หลังจากจบงาน a doc เราก็ไม่ได้เจอ ต่อ-สิทธิชัย รักพินิจ เจ้าของเพจ เด็กเซราะกราว นานหลายปี
วันหนึ่งเราก็ได้เห็นผลงานล่าสุดจาก YouTube Channel ของ DEKSORKRAO เป็นวิดีโอล้อเลียนตัวอย่างหนังเรื่องดังอย่าง SPIDER MAN : NO WAY HOME คลิปของต่อยังเรียกรอยยิ้มจากเราได้เหมือนเดิม การใช้สถานที่ละแวกบ้านสร้างสรรค์เป็นภาพยังทำได้ดีเหมือนตอนคลิปเอ็มวี BLACKPINK ที่เพิ่มเติมคือมีเทคนิคด้านภาพที่ดีขึ้น (รอบนี้มี CG) ยอดวิวก็ค่อยๆ ไต่ขึ้นอย่างน่าพอใจ
ต่อเล่าให้เราฟังว่า หลังจากทำงาน BLACKPINK จนดัง เขาก็ยังทำคลิปสไตล์ล้อเลียนหรือ parody อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นที่เอ็มวีเป็นหลัก ศิลปินก็มีเปลี่ยนไปทำวงอื่นบ้างในวงการ K-pop มีแบรนด์มาลงโฆษณาอยู่เรื่อยๆ ช่องมีแนวโน้มที่ดี
ถึงจุดหนึ่ง ความราบรื่นก็มีข้อไม่ดีอยู่บ้าง มันทำให้เราอยู่ใน comport zone จนไม่ได้ทำอะไรใหม่ ช่วงหลังมานี้ต่อเลยพยายามทำงานสไตล์อื่นบ้าง หลุดจากงานเอ็มวีที่ต้องถ่ายด้วยมุมและจังหวะที่เคร่งครัด มาทำอะไรที่อินและชอบดูบ้าง
“BLACKPINK ยังไม่ออกเพลงใหม่ เราอยากทำงานตามใจตัวเองบ้าง เราชอบหนัง บวกกับว่าง เราว่างบวกกับเราอยากให้คนดูเห็นว่าเราไม่ได้ทำแค่เอ็มวีนะ อยากให้คนดูเห็นความสามารถของเราในมุมอื่นบ้าง” ต่อเล่า
สุดท้ายเขาลองทำงานเกี่ยวกับหนัง โดยเริ่มจากคลิปล้อเลียนตัวอย่างหนัง Squid Game ซีรีส์เกาหลีที่ดังระดับโลก จากนั้นเขาก็หางานที่สอง ครั้งนี้เขาอยากเล่นกับตัวอย่างหนังที่เป็นกระแสอย่าง SPIDER MAN : NO WAY HOME รอบนี้เขาทำตัวอย่าง Teaser Trailer ทั้งตัวแรกและตัวเต็ม
จุดเด่นของเด็กเซราะกราวตั้งแต่งานของ BLACKPINK คือการใช้ฉากและตัวละครในชุมชนละแวกบ้านมาทำงานล้อเลียน เลือกใช้ภาพได้สนุก ในจังหวะที่แม่นยำ สิ่งนี้ยังไม่หายไปจากงานตัวอย่างหนังชิ้นนี้ ตัวอย่างเช่น ในตัวอย่างหนังจะมีฉากของ Dr.Strange ร่ายเวทมนตร์ ผู้กำกับก็เอาของใกล้ตัวอย่างหม้อและน้ำปลามาครีเอตได้สร้างสรรค์
“หลายฉากเราคิดหน้างาน ฉากนี้เรานัดพ่อ (เล่นเป็นด็อกเตอร์สเตรนจ์) กับน้องที่เป็นสไปเดอร์แมน เราคิดแค่ว่าอยากให้มีอะไรตรงกลาง พ่อก็บอกว่าเอาหม้อแล้วกัน ทำให้เหมือนต้มอะไรสักอย่าง สักพักเราเห็นว่าในหนังต้นฉบับเขาเหยาะอะไรสักอย่าง เราก็คิดว่าน้ำปลาแล้วกัน เป็นภาพที่แวบเข้ามาในหัว คล้ายๆ ตอนเราต้มแกง” เจ้าของเพจเด็กเซราะกราวเล่าเบื้องหลังการสร้างงาน
การทำ YouTube Channel เป็นแหล่งสร้างรายได้ก็จริง แต่ปัจจุบันสนามนี้แข่งขันสูงมาก ต้องลงคลิปเป็นประจำ คู่แข่งก็เยอะ หลายครั้งเราจึงเห็นครีเอเตอร์จำนวนมากออกมาทำคลิปสารภาพหน้ากล้องว่าเกิดอาการหมดแรง burn out ต้องขอพักชั่วคราว สำหรับเด็กหนุ่มอย่างต่อก็เช่นกัน ถึงจะดังจากงานเอ็มวี เขาก็ไม่อยากให้ตัวงานมาเป็นกรอบกำหนดชีวิตมากเกินไป จนหลงลืมความสนุกในการสร้างงาน
“BLACKPINK จะมีความกดดันตอนทำนิดๆ พอคลิปมันดังมาก คลิปต่อไปก็จะรู้สึกอยากให้ดังอีก แต่กับ สไปเดอร์แมน เรากลับคิดว่าไม่ดังก็ไม่เป็นไร มันเป็นงานใหม่ของเรา ทำแบบสบายๆ
“ตอนนี้ผมอยากให้ตัวช่องโฟกัสเรื่องของการทำ parody cover ไม่ใช่แค่ BLACKPINK แต่คือทุกอย่าง มีความคิดสร้างสรรค์ที่ใช้ต้นทุนและสิ่งของจากชุมชน ต้นทุนต่ำ ทำทุกอย่างที่เราอยากทำและอิน” ประโยคสุดท้ายดูเหมือนจะเป็นเคล็ดลับในการทำงานสร้างสรรค์ให้ยั่งยืนที่สุด