ชนาธิป สรงกระสินธ์ อาหารบ้านๆ คือความทรงจำในวัยเด็กกับครอบครัว ที่เป็นกำลังใจของชีวิตในวันนี้

เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์ กลายเป็นคนกินง่ายขึ้นเยอะตั้งแต่มาอยู่ญี่ปุ่น 

นั่นเป็นเพราะว่าโภชนาการที่ทางสโมสรเป็นผู้จัดให้ เป็นอาหารครบหมู่ มีทั้งเนื้อสัตว์ ผัก ตับ โยเกิร์ต ผลไม้ จากที่ไม่ค่อยกินผักเจก็กินผักเยอะขึ้น หรือปลาดิบก็มากินได้ที่นี่แม้แต่นัตโตะหรือถั่วเน่าสารอาหารสูงที่คนไม่ค่อยกินเขาก็ยังกินได้

ปัจจุบันเจ หรือ ‘ชนาคุง’ เป็นนักเตะของสโมสรคาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ทีมชั้นนำในเจลีก และต้องย้ายจากเมืองซับโปโร ที่ตั้งของสโมสรก่อนหน้าอย่างคอนซาโดเล่ ซัปโปโร ทางตอนเหนือของประเทศ มาที่เมืองคาวาซากิซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหลวงโตเกียวประมาณ 30 นาที 

มันทำให้เขารู้สึกคล้ายๆ ตอนที่ย้ายจากนครปฐมบ้านเกิดไปกรุงเทพฯ 

“รู้สึกเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงอีกครั้ง” เจกล่าวสนุกตามสไตล์คนอารมณ์ดีของเขา   

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 ตอนที่เขาย้ายมาค้าแข้งที่ญี่ปุ่นใหม่ๆ เจบอกว่านั่นก็ยากแล้ว เพราะมันคือการมาพิสูจน์ตัวเองในฐานะนักเตะไทย แต่ย้ายจากคอนซาโดเล่ ซัปโปโรมาคาวาซากิ ฟรอนตาเล่ นั้นยากกว่า เพราะเขาถูกซื้อตัวมาด้วยราคาแพง จากทีมเจลีกทีมหนึ่งสู่อีกทีมที่มีอันดับดีกว่า

“ผมว่ามันเหมือนเป็นบันไดอีกขั้นหนึ่งที่ยากต่างกัน เพราะความคาดหวังของทุกคนมีมากขึ้น กลายเป็นความกดดัน เราก็ต้องพยายามมากขึ้นจากที่พยายามอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมทีม กับระบบทีม ทำตามที่โค้ชต้องการให้ได้ ทำยังไงเราถึงจะมีสถิติในสนามที่ดี และเก็บชัยชนะกับทีมให้ได้ เพื่อแฟนบอลชาวไทยที่เอาใจช่วยเรา หรือแฟนบอลญี่ปุ่นเองก็ตาม มันก็เลยยากมากๆ จากที่เรามาพิสูจน์ตัวเองในคอนซาโดเล่ ซัปโปโร กลายเป็นความคาดหวังว่าเรามาที่คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ เพื่อต้องเป็นแชมป์”

สิ่งหนึ่งที่เจต้องปรับตัวตอนมาใหม่ๆ ก็คือเรื่องสภาพอากาศที่ซัปโปโร ซึ่งพอเข้าหน้าหนาว เขาก็ต้องเจอกับการซ้อมบอลกลางหิมะ ซึ่งถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิต

“แรกๆ เราไปก็กังวลมากกับเรื่องนี้ นักข่าวก็ถามว่าจะมีผลต่อการใช้ชีวิตที่นี่มั้ย เพราะว่าที่ซัปโปโรหิมะตกเยอะ ผมก็เลยตอบไปว่า พวกคุณเป็นมนุษย์หรือเปล่า ถ้าพวกคุณเป็นมนุษย์ ผมก็อยู่ได้ เพราะเราก็เป็นคนเหมือนกัน (หัวเราะ) กลายเป็นว่าอยู่ไปก็ชิน คือตื่นเต้นแค่ปีแรกเท่านั้นเอง”

เวลาผ่านไป เจเริ่มชินกับการใช้ชีวิตที่นั่นมากขึ้น เขาก็เริ่มรู้จักร้านอาหารอร่อยๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นร้านเนื้อย่างยากินิกุ ร้านซูชิโอมากาเสะ หรือร้านพวกปูยักษ์ ร้านขายอาหารทะเล ร้านผลไม้ที่อร่อย ร้านยากิโทริที่อร่อยที่สุดในซัปโปโร ร้านแกะย่างที่อร่อยที่สุดในซัปโปโร ฯลฯ

“ผมไปมาทั่วแล้ว ก็พบว่าปรับตัวไม่ยากเลย อาจจะเป็นด้วยสไตล์ผมที่พร้อมที่จะออกไปเจออะไรใหม่ๆ ด้วย และเราก็พอที่จะรู้เรื่องภาษาญี่ปุ่นแล้ว”

จากซัปโปโรสู่คาวาซากิ เจบอกว่าก่อนหน้านี้ค่อนข้างวุ่นวายกับการย้ายบ้าน ใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะลงตัวเรื่องบ้านเช่า ก่อนหน้านี้ทางสโมสรก็เช่าโรงแรมให้อยู่ อยู่โรงแรม ตื่นเช้ามาซ้อม ช่วงนั้นก็อาจจะยุ่งและลำบากหน่อย

“พอย้ายเข้ามาอยู่บ้านก็ยุ่งเรื่องจัดของ เหนื่อยเลยครับ ไปซ้อม แล้วแข่งถี่ คนที่นี่ก็จะรีบร้อนหน่อย เป็นเมืองกระตือรือร้น คนซัปโปโรจะชิลล์ๆ อยู่ที่คาวาซากิ เรื่องอาหารการกิน พอซ้อมเสร็จ เราสามารถทานข้าวได้เลยที่คลับเฮาส์ เขาจะมีอาหารให้เรา บังคับให้ทุกคนทานข้าวที่สโมสรในตอนกลางวัน เพื่อให้สารอาหารไปฟื้นฟูร่างกายได้ทันทีหลังการใช้งาน หลังจากนั้นผมก็จะเสิร์ชแล้ว ซ้อมเสร็จวันนี้ไปไหนดี คาวาซากิเป็นเมืองที่ใกล้กับโตเกียว ผมก็มักจะขับรถเข้าโตเกียวไปหาร้านกาแฟนั่ง แต่บางวันพอเห็นเวลาการเดินทางในแม็ปแล้วนานเกินก็ไม่ไปดีกว่า เหนื่อย”

มาอยู่ที่ญี่ปุ่น ปกติแล้วเจจะโทรคุยกับแม่ทุกวัน ส่วนพ่อจะคุยเป็นครั้งคราว แต่ถ้าเป็นก่อนแข่งก็จะโทรขอกำลังใจจากทั้งพ่อและแม่ รวมทั้งในไลน์กลุ่มของครอบครัวที่มีพี่ชายกับพี่สาวร่วมให้กำลังใจด้วย

นอกจากโทรคุยกับแม่ทุกวันตามปกติแล้ว ช่วงนี้เจยังมีเรื่องให้ต้องปรึกษาและอวดแม่ไปในตัวด้วย นั่นคือการทำอาหาร

เจลงมือเข้าครัว และเลือกลองทำเมนูอาหาร 3-4 อย่าง ซึ่งล้วนเป็นอาหารบ้านๆ ที่เขากับครอบครัวเคยล้อมวงกินด้วยกัน มันเหมือนได้เรียกความทรงจำเก่าๆ กลับมา และช่วยให้เขาหายคิดถึงครอบครัว  

“พูดถึงคำว่าอาหารบ้านๆ ผมจะนึกถึงพวก ไก่ทอด ไข่ดาว กะเพราหมูสับ กะเพราหมูกรอบ และก็หมูกระเทียม มันอบอุ่นบอกไม่ถูกนะ เพราะเป็นอาหารที่เราเคยกินกับคนในครอบครัว ผมเพิ่งจะมาทำอาหารที่คาวาซากินี่เอง ครัวที่บ้านเก่าที่ซัปโปโรไม่เคยเปื้อนเลย พอมาคาวาซากิครัวเปื้อนซะแล้ว ทอดไก่ทีน้ำมันกระเด็นเลอะไปทั่วครัว คิดว่าอย่างน้อยเราได้มีอีกเคล็ดวิชาติดตัวไว้ ประหยัดเงินด้วย แม่บอกว่าผมนี่ยิ่งโตยิ่งขี้เหนียว ผมจะไปซื้อวัตถุดิบพวกซีอิ๊ว น้ำมันหอย ใบกะเพรา พริก กระเทียม จากร้านอาหารไทยในโยโกฮาม่าซึ่งอยู่ใกล้กัน อุปกรณ์พร้อม ผมเป็นสไตล์ทุกอย่างต้องมีครบ แล้วก็มีพี่ที่เป็นล่ามของผมซึ่งทำอาหารเป็นคอยช่วยสอนอีกคน เอาตรงๆ การทำอาหารมันสนุกนะครับ แต่ตอนล้างไม่ค่อยสนุก ยิ่งตอนเราอิ่มแล้วด้วย ส่วนรสชาติก็น่าจะทำขายได้นะผมว่า อวยตัวเองครับ” เจเล่าพลางหัวเราะครื้นเครง

เจเล่าว่าปกติตอนเด็กๆ พ่อจะเป็นคนที่ทำอาหารช่ำชองกว่าแม่ แต่พอหลังๆ เริ่มโตมา พ่อมีเวลาน้อยลงเพราะต้องสอนฟุตบอลให้เจ ก็เลยเป็นหน้าที่ของแม่ที่ต้องทำอาหารให้ลูกๆ กิน แม่จึงเริ่มเก่งขึ้น

“จำได้ว่า ตอนเช้าเวลาไปโรงเรียน แม่ผมเขาก็จะทำเป็นอาหารแบบฝรั่ง ไข่ดาว แฮม แล้วก็ไส้กรอก บ้านผมมีพี่น้อง 3 คน ตอนเช้าแม่ก็จะทำเมนูเดิมๆ แบบนี้ให้ทุกวัน เสร็จแม่ผมก็จะขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่ง แล้วก็มีนมให้ผม คือผมตัวเล็ก แม่เขาก็จะบังคับให้ดื่นนม ถ้าพูดตรงๆ เมื่อก่อนผมเป็นคนกินยากครับ เป็นคนไม่ค่อยกินข้าว ให้กินอะไรก็ไม่ค่อยอยากกิน ชอบเล่น”

นานๆ ทีพ่อกับแม่ก็จะเข้าครัวทำอาหารรับประทานกันในครอบครัว พ่อเจทำเป็นทุกอย่าง นึ่ง ทอด ต้ม ย่าง และทำอร่อย เมนูก็มีตั้งแต่ง่ายๆ อย่างกะเพรา ไปจนถึงปลากะพงนึ่งมะนาว วันไหนขายขนมดีๆ แม่มีเงินก็จะไปซื้อพวกกุ้งเผา ปูม้า แม่เอามานึ่งแล้วพ่อก็ตำน้ำจิ้มซีฟู้ด แต่ไม่ได้ทำบ่อย เพราะว่าแพง

“บ้านเราก็จะเป็นสไตล์นี้ คือเราอาจจะไม่ใช่ครอบครัวที่ใหญ่ และก็ไม่ใช่ครอบครัวที่มีเงินเยอะ ต้องไปกินของเลิศหรูหรือราคาแพง อาหารบ้านๆ เราทำกินกันเองง่ายๆ ก็อร่อยแล้ว คือ หนึ่ง มันอร่อยเพราะเป็นอาหารที่พ่อแม่เราทำ สอง มันอร่อยแบบอิ่มอกอิ่มใจ มีความสุข ผมว่านั่นเป็นสิ่งสำคัญ ความพิเศษมันไม่ได้อยู่ที่อาหาร แต่พิเศษตรงที่ว่าเราทานกับใคร แล้วพอโตมาเราก็ไม่ได้มีโอกาสเยอะแบบนั้น ที่มาทำทานกันเอง พอทุกคนโตขึ้นก็แยกย้ายกันไป ส่วนใหญ่จะเป็นความทรงจำในวัยเด็กที่ผมกับครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกัน เพราะชีวิตผมเดินทางตลอด อย่างมาอยู่ญี่ปุ่นก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ยิ่งมาเจอโควิดก็ทำให้มาหากันได้ยากขึ้น”

2 ปีที่ผ่านมา โควิดส่งผลกระทบกับเจที่ญี่ปุ่นหลายอย่าง แต่ตอนนี้ก็ถือว่าชินกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว เจหวังว่าหมดโควิดเมื่อไหร่เขากับครอบครัวจะได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาล้อมวงกินอาหารด้วยกันอีกครั้ง

และคงพิเศษยิ่งขึ้นไปอีกหากคราวนี้ชนาคุงจะเป็นคนโชว์ฝีมือทำอาหารบ้านๆ ของเขาให้ทุกคนในครอบครัวได้กินกัน

AUTHOR