่จะหยิบมาลองอ่าน

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

ช่างภาพนิตยสาร a day ผู้ชอบกินอาหารที่ถ่าย