“ทุกคนมีจังหวะชีวิตเป็นของตัวเอง”
ถึงแม้ทุกวันนี้ใครๆ ก็สามารถสร้างคอนเทนต์หรือแม้กระทั่งเป็นศิลปินด้วยตัวเองได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสเดินตามความฝันของตัวเอง
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่ากว่า QLER และ YourMOOD จะเป็นศิลปินอย่างทุกวันนี้ ก็เคยเป็นเป็ดที่หลงทางมาก่อน เพราะทั้งคู่ไม่ได้เรียนดนตรีมาตั้งแต่แรก คนหนึ่งเรียนจบวิทยาศาสตร์อาหาร ส่วนอีกคนหนึ่งเรียนจบด้านกีฬา แต่ด้วยความรักในเสียงเพลงได้พาพวกเขาเดินทางมายืนบนถนนดนตรีในที่สุด
ในวันที่เริ่มต้นต้องถือว่าห่างไกลจากความสำเร็จพอสมควร แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ความพยายามและความตั้งใจจริงที่ทำให้มาอยู่ตรงนี้ได้ ในวาระครบรอบ 9 ปี What The Duck เราจึงชวน QLER และ YourMOOD สองศิลปินหนุ่มประจำบ้านเป็ดมาพูดคุยถึงเส้นทางดนตรีของพวกเขากัน
QLER: เป็ดขี้เหร่ที่อยากใช้ชีวิตแบบสุดสักทางดูบ้าง
“…เธอไปกับหนุ่มขี้เซา เสื้อสีเทา แบบเขาที่หน้าตาดี…”
เพลงฮิตติดหูที่สร้างไวรัลไปทั่ว TikTok จนกลายเป็นเพลงโปรดของใครหลายคน หลังจากผ่านไป 6 เดือน เพลงยังคงฮิตติดชาร์ตทั้งใน Joox หรือ Spotify ส่วนยอดล่าสุดในยูทูบก็ทะลุ 15 ล้านวิวไปแล้ว
ยอมรับตามตรงว่าตอนแรกชื่อของ QLER นั้นไม่คุ้นหูเราเท่าไหร่ แต่หลังจากได้พูดคุยกับ QLER หรือ คิว–ฐิติพงศ์ เกิดแก้ว ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมผู้คนถึงรู้สึกหลงรักหนุ่ม Good Boy ย่านอารีย์คนนี้
QLER (อ่านว่า คิวเล่อ ไม่ใช่ เคลอ เควีย เคลียร์) คือชายหนุ่มที่เติบโตมากับการเห็นพ่อเล่นกีตาร์เป็นประจำ ทำให้เขาชื่นชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็ก คิวเริ่มต้นเส้นทางดนตรีด้วยการทําเพลงเองทุกขั้นตอนในวัย 20 ปี และโด่งดังระดับ 40 ล้านวิวจากเพลงจีบ จนได้เป็นศิลปินเดี่ยวภายใต้สังกัด What The Duck
ทุกเพลงของคิวจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นบีตป็อปๆ ที่มีดีเทลแทบทุกเพลง หรือเนื้อร้องที่เล่าถึงความสัมพันธ์ทั้งโดยตรงและคนรอบตัวในมุมมองที่แตกต่างออกไปนำมาใส่ในเพลงป็อปได้อย่างไม่เขินอายจนหลายคนยกให้เขาเป็นศิลปินเจ้าประจำแห่งวงการเพลงคลั่งรัก
ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย หากใครที่ติดตามชาแนล Youtube หรือ TikTok น่าจะเห็นว่าคลิปร้องเพลงคัฟเวอร์ที่คิวทำนั้นเยอะและลงถี่มาก ด้วยความตั้งใจที่จะทำผลงานที่หลากหลายเพื่อให้แฟนเพลงได้ฟังสิ่งแปลกใหม่อยู่เสมอ
ถึงแม้ว่าผลงานจะพิสูจน์ความสามารถ แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นเป็ดขี้เหร่ที่ไม่เข้าฝูงกับคนอื่น แถมตลอดชีวิต 26 ปียังไม่เคยทำอะไรที่สุดสักทาง ถึงอย่างนั้นคิวก็บอกกับเราว่า ‘การเป็นเป็ดมันก็ไม่ได้แย่ อย่าไปกดดันตัวเองมากขนาดนั้น’
บทสนทนาว่าด้วยเส้นทางการเป็นเป็ดที่หล่อหลอมมาตั้งแต่วัยเด็กของคิวจะเป็นยังไง นั่นคือเหตุผลที่เรามานั่งคุยกับเขาในวันนี้
จุดเริ่มต้นแบบเป็ดๆ
“เราชอบดนตรีตั้งแต่เด็กแล้ว ด้วยความที่เราอยู่บ้านนอกก็จะเห็นพ่อเล่นกีตาร์ในวงเหล้าบ่อยมาก ตอนนั้นก็รู้สึกว่าเท่จังเลย เพราะมันดูสร้างความสนุกอะไรบ้างอย่างได้ เราก็เลยอยากเล่นบ้าง ก็เริ่มจากการเล่นกีตาร์ก่อน จากนั้นก็เริ่มแต่งเพลงตอนมัธยมต้น เคยแต่งเพลงให้โบสถ์ แล้วก็แต่งมาเรื่อยๆ
“จุดพลิกผันคือช่วงเข้ามหาลัย เราเลือกเรียนคณะวิทยาศาสตร์อาหาร เพราะความสบายใจของพ่อแม่ ซึ่งเราก็รู้กันอยู่แล้วว่าถ้าไม่ได้เป็นดาราหรือศิลปินที่ขายได้ขนาดนั้น เขาก็ไม่ได้คิดว่าเราจะทำมาหากินในอาชีพนี้ได้ยั่งยืนหรอก เราก็คิดว่าจะเลิกเล่นดนตรีแล้วเพราะอยากตั้งใจเรียน แต่ด้วยความชอบสุดท้ายก็หนีไม่พ้นอยู่ดี”
ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและชัดเจน บวกกับแพสชันการเล่นดนตรี ทำให้ผลงานของเขาไปเตะตาบอล SCRUBB ผู้บริหารค่ายเพลงอินดี้แห่ง What The Duck
“จุดเริ่มต้นมันเป็นเรื่องของคืนๆ หนึ่งที่เรากำลังจะนอนแล้ว ปกติเราก็จะตอบสตอรีไอจีคนที่มาฟังเพลงเรา ซึ่งตอนนั้นมีคนเมนชันสตอรีไอจีมา เราคุ้นชื่อมากก็เลยเข้าไปดู ซึ่งก็คือพี่บอล SCRUBB เราก็คุยกันไปมาเขาก็ขอเบอร์แล้วก็โทรมาคุย อีกวันหนึ่งเราก็มาคุยที่ค่าย หลังจากนั้นไม่ถึงอาทิตย์ก็เซ็นเลย เราเป็นคนใจง่ายด้วยแหละ (หัวเราะ)
“จริงๆ ก่อนหน้านั้นก็มีอีก 2-3 ค่ายที่ติดต่อเรามา ถ้ามองในเชิง Business เขามี Resource ที่เยอะกว่า แต่เราเลือกที่นี่เพราะรู้สึกว่า What The Duck มีความเฟรนด์ลี่ มีภาพลักษณ์ที่เป็น Family มากกว่า Business ในฐานะศิลปินเราเองก็ไม่ได้มีอะไรให้ค่ายได้เอาไปขายขนาดนั้น และด้วยความที่ผู้บริหารเข้าหาเราก่อนแล้วก็คุยกันแบบจริงใจ เราก็เลยรู้สึกว่าที่นี่น่าจะเข้ากับเรา
“ซึ่งต้องบอกก่อนว่าเขามองเราก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าพอเพลงเรามีกระแสแล้วเขาจะเข้าหา เพราะเขาจะบอกตลอดว่าก่อนที่เขาจะเซ็นกับศิลปิน เขาจะเข้ามาฟังเพลงก่อน เหมือนเป็นแฟนคลับของศิลปินคนๆ นั้นแล้วก็ใช้เวลาศึกษาระยะหนึ่ง เปรียบเทียบเหมือนกับการที่เราจะคบใครสักคนหนึ่งมันก็จะมีช่วงเวลาเดตหรือช่วงเวลาที่เราต้องศึกษาเขาอะไรประมาณนั้น”
ถึงจะเป็นเป็ด ก็เป็นเป็ดพรีเมี่ยม
อย่างที่รู้กันว่าค่ายเพลงจะต้องมีเอกลักษณ์ที่เด่นด้านใดด้านหนึ่ง แต่สำหรับ What The Duck คือค่ายเพลงที่เต็มไปด้วยความหลากหลายและให้อิสระทุกคน เปรียบเสมือนสนามเด็กเล่น ไม่เฉพาะแค่ศิลปินแต่ยังรวมไปถึงพนักงานในบริษัทที่สามารถลองถูกลองผิดในสิ่งที่อยากทำได้
“เรารู้สึกว่าค่ายมันเป็ดสมชื่อเลยนะ ถ้าเทียบกับค่ายอื่นคือเขาจะมีภาพที่ชัดมาก แต่ What The Duck จะมีความหลากหลาย เราไม่ได้เด่นแค่ป็อป เพราะเราก็มีอินดี้ มีร็อกด้วย ด้วยความหลากหลายของตัวเพลงและคาแรกเตอร์ของศิลปินที่มีความเป็นตัวเองสูง ทำให้เรารู้สึกว่าค่ายมีความเป็นเป็ดมากๆ เลย”
คิวเล่าว่าในยุคที่สิ่งต่างๆ มันอำนวยความสะดวกให้ศิลปินสามารถสร้างผลงานเพลงเองได้ตั้งแต่การเริ่มแต่งเพลงจนถึงการทำคอนเทนต์บนช่องทางออนไลน์ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือความเป็นเป็ดที่ต้องทำได้หลายๆ อย่าง ส่วนหน้าที่ของค่ายคือที่ปรึกษาและคอยซัพพอร์ตศิลปินมากกว่า
“ศิลปินยุคนี้ไม่ใช่แค่คุณอัดเพลงแล้วที่เหลือเป็นหน้าที่ของค่าย มันไม่ได้จบแค่นั้น เพราะว่ายุคนี้ทุกคนมีสื่อ ไม่ต้องมีค่ายก็สามารถทำให้ตัวเองขึ้นไปได้ เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่ศิลปินต้องมีตอนนี้คือการทำได้หลายๆ อย่าง นอกจากแต่งเพลงก็ต้องทำคอนเทนต์ได้ ตัดต่อวิดีโอได้ สามารถสร้างตัวตนบนโลกโซเชียลมีเดียได้ หมายความว่าเราต้องมีสกิลมากกว่าการทำดนตรีแล้ว
“ข้อดีคือถ้าเรามีสกิลหลายด้านก็จะช่วยให้เราทำงานออกมาได้ดีขึ้นได้ อย่างเช่น เราเป็นศิลปินแล้วเขาให้พรูฟเอ็มวี ถ้าเรามีความรู้เรื่องการเกรดสีหรือการตัดต่อนิดหนึ่ง เวลาเราสื่อสารกับคนที่ทำงานด้วยมันจะง่ายกว่าคนที่ไม่มีความรู้เลย ถ้าศิลปินสามารถทำได้หลายๆ อย่าง มันจะทำให้ภาพของตัวเองชัดขึ้นด้วย เราไม่ต้องขอไอเดียจากคนอื่นก่อน เพราะว่าทั้งหมดมันมาจากเรา
“แต่ข้อเสียคือการที่ทำอะไรหลายอย่างจะทำให้เราไม่สามารถโฟกัสกับสิ่งเดียวได้ เราจะไม่มีเวลาใส่ใจพาร์ตทั้งหมด แต่ข้อเสียนี้ก็สามารถถูก push ได้ด้วยทีมที่ดี ซึ่งหน้าที่ของทีมคือคอยซัพพอร์ตให้ไอเดียในหัวเราเกิดขึ้นได้จริง แล้วพอสิ่งที่ออกมาเป็นผลงานในเชิง Business ที่มาจากตัวศิลปินจริงๆ มันจะทำให้คนฟังหรือคนที่เสพงานศิลป์รู้สึกคอนเน็กต์กับอาร์ตของเรามากขึ้น”
ตั้งแต่คิวเริ่มทำเพลงเอง ลงชาแนลของตัวเอง จนมาถึงวันนี้ที่ได้มาเป็นศิลปินในค่ายก็เรียนรู้เติบโตขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการทำงานเป็นทีม
“สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากค่ายมากๆ คือการทำงานเป็นกลุ่ม มีทีมที่เราไว้ใจได้คอยช่วย เราไม่ต้องแบกอะไรไว้คนเดียวอีกแล้ว เมื่อก่อนตอนที่เป็น Independent เราต้องทำทุกอย่างเองหมดเลย ตั้งแต่เขียน ทำดนตรี ทำมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งเราทำไม่เป็นเลย ตอนนั้นเรารับผิดชอบแค่อัปโหลดลงแล้วที่เหลือก็ไปตามเวรตามกรรม แต่พอเข้ามาที่ค่ายเราจะต้องเรียน Process มีทีมที่รับผิดชอบที่เราต้องไปคุยกับเขา ซึ่งเราทำงานกลุ่มไม่ค่อยเก่ง บางครั้งก็มีบางไอเดียที่เราไม่ชอบแต่ก็เกรงใจที่จะบอก แต่ตอนนี้ก็เรากล้าสื่อสารมากขึ้น เพราะสุดท้ายปลายทางของทุกคนคืออยากให้งานออกมาดี”
เป็ดขี้เหร่ที่อยากลองสุดสักทางดูบ้าง
“เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นเป็ดขี้เหร่ ไม่ได้เข้าฝูงกับคนอื่น หลายๆ คนอาจจะมีสิ่งที่เก่งเหมือนกัน แต่เราไม่ได้เก่งขนาดนั้น เราแค่หลงเข้ามาในฝูงที่เขาคอยซับพอร์ตเราเฉยๆ เราไม่อยากเคลมว่าตัวเองเก่งทางด้านดนตรีอะไรขนาดนั้น เพราะเรามีความรู้ด้านดนตรีน้อยมาก เราเรียนจบวิทยาศาสตร์การอาหารแล้วก็จับพลัดจับผลูมาทำเรื่องดนตรี
“เราทำทุกอย่างได้แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง เราอยากสุดทางเดียวแต่ทำไม่ได้ เราก็เลยคิดว่าคนที่สุดทางเดียวคือคนที่เก่ง ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ได้บอกว่าคนที่ทำได้หลายๆ อย่างไม่เก่ง แต่เราแค่อยากทำให้สุดสักทางบ้าง เพราะตลอดชีวิต 26 ปียังไม่เคยทำอะไรที่สุดสักทางเลย”
“คนที่ยังรู้สึกกังวลว่าตัวเองเก่งไม่สุดซักทาง เราอยากบอกว่าจริงๆ แล้วมันไม่เป็นไรเลย ถ้าให้เปรียบเทียบคือคนที่สุดทางเดียวเหมือนกับร้านอาหารที่ทำอาหารอร่อยมากแต่มีเมนูเดียว แต่ข้อดีของเราคือทำได้หลายอย่าง ซึ่งความยิ่งใหญ่มันต่างกัน การเป็นเป็ดมันก็ไม่ได้แย่ อย่าไปกดดันตัวเองมากขนาดนั้น เก่งมากแล้ว”
คุยถึงตรงนี้เราอยากรู้ว่า หลังจากที่เป็ดขี้เหร่ตัวนี้ได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่างในสนามเด็กเล่นแห่งนี้แล้ว ยังมีอะไรที่เขายังอยากลองทำอีกไหม
“เราอยากทำเพลงที่มันหลากหลาย อยากทำอะไรใหม่ๆ เราเคยบอกกับหลายๆ คนว่าจริงๆ แล้วคนที่อนุญาตให้เราทำเพลงต่อไม่ใช่ค่ายเพลง ไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็นแฟนคลับ เพราะสุดท้ายคนที่เสพงานเราจริงๆ ก็คือคนฟัง เพราะถ้าเขาไม่ฟังเพลงเราแล้ว หมายความว่าเราไม่ต้องทำต่อแล้วก็ได้ ถึงแม้ว่าแฟนคลับจะชอบแนวเพลงเดิมๆ ของเรา แต่ถ้ามันเป็นแบบนี้ไปอีกสัก 3 ปี 5 ปีเขาก็อาจจะเบื่อ เหมือนเรามีเมนูโปรดอยู่เมนูหนึ่ง เราคงไม่กินไปตลอดทั้งชีวิต ก็ต้องหาของอร่อยเพิ่มไปเรื่อยๆ
“อีกอย่างคือเราอยากเป็นบอยแบนด์มากเลย (หัวเราะ) ตอนเด็กๆ เห็นปกอัลบั้ม D2B เห็นเขาทำผมทรงนั่นนี่ก็ไปเข้าห้องน้ำเสยๆ ผม เวลาอยู่บ้านคนเดียวก็ลองเต้นๆ คืออยากจะเป็นให้ได้ แต่รู้สึกว่าขนาดเป็นตัวเองทุกวันนี้ยังไม่มั่นใจเลย ถ้าฉีกไปทางนั้นคงต้องใช้เวลานานกว่านี้ คือเราไม่มั่นใจหรอกแต่ก็อยากลองทำ”
YourMOOD: เป็ดเชิญยิ้มที่อยากเอนเตอร์เทนทุกคน
สารภาพตามตรงว่าตอนที่เพลง ลาก่อน ปล่อยออกมาครั้งแรก เราไม่ได้ติดใจหรือคิดอะไรมากไปกว่านี่คือเพลงใหม่ของ YourMOOD ศิลปินวัยรุ่นคนหนึ่ง แต่หลังจากผ่านไปสองปีเพลงนี้ยังคงฮิตติดหูและอยู่ในกระแสโซเชียลเรื่อยๆ เอาเป็นว่าถ้าใครร้องประโยค ‘ลาเธอได้สักที’ ไป ใครต่อใครก็ร้องตามต่อได้ทันทีว่า ‘ลาก่อนให้เธอโชคดี’
สำหรับใครที่ไม่เคยรู้จักเขาคนนี้ เราขอเล่าอย่างย่อว่า YourMOOD หรือ บอย–สุรัตน์ รุ่งพุทธิกุล คือศิลปินคนแรกจาก WHOOP Music ค่ายเพลงน้องใหม่ที่ What The Duck และ THE TOYS ร่วมกันทำด้วยกันเพื่อขับเคลื่อนเส้นทางดนตรีให้มีความอิสระที่หลากหลายมากขึ้น
ก่อนหน้านี้บอยเคยมีผลงานเพลงออกมาแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เขาได้ห่างหายจากวงการเพลงไปสักระยะ ก่อนจะกลับมาอีกครั้งด้วยเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ และแนวเพลงแบบ Synthwave ที่มีกลิ่นอายความวินเทจให้บรรยากาศแบบเพลงป็อปยุค 80 ผลคือได้เพลงที่มีเนื้อหาติดหู เข้ากับยุคสมัยจนใครๆ ก็ร้องตามได้ทั้งเมือง
ใครจะรู้ว่าภายใต้ความดังเป็นพลุแตกของเพลงลาก่อน เขาเกือบจะล้มเลิกในการทำเพลงแล้วไปทำอาชีพอื่น แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาเรียนรู้ว่าความตั้งใจจริงและการลงมือทำคือปัจจัยสำคัญที่จะสามารถประสบความสำเร็จได้
ศิลปินคนแรกของ WHOOP Music
“ความสามารถพิเศษน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราทำอะไรเยอะเยอะเต็มไปหมด ตั้งแต่เด็กเราชอบร้องเพลง ไม่รู้ว่าร้องเพลงเพราะหรือเปล่าแต่ร้องได้ เราชอบเล่นกีฬา เตะบอลได้ ความฝันวัยเด็กมีสองอย่าง คือถ้าไม่เป็นนักร้องก็ต้องเป็นนักบอลทีมชาติไทย”
เมื่อเวลาผ่านไป ถึงแม้ว่าบอยเลือกที่จะเรียนต่อทางด้านกีฬาตามความฝัน แต่ในโลกความเป็นจริงทำให้เขาไม่ได้ไปต่อ และต้องหันมาเลือกดนตรีซึ่งเป็นอีกความสามารถหนึ่งที่เขาทำได้ดีเช่นกัน
“พอโตขึ้นเราเป็นนักกีฬาของมหาลัย แต่เราเองก็ไม่ได้ซ้อมหนักพอ เพราะตอนนั้นก็ร้องเพลงไปด้วย เรียนไปด้วย สมัยก่อนฟุตบอลก็ยังไม่เปิดกว้างเหมือนสมัยนี้ ตอนนั้นมันยังไม่สามารถหาเงินดูตัวเองและครอบครัวได้
“จริงๆ ผมเล่นฟุตซอลไม่ใช่ฟุตบอล ฟุตซอลก็จะยิ่งหนักกว่าฟุตบอลเลย บางคนยังไม่รู้จักเลยฟุตซอลคือไร แล้วก็หาเงินได้ไม่เยอะเท่าฟุตบอลด้วย นอกจากว่าคุณต้องเก่งจริงๆ แล้วก็มีสโมสร เงินเดือนคุณถึงจะเยอะ สุดท้ายแล้วโอกาสทางศิลปินมันมาเยอะกว่าก็เลยเลือกมาด้านนี้”
ก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในค่ายเพลงเต็มตัว บอยเล่าว่าเคยทำงานร่วมกับ The Toys มาก่อน เมื่อเวลาผ่านไปก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งและได้ทำงานร่วมกันอย่างจริงจังมากขึ้น ท้ายที่สุดบอยก็กลายเป็นศิลปินคนแรกของ WHOOP Music ภายใต้ความดูแลของ The Toys ที่ร่วมทำกับ What The Duck
“เราทำเพลงกับทอย (The Toys) มาตั้งนานแล้ว ก่อนที่จะเป็นค่าย WHOOP Music แล้วทอยก็มาทำค่ายเพลงเราก็เลยเข้ามาอยู่ด้วย ช่วงทำแรกๆ มันก็อาจจะยังไม่เข้าที่เข้าทางหรอก แต่เราก็ได้ประสบการณ์รู้ว่าตรงนี้ดี ตรงนี้ไม่ดี ควรปรับควรแก้ไขอะไรตรงไหน จนถึงในตอนนี้ต่อให้คนจะมองว่าดีในระดับหนึ่งแล้ว แต่สำหรับเรามันก็ยังไม่สุด มันก็พัฒนาได้ต่อเรื่อยๆ
“What The Duck เป็นค่ายที่อิสระมาก ศิลปินอยากทำอะไรก็ได้ตามที่ศิลปินคิดมาเลย แล้วก็ค่ายจะเป็นคนตบให้มันเข้าที่เข้าทาง”
ใครทำอะไรได้ทำไปเถอะ แล้ววันหนึ่งมันจะเจอทางที่ใช่
“เราเป็นเป็ดมาตลอด จนได้มาเป็น YourMOOD ก่อนหน้านั้นรู้สึกว่าทำอะไรไม่สุดสักทาง จริงๆ ทำได้หลายอย่าง เล่นบอล ร้องเพลง วาดรูป เรียนหนังสือก็อยู่ในระดับกลางๆ ทำอะไรไม่ค่อยสุดตั้งแต่เด็ก
“พอเราเป็นศิลปินก็สามารถทำได้หลายอย่าง ได้หลายโพสิชันในวงการบันเทิง สามารถเป็นทั้งนักร้องได้ เอนเตอร์เทนได้ บางครั้งก็เป็นพิธีกรได้ ข้อดีคือได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง ได้ลองอะไรใหม่ๆ แต่ข้อเสียก็อาจจะไม่สุดสักทางเพราะทำหลายอย่างเกินไป เรามองว่ามีบางคนไม่ต้องทำหลายอย่างก็ประสบความสำเร็จ หรือบางคนทำได้หลายอย่างแล้วประสบความสำเร็จก็มี สุดท้ายก็อยู่ที่ตัวเราว่าเหมาะกับอะไรและอยากเป็นอะไรมากกว่า
“เรามองว่าใครทำอะไรได้ทำไปเถอะ แล้ววนหนึ่งมันจะเจอทางที่ใช่ จะมาช้าหรือเร็วขอให้ทำ เพราะถ้าไม่ทำเลยมันก็จะไม่มีทางเกิดสิ่งนั้นขึ้น แต่ถ้าเราได้ทำมันก็อาจจะมีโอกาสเกิดขึ้น ต่อให้ใช้เวลาในการประสบความสำเร็จแต่เชื่อว่าสักวันหนึ่งถ้าคุณตั้งใจจริงๆ มันก็จะมีวันที่เป็นวันของคุณ” บอยพูดทิ้งท้าย