5 วันแห่งการเยียวยาจิตใจในภูมิภาคโทโฮคุ ประเทศญี่ปุ่น

ไม่ใช่เพียงแค่เราเท่านั้นหรอกที่คิดถึงการไปญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นก็คิดถึงบรรยากาศการท่องเที่ยวจากชาวไทยเช่นกัน 

ในแผนที่การท่องเที่ยวญี่ปุ่นของคนไทย ภูมิภาคโทโฮคุอาจไม่ใช่ชื่อแรก แต่ที่นี่ก็มีสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย เอกลักษณ์ของภูมิภาคนี้คือ มีสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่สวยงาม จัดการดี อาหารอร่อย ผู้คนท้องถิ่นเป็นมิตร 

หากเราอยากรู้ว่าวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นในจังหวัดที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวงเป็นอย่างไร โทโฮคุให้คำตอบคุณได้แน่ๆ 

ในช่วงที่ตัวห่างไกลกัน องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น (JNTO) สำนักงานกรุงเทพฯ นำข้อมูลเกี่ยวกับโทโฮคุภาคเหนือมาเสนอ a day โดยมีคุณพัชรดา ทากะฮาชิ (โนโซมิ) บล็อคเกอร์หญิงไทยที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นมาช่วยให้ข้อมูลเสริม 

เมื่อเราไล่อ่านแล้วก็พบว่าโทโฮคุเฉพาะแค่ภาคเหนืออย่างเดียวก็น่าสนใจมาก ยิ่งถ้าคุณชอบไปญี่ปุ่นแบบห่างไกลเมืองหลวง อยากสัมผัสธรรมชาติของประเทศนี้จริงๆ จะเหมาะมาก เราเลยลองจัดโปรแกรมเที่ยวทั้งหมด 5 วัน สถานที่และกิจกรรมส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดอาโอโมริ (Aomori) อาคิตะ (Akita) และอิวาเตะ (Iwate)

ถ้าคุณอยากไปญี่ปุ่น อยากเจอธรรมชาติเพื่อเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำช่วงโควิด โทโฮคุคือที่แรกที่คุณต้องมา

วันที่ 1

พิพิธภัณฑ์โคมไฟทะชิเนปุตะ (Tachineputa Museum)

อาโอโมริ (Aomori)

ตั้งอยู่ที่เมืองโกะโชะงะวะระ (Goshogawara) พิพิธภัณฑ์นี้เก็บรวบรวมโคมไฟท้องถิ่นที่เรียกว่า เนปุตะ (Neputa) เอกลักษณ์ของโคมไฟชนิดนี้คือสูงมาก บางแบบสูงถึง 23 เมตร นอกจากนี้ภายในยังมีนิทรรศการเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมในจังหวัดอาโอโมริทั้งหมด และสตูดิโอทำโคมไฟซึ่งเราสามารถชมได้อย่างใกล้ชิด ถ้าเราอยากลองทำเนปุตะ สตูดิโอก็มีเวิร์กช็อปสอนทำโคมไฟรูปปลาทอง หรือ คิงเกียวเนปุตะ (Kingyo Neputa) ทำเป็นของฝากกลับบ้านได้

ร้านชิเกะ ซูชิ (Shige Zushi)

อาโอโมริ (Aomori)

เราไม่ค่อยเห็นร้านอาหารท้องถิ่นที่เป็นซูชิเท่าไหร่ แต่ที่นี่มี และเปิดมาแล้วกว่า 40 ปี เมนูขึ้นชื่อของชิเกะ ซูชิ คือ “YatteMare Don” ข้าวหน้ารวมมิตรทะเล คำว่า ยัตเตะมาเระ เป็นภาษาท้องถิ่นแปลว่า สู้ ให้อารมณ์เหมือนเป็นเมนูที่กินแล้วเสริมสร้างกำลังใจ “Nadare Maki” ข้าวปั้นชิ้นพอดีนํามาซ้อนเป็นทรงสูง “Motsuke Maki” ข้าวห่อสาหร่ายทรงกระบอกขนาดใหญ่ใส่เครื่องแน่นๆ และ “Maguro Karubi Don“ ข้าวหน้าปลามากุโระลนไฟ 

บริการพายแอปเปิ้ลแท็กซี่ (ApplePie Taxi)

อาโอโมริ (Aomori)

เคยมั้ยกับเวลาตามรอยไปเที่ยวสถานที่ลับๆ ในญี่ปุ่นแล้วเฟล หาไม่เจอ หรือไม่ก็มีเยอะมาก จะถามใครก็ยาก คนในเมืองฮิโระซะกิ (Hirosaki) นำ pain point ข้อนี้มาเป็นจุดขาย

เมืองนี้ได้รับฉายาว่าเป็นเมืองแห่งแอปเปิ้ล เพราะเป็นแหล่งผลิตแอปเปิ้ลรายใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ของขึ้นชื่อที่นี่จึงเป็นพายแอปเปิ้ลซึ่งมีร้านขายเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าจะชิมที่ไหน

เมืองนี้มีบริการแท็กซี่ท้องถิ่นชื่อว่า Apple Pie Concierge ที่จะพานักท่องเที่ยวไปหาร้านพายแอปเปิ้ลที่ถูกใจ เพียงแค่ขึ้นรถแล้วบอกว่าอยากทานพายรสชาติแบบไหน คนขับจะขับไปถึงที่ คนขับกลุ่มนี้ได้รับการฝึกด้านพายแอปเปิ้ลมาอย่างดี รู้ลึกรู้จริง เล่ารายละเอียดของร้านได้ตรงใจ และยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวภายในเมืองฮิโระซะกิด้วย

รถไฟรีสอร์ตชิราคามิ (Resort Shirakami)

อาโอโมริ (Aomori)

หนึ่งในขบวนรถไฟ Joyful Train วิ่งระหว่างสถานีอาโอโมริ และสถานีอาคิตะ เส้นทางจะวิ่งเลียบชายหาดของเทือกเขาชิราคามิ (Shirakami Sanchi) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางธรรมชาติจาก UNESCO ถ้าเรานั่งรถไฟนี้ในช่วงอากาศดีจะได้เห็นพระอาทิตย์ค่อยๆ ตกลงไปในท้องทะเลแบบเต็มตาจากบนรถไฟ บนขบวนยังมีกิจกรรมแสดงดนตรีท้องถิ่นที่ใช้เครื่องดนตรีสึกะรุซามิเซ็ง (Tsugaru Shamisen) เล่าเรื่องตำนานท้องถิ่นเป็นละครหุ่นเชิดแบบดั้งเดิมที่หาชมได้ยาก

โคะกะเนะซะกิ ฟุโรฟุชิ อนเซ็น (Koganezaki Furofushi Onsen)

อาโอโมริ (Aomori)

บ่ออนเซ็นกลางแจ้งริมทะเลญี่ปุ่น ด้วยตำแหน่งดีแบบนี้ทำให้เราสามารถแช่อนเซ็นเพื่อรอดูพระอาทิตย์ตกริมทะเลได้เลย น้ำในอนเซ็นที่นี่มีแร่เหล็กสูง มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดหลัง และระบบประสาทต่างๆ นอกจากนี้ในอนเซ็นยังเป็นโรงแรมที่เสิร์ฟอาหารท้องถิ่น คัดสรรวัตถุดิบอย่างดี ตัวเด่นมากคือ ฟุคะอุระ ยุกิ–นินจิน (Fukaura Yuki Ninjin) เป็นแคร์รอตที่รสชาติหวานกว่าแคร์รอตทั่วไปเพราะเจริญเติบโตภายใต้หิมะปกคลุม

วันที่ 2 

เทือกเขาชิราคามิซันจิ (Shirakami Sanchi)

อาโอโมริ (Aomori)

ใครชอบเดินป่าไม่ควรพลาด เทือกเขานี้ได้รับการยกเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของญี่ปุ่น เทือกเขารายล้อมด้วยผืนป่าต้นบีชโบราณ กิจกรรมเดินป่ามีให้เลือกหลายแบบ คอร์สที่แนะนำจะเรียกว่า World Heritage Beech Forest Trail เป็นเส้นทางที่รวมจุดเด่นของเทือกเขานี้ไว้ ยิ่งถ้าเราเดินในช่วงฤดูใบไม้ร่วง จะได้เห็นผืนป่ากำลังผลัดใบเป็นสี ระหว่างทางมีไกด์ที่สามารถอธิบายความน่าสนใจทางภูมิศาสตร์ และสามารถเดินต่อไปชมทะเลสาบอะโออิเคะ (Blue Pond) และทะเลสาบแห่งอื่นได้ด้วย

ร้านโชคุจิ โดโคโระ ฮะมะยู (Shokuji Dokoro Hamayu)

อาโอโมริ (Aomori)

ร้านนี้มีของขึ้นชื่อของอาโอโมริ นั่นคือปลาฮิราเมะ (Hirame) หรือปลาตาเดียวซึ่งสามารถทำเมนูได้หลายอย่าง เช่น ข้าวหน้าปลาฮิราเมะดอง (Hirame-zuke don) ใช้ปลาจากเมืองอะจิกะซาวะ (Ajigasawa) ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้เทือกเขาชิราคามิ บริเวณนี้มีน้ำจากเทือกเขาไหลมาบรรจบ ทำให้รสชาติของเนื้อปลาอร่อยเป็นพิเศษ ในเมืองจะมีร้านที่ขายเบนโตะหลายร้านซึ่งสามารถสังเกตธงสีฟ้าที่เขียนว่า Ajigasawa Hirame-zukedon เป็นสัญลักษณ์ว่าสามารถซื้อเบนโตปลาเป็นของฝากนักชิมจากร้านนี้ได้

สวนนาคะโนะ โมมิจิยามะ (Nakano Momijiyama)

อาโอโมริ (Aomori)

ถ้าอยากชมใบไม้เปลี่ยนสีในโทโฮคุต้องมาที่นี่ สวนนาคะโนะ โมมิจิยามะถูกคนเรียกว่าเป็น Little Arashiyama เพราะเป็นสวนที่สามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีได้เหมือนอะระชิยะมะ (Arashiyama) ที่เมืองเกียวโต ที่เป็นแบบนี้เพราะในอดีตมีการนำเมล็ดพันธุ์ต้นเมเปิ้ลกว่า 100 สายพันธุ์จากเกียวโตมาปลูกที่นี่ ทำให้สวนนี้น่าชมยิ่งขึ้น

ที่สวนจะมีจุดถ่ายรูปยอดฮิต คือหัวโค้งตรงแม่น้ำนาคะโนะที่ไหลผ่านเป็นรูปตัว U มีภูเขาที่ปกคลุมด้วยเมเปิ้ลเป็นฉากหลัง 

ทะเลสาบโทวะดะ (RIB Boat in Lake Towada)

อาโอโมริ (Aomori)

ทะเลสาบแห่งนี้ใหญ่ที่สุดบนเกาะฮอนชู (Honshu) กิจกรรมสุดฮิตสำหรับคนชอบผจญภัยคือการนั่งเรือยางท้องแข็งที่เรียกว่า RIB เรายังไม่ได้ลอง ดูจากรูปเดาว่าอารมณ์เหมือนนั่งเรือหางยาวบ้านเรา ปกติการเที่ยวทะเลสาบในญี่ปุ่นจะเป็นแนวเนิบช้า นั่งเรือชมวิว ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศมาที่โทวะดะรับรองไม่ผิดหวัง

ยุเซะ อนเซ็น (Yuze Hotel Resort)

อาคิตะ (Akita)

โรงแรมอนเซ็นที่พยายามทำให้เราอยู่ท่ามกลางธรรมชาติมากที่สุด

ภายในเน้นใช้วัสดุจากไม้ ห้องพักมีบ่ออนเซ็นส่วนตัว สามารถนอนแช่น้ำพร้อมชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ที่ระเบียง น้ำในอนเซ็นแห่งนี้ยังมีความเป็นด่างสูงถึง 9.1 เชื่อกันว่าถ้าได้แช่ 2-3 ครั้งจะทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสมากยิ่งขึ้น 

วันที่ 3

เดินเขาที่ฮะจิมันไต (Nature Guide Station, Hachimantai Mountain Hotel)

อิวาเตะ (Iwate)

รอยต่อระหว่างจังหวัดอิวาเตะ และอาคิตะมีภูเขาไฟลูกหนึ่งชื่อว่า ฮะจิมันไต บริเวณนี้มีทิวทัศน์แต่ละฤดูกาลสวยงามไม่ซ้ำกัน ช่วงที่สวยที่สุดคือช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เราสามารถเดินป่าชมทิวทัศน์ได้เต็มที่ ด้วยความที่พื้นที่ใกล้ภูเขาไฟ มีธารลาวาปกคลุม มีลานลาวาหินสีดำเป็นบริเวณกว้างกว่า 1.5 กิโลเมตร และยาวถึง 3 กิโลเมตร เป็นทัศนียภาพแปลกตาที่เราไม่ค่อยได้พบเห็นในญี่ปุ่น  

ฟาร์มโคอิวาอิ (Koiwai Farm Makibaen)

อิวาเตะ (Iwate)

ฟาร์มเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของครอบครัว ที่โทโฮคุเราอยากแนะนำฟาร์มโคอิวาอิ พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล 30 ตารางกิโลเมตร มีกิจกรรมเพียบ เช่น นั่งรถชมฟาร์ม การแสดงแกะ และสุนัข ขี่ม้า เวิร์กช็อปทำชีส และงานคราฟต์ ใครชอบถ่ายภาพมีทุ่งดอกไม้สวยๆ ให้กดรัวๆ ความจริงฟาร์มโคอิวาอิเป็นฟาร์มโคนม แต่ก็มีผลิตภัณฑ์ให้อุดหนุนหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนม เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อหมู เมนูปิ้งย่างเขาก็มี เป็นที่เดียวจบสำหรับครอบครัวอย่างแท้จริง

ศาลเจ้าโกะซะโนะอิชิ (Gozanoishi Shrine)  

อาคิตะ (Akita)

ศาลเจ้าที่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในร้อยทิวทัศน์ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น จุดเด่นต้องยกให้เสาโทริอิสีแดงสดขนาดใหญ่ยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเลสาบทะซะวะ (Lake Tazawa) นอกจากนี้ทะเลสาบยังลึกมากที่สุดในประเทศคือ 423.4 เมตร ความลึกแบบนี้ทำให้สีของทะเลสาบสวยไม่เหมือนใคร ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างเพื่อเป็นที่สักการะตามตำนานท้องถิ่นเกี่ยวกับเทพธิดาแห่งความงามทัตสึโกะ มีรูปปั้นหญิงสาวสีทองยืนอยู่ริมทะเลสาบกว้างใหญ่ คนที่นี่เชื่อว่าสามารถมาขอพรเรื่องความงามได้

ยามะโนะคะมิ อนเซ็น เบชโช เซริวคัง (Yamanokami Onsen Bessho Seiryukan) 

อิวาเตะ (Iwate)

ที่พักแห่งนี้อยู่ใกล้แหล่งอนเซ็นยะมะโนะคะมิ มีห้องพัก 20 ห้อง ทุกห้องมีบ่ออนเซ็นส่วนตัวซึ่งทำจากไม้ฮิบะ ทำให้มีกลิ่นหอมขณะแช่ น้ำร้อนที่นี่มีความเป็นด่างสูง (9.3) และมีความหนืดเล็กน้อย จนได้รับฉายาว่า บิจินโนะยุ (Bijin no Yu) หรือน้ำร้อนแห่งความงาม เชื่อว่าแช่แล้วจะทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น รักษาโรคเหน็บชา และอาการปวดกล้ามเนื้อหายเป็นปลิดทิ้ง

วันที่ 4 

โรงงานเครื่องเหล็กอิวาชูนัมบุ (Iwachu Nambu Cast Iron)

อิวาเตะ (Iwate)

โรงงานเครื่องเหล็กแห่งนี้อายุกว่า 400 ปี เป็นแหล่งผลิตเครื่องเหล็กนัมบุซึ่งเป็นงานฝีมือแบบดั้งเดิม ว่ากันว่าน้ำที่ถูกต้มในกาแบบนี้จะมีสัมผัสที่ไหลลื่น รสชาติกลมกล่อมมากกว่าปกติ ถ้าคิดว่าการมาเที่ยวโรงงานเหล็กจะน่าเบื่อขอให้คิดใหม่ เพราะเจ้าของโรงงานปรับแผนผังให้คล้ายการไปเที่ยวสวนสนุก เราสามารถเยี่ยมชมกระบวนการผลิตได้อย่างใกล้ชิดโดยไม่เสียค่าเข้าชม มีสินค้าให้เลือกซื้อกลับหลากหลาย เหมือนเราได้ไปพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นร่วมสมัย ได้ทั้งความรู้ และงานคราฟต์จากญี่ปุ่นติดมือกลับบ้าน 

สวนซากปราสาทโมริโอกะ (Morioka Castle Ruins Park) 

อิวาเตะ (Iwate)

เดิมสวนนี้เป็นที่ตั้งของปราสาทโคซุคาตะ (Kozukata Castle) ติดหนึ่งในร้อยสวนที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น จุดสวยๆ ของสวนนี้อยู่บริเวณบ่อน้ำคาเมะกะอิเคะ (Kamegaike) ข้างปราสาท ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ต้นแปะก๊วยที่มีใบไม้สีเหลืองอร่ามร่วงหล่นบนพื้น ถ้าเดินข้ามสะพานมาฝั่งตรงข้ามก็จะพบกับพรมสีแดงจากใบของต้นเมเปิ้ล สามารถชมทั้งสีแดงและสีเหลืองได้ในสวนเดียว 

ร้านวะกะนะ สาขาหลัก (Wakana Honten) 

อิวาเตะ (Iwate)

วะกะนะคือชื่อร้านเทปปังยากิที่มีชื่อเสียงที่สุดในอิวาเตะ จุดเด่นคือการคัดสรรวัตถุดิบท้องถิ่นคุณภาพมาปรุง เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสาทสัมผัสทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่ดีที่สุด เมนูที่แนะนำคือชุดอาหารกลางวันคอร์ส B ราคา 4,070 บาท ชุดนี้มีสลัดผัก ปลาแซลมอนรมควัน ซุป ผักย่าง เมนูจากปลา และสเต็ก ร้านจะเสิร์ฟเนื้อวากิวพันธุ์อิวาเตะเขาสั้น โดยเชฟจะเป็นผู้เลือกส่วนของเนื้อให้ ใครที่ไม่กินเนื้อวัวก็มีเมนูปลาหรืออาหารทะเลอื่นๆ ให้เลือก รสชาติดีไม่แพ้กัน

ศูนย์การค้าเฟซัน (Fes”an)

อิวาเตะ (Iwate)

บริเวณสถานีรถไฟในเมืองใหญ่มักจะมีศูนย์การค้าให้บริการ บริเวณสถานี JR Morioka จะมีศูนย์การค้าเฟซันเชื่อมต่อ มีร้านค้ามากมาย มีสินค้าทั้งเสื้อผ้า สินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง ร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีเมนูขึ้นชื่อของเมืองก็มีให้เลือกเพียบ เช่น บะหมี่เย็นโมริโอกะ (Morioka Reimen) วังโคะโซบะ (Wanko Soba) ถ้าอยากซื้อของฝาก ที่นี่ก็มีร้านขายของจำหน่ายสินค้าขึ้นชื่อของแต่ละจังหวัดในภูมิภาคโทโฮคุ เช่น ขนมไข่นกนางนวล (Kamome no Tamago) ขนมนัมบุเซมเบ (Nambusembei) และขนมท้องถิ่นอีกหลายแบบให้เลือกอุดหนุนกัน

ฟาร์มอินน์ มิโดริโนะคะเซะ (Farm inn midori no kaze) 

อาคิตะ (Akita)

ฟาร์มสเตย์ที่มีบรรยากาศอบอุ่น ตัวบ้านเป็นสไตล์คอตเทจอายุราว 20 ปี มีเมนูอาหารท้องถิ่นเสิร์ฟ ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลซึ่งส่วนมากเป็นผักที่ปลูกเองในสวน เช่น หม้อไฟคิริทัมโปะ (Kiritanpo) ใส่ไก่บ้านฮิไน (Hinai Chicken) ถือเป็นเมนูขึ้นชื่อในจังหวัดอาคิตะ นอกจากนี้ยังมีเวิร์กช็อปทำลูกพลับตากแห้งในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หรือ การทําเมนูคิริทัมโปะย่าง ถ้าอยากสัมผัสชีวิตแบบคนท้องถิ่นรับรองว่าไม่ผิดหวัง

วันที่ 5

เกสต์เฮาส์สุนัขอาคิตะ (Guest House ENISHI)

อาคิตะ (Akita)

เกสต์เฮาส์ที่ปรับปรุงจากบ้านเก่าอายุ 50 ปี อยู่บริเวณใจกลางหมู่บ้านซามูไรคะคุโนะดาเตะ (Kakunodate Samurai District) เดิมที่นี่เคยเป็นบ้านของซามูไรเมื่อหลายร้อยปีก่อน ด้วยชัยภูมิแบบนี้เกสต์เฮาส์จึงตกแต่งด้วยคอนเซปต์หมู่บ้านโบราณ แถมยังได้ใกล้ชิดกับสุนัขพันธุ์อาคิตะซึ่งเดินเล่นเป็นอิสระอยู่ในเกสต์เฮาส์ สำหรับคนรักสุนัขนี่คือเกสต์เฮาส์ที่คุณห้ามพลาด

ตลาดชุมชนเมืองอาคิตะ (Akita Citizen’s Market)

อาคิตะ (Akita)

ตลาดแห่งนี้เป็นมากกว่าที่ขายของ บทบาทของตลาดชุมชนต่อคนเมืองอาคิตะคือเป็นแหล่งเรียนรู้วิถีชีวิตท้องถิ่น ทำให้คนต่างเมืองเข้าใจชีวิตของคนอาคิตะมากขึ้น ถ้าในบทบาทของการเป็นตลาด มาที่นี่เราจะได้พบสินค้า และวัตถุดิบที่สดที่สุดแล้ว ภายในแบ่งเป็นโซนต่างๆ เช่น โซนผักผลไม้ โซนอาหารทะเล โซนดอกไม้ โซนร้านอาหาร สินค้ายอดฮิตคือ แอปเปิ้ลสดๆ ที่ปลูกในอาคิตะ พวงไข่ปลาแซลมอน ชุดผักนานาชนิด และเซ็ตของสำหรับทำหม้อไฟคิริทัมโปะ ใครไม่เคยเดินตลาดญี่ปุ่นถ้าได้เริ่มเดินที่นี่เป็นครั้งแรกจะหลงรักแน่นอน

ร้านซาโตะ โยสุเคะ โชเท็น (Sato Yosuke Shoten)

อาคิตะ (Akita)

ถ้าอยากชิมอินานิวะ อุด้ง (Inaniwa Udon) หนึ่งในเมนูขึ้นชื่อของอาคิตะต้องมาร้านนี้ เพราะเจ้าของร้านซาโตะ โยสุเคะ โชเท็น คือคนแรกที่คิดค้นการทำเส้นอินานิวะ อุด้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1665 ถ้าอยากชิมเมนูรสชาติดั้งเดิมขอให้สั่งเซ็ตเมนู อินานิวะ อุด้งแบบเย็น เราจะได้ชิมอุด้งพร้อมน้ำจิ้มแบบออริจินอล และน้ำจิ้มซอสงาแบบเข้มข้น ถ้าอยากกินแบบฟิวชั่น แนะนำเมนูที่เสิร์ฟคู่กับแกงเขียวหวาน และต้มยํากุ้งน้ำข้น หน้าตาและรสชาติละม้ายคล้ายขนมจีนแกงเขียวหวานในรูปแบบอุด้งญี่ปุ่น

ตามไปเที่ยวสนุก สุขใจ กับมิตรไมตรีที่โทโฮคุต่อได้ที่ https://www.jnto.or.th/tohoku2022/

 

AUTHOR