เพราะทุกคนซ่อน ‘ความกลัว’ ไว้ในใจ The Scream ไอคอนิกภาพหลอนที่ไม่มีวันตาย

เคยไหม? รู้สึกอึดอัด หวาดกลัว มวนท้องแบบอธิบายไม่ถูก ความรู้สึกสีเทามืดที่เหมือนมีเมฆฝนปกคลุมอยู่แบบนี้ บางทีถ้าได้ตะโกนออกมาดังๆ ความเครียดที่สะสมอยู่ อาจปลิวหายไปได้ในพริบตา นี่คือเวทมนตร์ของ ‘เสียงกรีดร้อง’ 

หลายคนอาจจะเคยชินกับการกรี๊ดตอนเจอผี แต่วันฮาโลวีนปีนี้ เราอยากชวนทุกคนมาเปลี่ยนจากปล่อยผี เป็นปล่อยความเครียดผ่านเสียงกรีดร้อง เหมือนดังภาพวาดสุดไอคอนิกอย่าง The Scream (1893) งานศิลปะต้นฉบับความหลอนจาก Edvard Munch ศิลปินชาวนอร์เวย์ ตัวพ่อแห่งวงการ Expressionism ที่เชื่อว่าการระบายความรู้สึกภายในออกมา คือความสวยงามที่แท้จริง 

หลายคนอาจคุ้นเคยกับภาพวาดนี้ผ่านมีมไวรัลที่เห็นได้ตามสื่อโซเชียล แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะอิโมจิ 😱 หน้ากากผีที่เห็นได้ทุกบ้านผีสิง หรือแม้กระทั่งภาพโปสเตอร์จากภาพยนตร์วัยเด็กอย่าง Home Alone ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพวาดนี้ทั้งสิ้น

ถ้าจะบอกว่า The Scream คือไอคอนิกของความหลอนก็คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธ แต่อะไรที่ทำให้ภาพวาดอายุกว่า 100 ปีชิ้นนี้ ยังคงความอมตะ และกลายเป็นภาพวาดที่สะท้อนความกลัวจากก้นบึ้งของมนุษย์ ถ้าอยากรู้ ก็ตามไปหาคำตอบด้วยกัน!

ภาพเสียงกรีดร้องที่เงียบ แต่กลับดังในใจที่สุด

The Scream คือภาพวาดของ ‘สิ่งมีชีวิต’ หน้าตาประหลาด ไม่สามารถระบุเพศหรืออายุได้ สิ่งนั้นกำลังยืนอยู่บนสะพานพร้อมเอามือ 2 ข้างแนบหู ดวงตาเบิกโพลง และริมฝีปากอ้ากว้าง เป็นอากัปกิริยาของคนที่กำลังตื่นกลัวบางอย่าง โดยมีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีส้มที่กำลังปั่นป่วนราวกับพายุเข้า แม้จะเป็นแค่ภาพวาด แต่เสียงกรีดร้องที่ดังออกมา กลับสัมผัสเข้าที่ใจเราอย่างไม่น่าเชื่อ 

นี่คือเสน่ห์ของศิลปะแนว Expressionism ที่เน้นแสดงอารมณ์ของศิลปินเป็นสำคัญ โดดเด่นเรื่องการใช้สีที่สดและตรงไปตรงมา ให้ความรู้สึกดุดันและรุนแรง รวมถึงฝีแปรงที่แข็งกระด้าง ราวกับอารมณ์ของมนุษย์ที่มีความฉุนเฉียวแฝงอยู่เสมอ นี่คืองานศิลปะขั้วตรงข้ามของ Impressionism ที่เน้นความอภิรมย์และสบายตาเวลาที่ได้มอง 

ถ้า Claude Monet คือผู้รันวงการลัทธิความประทับใจ Edvard Munch ก็คือตัวแทนแห่งการระบายอารมณ์ งานศิลปะส่วนใหญ่ของเขานำเสนออารมณ์แง่ลบที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของมนุษย์เหมือนเช่นผลงานชิ้นนี้ 

มีการสันนิษฐานว่ามุงก์ได้แรงบันดาลใจการวาดภาพนี้ ระหว่างทางที่เขากำลังกลับจากการไปเยี่ยมน้องสาวที่เป็นไบโพลาร์ ภาพเนินเขาในรูปคือเขาเอเคเบิร์ก (Ekeberg) ประเทศนอร์เวย์ และตัวเอกตรงกลางภาพ ได้แรงบันดาลใจมาจากมัมมี่ชาวเปรู ซึ่งนี่เป็นเพียงแค่การถกเถียงกันของนักประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปเท่านั้น  

ความจริงเพียงหนึ่งเดียวที่เราเชื่อถือได้ คือบันทึกของมุงก์ที่เขียนไว้ในปี 1892 เท่านั้น

“เย็นวันหนึ่ง ผมกำลังเดินไปตามถนน ฝั่งหนึ่งเป็นเมือง และอีกฝั่งเป็นฟยอร์ด พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า และเมฆเปลี่ยนกลายเป็นสีแดงดุจเลือด ผมรู้สึกถึงเสียงกรีดร้องที่ดังออกมาจากธรรมชาติ ผมจึงวาดภาพนี้ ด้วยก้อนเมฆสีดุจเลือด และภาพนั้นก็กลายมาเป็น The Scream” 

ศิลปินที่ใช้ ‘ความบ้า’ รังสรรค์ผลงาน

“คนที่วาดภาพนี้ขึ้นมา มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละ ผมว่าคุณมีปัญหาทางจิต” 

คำกล่าวหาของนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งที่พูดต่อหน้ามุงก์ ในระหว่างงานนิทรรศการภาพวาดของเขา คำพูดที่รุนแรงและอาจทำให้ใครหลายคนกำหมัดได้ทันทีที่ได้ยิน แต่มุงก์กลับใช้มันเป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีจุดเด่นเป็น ‘ความบ้า’ ที่ไม่เหมือนใคร 

ถ้าสังเกตดีๆ ที่มุมภาพของ The Scream มีข้อความเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในกลุ่มเมฆว่า ‘Can only have been painted by a madman’ ที่แปลว่า ‘มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละ ที่วาดภาพนี้ได้’ ซึ่งหลังจากผ่านการตรวจสอบลายนิ้วมือ ก็ยืนยันได้ว่ามันคือประโยคที่เขียนโดยมุงก์ตัวจริง 

ถ้าใครที่เคยอ่านชีวิตของศิลปินชาวนอร์เวย์คนนี้ จะรู้ว่าเขาเติบโตมาภายใต้แรงกดดันในชีวิตมากมาย ไม่ว่าจะพ่อผู้เคร่งเครียดที่เป็นโรควิตกกังวล การต้องกำพร้าแม่ไปในวัยเพียงแค่ 5 ขวบ การสูญเสียพี่สาวที่เปรียบเหมือนแม่ด้วยโรคร้ายเดียวกัน หรือแม้กระทั่งการต้องดูแลน้องสาวที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ ยังไม่รวมถึงอาการป่วยที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เด็ก 

จึงไม่แปลกที่มุงก์จะมีเพื่อน(ไม่)สนิท เป็นความเศร้าที่อยู่กับเขาในทุกๆ จังหวะชีวิต แต่แทนที่จะจมดิ่งอยู่กับมัน มุงก์เลือกที่จะระบายมันออกมาผ่านฝีแปรง นำเสนอโลกอันมืดมนนี้ให้คนภายนอกได้เห็น โดยหวังว่าเหล่าคนที่กำลังเผชิญความเจ็บปวดเหล่านี้อยู่ จะรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว 

ยอมรับและโอบกอดความไม่สมบูรณ์ 

The Scream โด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก จากการได้ขึ้นปกนิตยสาร TIME ในปี 1961 พร้อมแบนเนอร์มุมบนว่า ‘Guilt & Anxiety’ ที่แปลว่า ‘ความรู้สึกผิดและวิตกกังวล’ หลังจากนั้นภาพเสียงกรีดร้องนี้ ก็ถูกนำไปใช้ในแคมเปญรณรงค์เรื่องความเครียดอยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงการนำไปเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างหน้ากากผีในภาพยนตร์เรื่อง Scream (1996) และทำให้หน้าคนอ้าปากและเอามือแนบหู กลายเป็นไอคอนิกความหลอนที่เราพบเห็นได้ในสื่อทั่วๆ ไป

ท่ามกลางโลกที่เชิดชูแต่ความสมบูรณ์แบบ งานศิลปะชิ้นนี้คือหลักฐานชิ้นดีว่า คนเราไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟกต์ทุกมิติเสมอไป บางครั้งการยอมรับในอารมณ์เศร้า และกล้าที่จะตะโกนบอกคนอื่นว่าเราอ่อนแอ ก็เป็นการปลอบประโลมจิตใจได้ในอีกมุมหนึ่ง 

ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของภาพเสียงกรีดร้องสุดคลาสสิกชิ้นนี้ มุงก์สร้างความอุ่นใจเหล่า The Scream ทั้งหลาย ให้พวกเขารู้ว่า ‘บนโลกที่โหดร้ายนี้ เราไม่ได้สู้มันอย่างเดียวดายเพียงคนเดียว’ 

แม้จะผ่านมากว่าศตวรรษ แต่เสียงกรีดร้องของ The Scream ยังคงดังก้องในหัวใจคนทั่วโลกเสมอ นี่คือหลักฐานว่าแม้เทคโนโลยีจะพัฒนามากแค่ไหน แต่ก็ไม่ช่วยเยียวยาความรู้สึกเศร้าในใจของผู้คนได้เลย เพราะสิ่งที่มองไม่เห็น และน่ากลัวไม่ได้มีแค่ ‘ผี’ แต่รวมถึง ‘ความเศร้า’ ในใจเราเช่นกัน

AUTHOR