เรื่องเล่าจากทศวรรษของการเดินทาง, บทพิสูจน์วันและคืนที่วงดนตรี Musketeers ต้องเดินต่อ

วันก่อนมีคนแชร์โพสต์หนึ่งมาในหน้าฟีดเรา ใจความว่า ’10 ปี Musketeers ยังจำได้ไหม รู้จัก Musketeers ได้อย่างไร’ เรากลับนึกไม่ออกเสียดื้อๆ

แต่รู้ตัวอีกที เพลงฮิตจากอัลบั้มแรก Left Right and Something (2009) และอัลบั้มที่สอง Uprising (2012) ของพวกเขาอย่าง ของขวัญ, ไกล, ความทรงจำแค่บางคำ, Dancing, แค่คุณ, นิทาน, อยากให้เธอลอง, ใจความสำคัญ ก็อยู่ในลิสต์เพลงที่เราร้องได้ตั้งแต่ต้นจนจบ และเชื่ออย่างแรงกล้าว่าหลายๆ คนก็น่าจะเคยฟังและร้องเพลงที่เราเอ่ยชื่อมาบ้าง

วันนี้ Musketeers กำลังจะปล่อยอัลบั้มที่สาม Day & Night และคอนเสิร์ตใหญ่ในวาระครบทศวรรษ เราจึงดึงตัวสมาชิกวงอย่าง เท็น-ชาครีย์ ลาภบุญเรือง (ร้องนำ), พู-ภาคภูมิ นิ่มละมัย (กีตาร์), ด๋อย-สรรวิช หวานสนิท (เบส) และ บิ๊ก-รวิน มิตรจิตรานนท์ (กีตาร์) ลงมาจากเวที ชวนพวกเขาเล่าความทรงจำ 10 ปีที่เดินมาด้วยกัน ชีวิตจริงที่ต้องผ่านบทพิสูจน์ยิ่งกว่านิทานเป็นอย่างไร เส้นทางที่พวกเขาต้องเดินต่อจะเต็มไปด้วยความหวังแบบไหน รู้ได้จากบทสนทนาด้านล่างนี้

 

วงเล็กๆ กับทศวรรษบนเส้นทางดนตรี

อยู่ในวงการเพลงมาถึง 10 ปี พวกคุณมองวงการเพลงตอนนี้เป็นยังไง
เท็น: วงการเพลงเดี๋ยวนี้ค่อนข้างเงียบ ในยุคที่เราก่อตั้ง Musketeers เป็นยุครุ่งเรืองของ Fat Radio ทุกอย่างยังใหม่มากๆ แต่เดี๋ยวนี้มีช่องทางให้คุณเสพดนตรีเยอะขึ้น วิธีการฟังเพลงของคนเปลี่ยนไป อะไรที่เป็นกระแสแป๊บเดียวก็ไป วงหน้าใหม่ในยุคนี้มีเยอะ แต่ที่จะประสบความสำเร็จจริงๆ ก็ยากถ้าคุณไม่เจ๋งจริง

พู: Musketeers น่าจะเป็นวงดนตรีรุ่นท้ายๆ ของยุคนั้น หลังจากนั้นก็จะเหนื่อยกันหน่อย หมายความว่ากว่าวงใหม่ๆ จะขึ้นมามีชื่อเสียงได้เขาต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะ โอกาสที่เหมือนจะเยอะแต่จริงๆ ยาก เมื่อก่อนคนจะฟังเพลงก็ต้องเปิดวิทยุฟังเพลงที่ดีเจเลือก คนฟังเลยมีโอกาสได้เจอเพลงใหม่ๆ ที่เขาอาจจะชอบอยู่ตลอด ไม่เหมือนสมัยนี้อยากฟังเพลงอะไรก็เปิดยูทูป แต่ไม่อยากฟังก็เปลี่ยนเลย ถ้าให้พวกเรามาสร้างชื่อกันในยุคนี้ โอ้โห ยากแน่ๆ

แล้ววันนี้ Musketeers อยู่จุดไหนของวงการ
เท็น: ผมว่าอยู่ที่สายตาคนนอกที่มองเรามากกว่า ตัวเราเองรู้สึกว่า Musketeers ยังเป็นวงเล็กๆ เหมือนเดิม วงที่ทำงานด้วยแนวคิดที่ค่อนข้างเป็นเรา แม้ว่าวงอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันเขาอาจจะไปถึงไหนแล้ว เวลาเราไปเล่นคอนเสิร์ตทุกครั้ง เราก็พูดเสมอว่าเราเป็นวงเล็กๆ ที่อยากให้คนดูสนุกกับเรา

บิ๊ก: เวลาคนพูดว่าเพลงเราดังหรือบอกว่าเราเป็นร็อกสตาร์ เรายังรู้สึกแบบ ‘ใช่เหรอวะ’ ความรู้สึกเราไม่ได้เป็นแบบนั้น เมื่อก่อนเราอาจจะดัง แต่วันนี้วงการก็มีศิลปินที่ดังกว่าเราเยอะแยะ ไม่ใช่ว่าคุณเคยดังแล้วคุณจะดังตลอดไป วันหนึ่งคุณอาจจะหายไปก็ได้ถ้าไม่ทำอะไรดีๆ ออกมา

แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกคุณรักษาความเป็น Musketeers ไว้ยังไง
เท็น: เราไม่เคยชะล่าใจเลยว่าดังแล้วจะทำอะไรก็ได้ เรายังต้องการ input ใหม่ๆ มาทำเพลง ซิงเกิลล่าสุด ปล่อยไว้อย่างนั้น เป็นมุมมองใหม่ที่เรายังไม่เคยเล่า เรามีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้เล่า อยากทำดนตรีใหม่ๆ ที่คนฟังไม่เคยได้ยินจากอัลบั้มเก่าๆ เราจะไม่ทำเพลงสูตรสำเร็จอย่าง ของขวัญ หรือ แค่คุณ ที่ทำไปยังไงคนก็ชอบ เรากล้าที่จะแลกกับสิ่งใหม่ที่เราไม่รู้ว่ามันจะเวิร์กไหม คงเป็นเรื่องนี้แหละที่ทำให้เรายังอยู่ต่อไปได้ และมีไฟทำเพลงตลอดเวลา

พู: เราถือว่านั้นเป็นการลบหลู่ตัวเองมาก เราเป็นคนทำงานศิลปะ ลองนึกดูว่าดาวินชีลงมือวาดภาพโมนาลิซ่ารูปที่ 2 เพื่อขาย ต่อให้ขายได้ คุณค่าก็คงไม่เท่ารูปแรก ทำลายคุณค่าของรูปแรกด้วยซ้ำ สมมติให้เราทำ ของขวัญ 2 เราคงรู้สึกแย่กับตัวเอง ไม่รู้สึกภูมิใจในตัวเองอีกแล้ว เรายอมทำอะไรที่ใหม่แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากกว่าทำอะไรเดิมๆ ซ้ำๆ เพื่อให้ตัวเองมีเงิน เราว่าการสร้างอะไรใหม่ๆ ให้วงการ เป็นความรับผิดชอบของศิลปิน


อดีตตั้งใจปล่อยไว้อย่างนั้น

ช่วงที่เท็นมีปัญหาเรื่องเสียงจากโรคกรดไหลย้อน วันที่กลับมาร้องเพลงอีกครั้ง คุณมีความกังวลบ้างไหม
เท็น: มีนะ เหมือนนักกีฬาที่บาดเจ็บ ส่วนไหนที่เราเคยเจ็บเราจะไม่กล้าใช้อย่างเต็มที่ นักร้องก็เหมือนกัน ในชีวิตเราไม่เคยเจอปัญหาแบบนี้ทำให้เรากังวลมากๆ แต่เรามีวิธีดึงตัวเองกลับมา ช่วงที่เครียดก็มีหมอคอยชี้แนะ จริงๆ แล้วปัญหานี้เป็นเรื่องจิตใจ ไม่ใช่สภาพร่างกาย ถ้าจิตใจกลับมาดีเมื่อไหร่ เราก็จะกลับมาดีได้ อีกอย่างคือเวลาเราเล่นสดกับซ้อมจะคาดหวังต่างกันอยู่แล้ว ดังนั้นเราก็ต้องให้ความสำคัญเวลาที่เราอยู่บนเวที ค่อยๆ ปรับตัวเองให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ

เหตุการณ์นั้นทำให้คุณอยากเลิกร้องเพลงไหม
เท็น: มีอยู่แล้ว จริงๆ ผมไม่ได้ฝันอยากเป็นนักร้องตั้งแต่เด็ก เรียนกฎหมายมา อยากทำอาชีพเกี่ยวกับกฎหมาย แต่สุดท้ายเราเดินมาไกลขนาดนี้ เป็นหนทางที่สำหรับใครหลายคนคงยากที่จะมายืนในจุดที่เราอยู่ เลยรู้สึกว่าทำไมไม่รักษาตรงนี้ไว้ ต้องพยายามทำให้ดีเท่าที่จะทำได้ ที่สำคัญคือยังมีอีกหลายคนอยากฟังเพลงจากเรา เขาอยากให้มีวง Musketeers อยู่ ยังมีคนตามไปเชียร์เราอยู่ทุกๆ ครั้งแม้จะมีกระแสข่าวแง่ลบออกมา คนพวกนี้คือพลังที่ทำให้เราอยากทำเพลงต่อ

ช่วงที่อยากจะเลิกร้องเพลง มีคำพูดไหนที่คุณจำได้แม่นที่สุด
เท็น: เป็นคำพูดจากพ่อผม ถ้าเราฝันอยากทำงานด้านกฎหมายแล้วตั้งใจอ่านหนังสือ เราสามารถเป็นอัยการ ผู้พิพากษา หรืออะไรที่เราอยากเป็นได้ แต่ถ้าเราเรียนเก่งหรือมีเงินเยอะแค่ไหน เราอาจจะเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ เพราะมันคือความชอบของคน พ่อบอกเป็นเรื่องยากเหมือนกันนะ เรามีญาติที่เป็นข้าราชการ หมอ ผู้พิพากษาเยอะ แต่ไม่มีใครเป็นศิลปินเลย ผมเลยลุยต่อ

สมาชิกในวงคนอื่นๆ ล่ะ ตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง
พู: ทุกคนตกอยู่ในภาวะเดียวกัน เท็นจะดาวน์กว่าพวกเราเยอะหน่อยเพราะป่วย การที่เราทำงานต่อไม่ได้ เราเข้าใจนะ ไม่ได้โทษใคร เพราะเป็นผลจากการที่เราใช้ชีวิตค่อนข้างหนักจนทำให้เขาป่วย สุดท้ายเราก็ตัดสินใจกันว่า ถึงเท็นจะไม่หายยังไงก็ช่างมันเถอะ เราทำเพลงก่อนละกัน สุดท้ายก็คือการเลือกทำในสิ่งที่เรารัก

เท็น: ใช่ เป็นเพราะดนตรีเลย สุดท้ายเรากลับมาอยู่ในโหมด Musketeers ได้ คือการทำอัลบั้มชุดที่สอง Uprising เป็นอัลบั้มที่เราอยากจะปลดปล่อยสิ่งที่เราเป็นมากๆ แต่การเป็นกรดไหลย้อนสำหรับนักร้องอย่างเรา มันกระทบกับงานที่เราทำมาก แต่เราเลือกที่จะสู้และอยู่กับมันให้ได้ ตอนนี้เรารู้แล้วว่าต้องออกกำลังกาย กินอาหารที่ไม่แสลงต่อโรค ดูแลตัวเองให้ต่างจากชีวิตที่เราเคยใช้

อย่างกรณีก๊อปเพลง อยากให้เธอลอง ที่พวกคุณเจอ คุณอยากกลับไปแก้ไขอะไรบ้างไหม
เท็น: ถ้ามองความเป็นไปของโลก เรากลับไปแก้ไขมันไม่ได้หรอก เราไม่ใช่คนเดียวในโลกที่เจอปัญหาพวกนี้ เอาแค่ศิลปินรุ่นพี่ของพวกเราแทบทุกวงที่ประสบความสำเร็จมากๆ เขาก็ผ่านเรื่องก็อปเพลงมา เราคิดว่า มาดูว่าเราจะใช้ชีวิตกันต่อไปยังไงดีกว่า เรารู้ตัวเองอยู่แล้วว่าสิ่งที่เราทำคืออะไร

พู: ผมจำคำที่พี่เสก โลโซ เคยพูดไว้เกี่ยวกับศิลปินที่โดนข้อหาว่าก๊อปเพลง พี่เสกบอกว่ามีสองทาง คือคุณอยู่ได้กับคุณอยู่ไม่ได้ ถ้าอยู่ไม่ได้คุณก็จบ แต่ถ้าคุณทนได้คุณก็อยู่ต่อ ถ้าเรารับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ Musketeers คงจบไปแล้ว อดีตมันผ่านไปแล้วแก้ไม่ได้หรอก พวกเรายังมีความหวังในอนาคตอยู่อีกเยอะเลย

ไม่อยากเดินออกมาอธิบายความจริงเหรอ
พู: ถ้าคนเลือกจะเชื่ออย่างหนึ่งไปแล้วคงไม่มีประโยชน์ที่จะอธิบายอะไรต่อ เราอยากอธิบายนะ แต่คุณไม่เชื่อหรอก เพราะยิ่งพูดยิ่งเหมือนเราแก้ตัว ถ้าคุณไม่ชอบ อยากให้เธอลอง เพราะเป็นเพลงที่ไปก๊อปเขามา คุณโยนทิ้งไปเลยก็ได้ แต่ขอยืนยันว่าเราก็ทำงานกันแบบเดิม Musketeers มีหน้าที่พิสูจน์ตัวเองต่อไปว่าเราจะทำเพลงใหม่ๆ มาให้คุณฟัง วันข้างหน้าถ้ามีคนบอกว่าเพลงเราเหมือนศิลปินคนไหนอีก พวกเรายินดีมากๆ เลย

มันทำให้พวกคุณพะว้าพะวงกับเพลงต่อๆ ไปที่จะทำไหม
พู: พวกเราต้องรอบคอบมากขึ้น แต่เป็นเรื่องยากมากเพราะเพลงในโลกมีเป็นล้านๆ เราไม่รู้เลยว่าเพลงที่เราทำจะไปโดนเพลงไหน

ด๋อย: ธรรมชาติของคนทำเพลง เราต้องฟังเพลงเยอะๆ พอเวลาที่ต้องคิดเพลง สิ่งที่เราเสพเข้าไปจะถูกกลั่นกรองออกมาโดยไม่รู้ตัว บางทีเรามีเมโลดี้ออกมาเล่นให้เพื่อนฟัง เพื่อนบอกว่ามันเหมือนกับเพลงนั้น ไปเอามาจากเพลงนั้นใช่ไหม มันเป็นไปได้ที่เราจะไม่รู้ตัว

พู: เหตุการณ์นี้ดีมาก ทุกวันนี้เรายังรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าขอบคุณ เพราะทำให้ผมเห็นมิตรแท้ในยามยากชัดขึ้น บางคนเจอกันต่อหน้าเขาก็มาพูดให้กำลังใจพวกเรา แต่คงลืมไปว่าเป็นเฟรนด์กับผมในเฟซบุ๊ก โห เขาด่าพวกเรายับเลย และเพื่อนดีๆ ที่เข้ามาให้กำลังใจพวกเราก็มีเยอะมากเหมือนกัน

เท็น: เป็นเรื่องสัจธรรมของโลก คุณจะทำงานอะไรยังไงคุณก็ต้องถูกวิจารณ์ แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ตรัสว่าเป็นเรื่องปกติที่คนจะถูกวิจารณ์ สุดท้ายแล้วคนที่ลุกขึ้นยืนเร็วกว่า ทำตัวเองให้ปกติหรือดีกว่าเดิม นี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตพวกเราทุกคนไปต่อได้

ถ้าไม่ใช่เรื่องดราม่า มีเรื่องอื่นที่อยากทำให้ดีกว่านี้ไหม
ด๋อย: รูป PR ตั้งแต่สมัยที่พวกเราเพิ่งออกซิงเกิลแรก (หัวเราะ)

เท็น: น่าจะเป็นมิวสิกวิดีโอหลายๆ ตัวในอัลบั้มแรก (ทุกคนหัวเราะ) ทุกวันนี้เวลาเห็นเพลง ของขวัญ ความทรงจำ แค่บางคำ ในยูทูบ ผมแทบจะอยากปิดจอแล้วฟังแค่เพลงอย่างเดียว ไม่ใช่อะไรนะ ผมรู้สึกเขินกับเอ็มวีสมัยนั้นมากๆ

พู: มันเป็นแฟชั่นของยุคนั้น เราไปเห็นตัวเองทำหัวแหลมๆ ที่ตอนนี้เขาไม่ฮิตแล้วเลยทำใจไม่ได้

รวมถึงมิวสิกวิดีโอเพลง ไกล ด้วยรึเปล่า
ทุกคน: อันนั้นดีๆ (หัวเราะ)

บิ๊ก: เราว่าดีสุดในอัลบั้มแรก เป็นเพลงที่พวกเราได้ผู้กำกับที่เก่งมากๆ มาทำให้ แถมเขายอมขาดทุนเพราะเขาชอบเพลงนี้เป็นการส่วนตัว เลยยอมเข้าเนื้อตัวเองเพื่อจะทำให้มันออกมาดีที่สุด


ท่วงทำนองในความทรงจำ

เคยมีแฟนเพลงเดินมาบอกไหมว่า เพลงของพวกคุณสำคัญกับเขามาก
เท็น: มีครับ รุ่นพี่ผมคนหนึ่งเป็นอัยการ เขาบอกว่าเวลาอ่านหนังสือแล้วอยากจะออกไปเที่ยวข้างนอก เขาจะเปิดเพลง นิทาน ฟัง ยิ่งฟังยิ่งฮึกเหิม อยากอ่านหนังสือและเอาชนะข้อสอบให้ได้ ซึ่งเขาก็สอบเป็นอัยการได้จริงๆ เขาบอกว่าต้องขอบคุณเรา เพราะเพลงเราเป็นแรงบันดาลใจให้เขา ผมว่านี่คือเป้าหมายของเพลงที่แท้จริง

 

แล้วเพลงไหนของ Musketeers ที่แต่ละคนอินที่สุด
บิ๊ก: น่าจะเป็น ดีกว่านี้ ในอัลบั้มแรกที่ไม่เคยถูกโปรโมต แต่จะมีช่วงหนึ่งที่รู้สึกว่าชีวิตเรามันตรงกับเพลงนี้พอดี อยากทำให้ชีวิตตัวเองดีกว่านี้

เท็น: เพลง นิทาน เป็นเพลงที่มาจากคติประจำใจของเรา ‘อันว่าของสูงแม้ปองต้องจิต หากไม่คิดปีนป่ายจะได้หรือ’ ผมเขียนไว้ในหนังสือทุกเล่มที่ผมอ่านตอนเรียน เลยเอาออกมาทำเป็นเพลงให้ตัวเองฟัง ฟังแล้วเราจะได้ออกไปทำอะไรสักอย่างที่เรารู้สึกไม่อยากทำหรือขี้เกียจทำ

ด๋อย: อยู่ที่เธอ เพลงนี้ทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศเก่าๆ สมัยที่เราเริ่มรวมตัวกันตอนที่ยังวัยรุ่น มันให้กลิ่นวันเก่าๆ เหล่านั้นกลับมา ทำให้นึกถึงชีวิตตอนนั้นที่เหนื่อยกันมากๆ แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าลำบากอะไรเลย ฟังแล้วเหมือนได้รับพลังกลับคืนมา

พู: ของผมเป็น อยากให้เธอลอง หลังจากมิกซ์เพลงนี้เสร็จแล้วผมนั่งฟังเป็นชั่วโมง จนโปรดิวเซอร์แซวว่าอย่าฟังบ่อยเดี๋ยวเพลงจะช้ำ (หัวเราะ) ผมโคตรชอบเลย เป็นเพลงที่ลงตัวมากๆ กลมกล่อมทั้งดนตรี เนื้อร้อง เมโลดี้ เป็นมาตรฐานว่านี่คือเพลงที่ดีที่สุดของวงในตอนนั้น และมีผลต่อการทำงานในช่วงหลังๆ มาก เพราะเราจะเอาเพลงทุกเพลงที่ทำมาเทียบกับเพลงนี้ หวังว่าในอนาคตวงเราจะมีมาตรฐานที่สูงขึ้น


ใจความสำคัญของอัลบั้มใหม่

สิ่งที่อยากจะเล่าในอัลบั้ม Day & Night คืออะไร
พู: เพลงของพวกเราถูกเปรียบเทียบกับช่วงเวลามาตลอด แต่ละคนก็มีความสุขในช่วงเวลาไม่เหมือนกัน บางคนมีความสุขช่วงกลางวัน บางคนเกลียดกลางวันแต่ชอบกลางคืน เพราะฉะนั้นเพลงของเราก็ให้ความสุขกับทุกคนได้ไม่เหมือนกันจนกว่าคุณจะได้ลองฟัง ใบ้นิดนึงว่าทั้งเจ็ดเพลงในอัลบั้มจะเปิดด้วยตอนเช้าแล้วจบด้วยกลางคืน

ในอัลบั้มจะมีเพลงหนึ่งชื่อว่า Day & Night เป็นเพลงที่เล่าเรื่องราว อารมณ์ของพวกเราในตอนนี้ได้ดีที่สุด คือถ้าได้ฟังแล้วจะรู้เลยว่านี่คือแกนของ Musketeers ทั้งเนื้อหาและดนตรี ผมไม่รู้ว่าบางคนอาจมองเราในแบบ ของขวัญ แค่คุณ รึเปล่า แต่สำหรับผมแล้ว Musketeers คือ Day & Night

สิ่งที่แตกต่างจาก 2 อัลบั้มก่อนหน้าคืออะไรบ้าง
พู: พวกเราโปรดิวซ์กันเอง ผมอยากเปลี่ยนโปรดิวเซอร์บ่อยๆ เพราะ 2 อัลบั้มที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้จากโปรดิวเซอร์รุ่นใหญ่ๆ ที่เขาทำเพลงให้เรามาเยอะมาก การโปรดิวซ์เองก็คือการเปลี่ยนโปรดิวเซอร์เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเราอาจหาญหรือว่าเก่งแล้วนะ แต่เราอยากให้ 2 อัลบั้มนั้นได้ให้อะไรกับอัลบั้มที่ 3 บ้าง

การเป็นโปรดิวเซอร์ครั้งแรกรู้สึกกดดันบ้างไหม
พู: ไม่รู้สึกกดดันอะไรเลยเพราะเราโปรดิวซ์ให้ตัวเอง ถ้าอัลบั้มไม่ดีก็ไม่ดีส่วนของเราโดยไม่ต้องโทษคนอื่น เราไม่ชอบสร้างความเสียหายให้ใคร ถ้าอัลบั้มจะเจ๊งก็เจ๊งแค่เราเนี่ยแหละ (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่าอัลบั้มนี้ดีมากๆ ดีที่สุดเท่าที่เคยทำมา อีกอย่างคือโปรดิวเซอร์ต้องจัดการเรื่องเงินด้วย ทำให้รู้ว่าถ้าเราแพลนไม่ดี รายจ่ายก็จะบานปลาย ซึ่งเราแพลนกันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ (หัวเราะ)


ชีวิตจริงยิ่งกว่านิทาน

สมมติเรื่องราว 10 ปีที่ผ่านมาเป็นนิทานเรื่องหนึ่ง เจ้า Musketeers จะเป็นตัวละครแบบไหน
เท็น: เป็นตัวละครที่สมบุกสมบันมาก ถ้าเราไม่เคยเจอปัญหาใหญ่ๆ มาก่อน เราอาจเป็นวงดนตรีที่หลงระเริงชื่อเสียงก็ได้ เราอาจไม่ใช่คนแบบนี้อย่างที่นั่งคุยกันอยู่ เรามองว่าความสมบุกสมบันทำให้ชีวิตมีรสชาติขึ้น การทำวงมาสิบปีมีหลายรสชาติมากจริงๆ มองภาพง่ายๆ Musketeers คงคล้ายกับ Forrest Gump เป็นหนังที่เราว่าน่าจะเหมาะกับเรื่องราวของวง

พู: ตัวละครมีประเภทที่เก่งมาเลยกับตัวกระจอกที่ไม่ได้เก่ง เราเป็นอย่างหลัง เป็นตัวกระจอกที่เข้าไปในสงคราม เกือบตายแต่สุดท้ายก็รอดกลับบ้านได้ คล้ายๆ กับ Forrest Gump โดนส่งไปส่งคราม แต่รอดมาเพราะความเป็นตัวของตัวเอง

อยากเห็นเจ้า Musketeers เป็นยังไงในตอนจบ
เท็น: เราว่าตอนจบมันเลยมาตั้งแต่อัลบั้มแรกแล้ว คือการที่เราได้เป็นศิลปิน มีอัลบั้มของตัวเอง มีเพลงติดชาร์ต และมีทัวร์คอนเสิร์ตที่เป็นผลพลอยได้จากการที่วงเราประสบความสำเร็จในตอนนั้น เราเคยถามรุ่นพี่ในวงการว่าเมื่อไหร่ผมจะมีทัวร์คอนเสิร์ตเยอะๆ แบบพี่ เขาบอกว่าต้องใช้เวลา อย่างน้อย 3 อัลบั้ม เราจำประโยคนั้นได้ แต่สุดท้ายเราก็พิสูจน์ได้ว่า Musketeers สามารถมีทัวร์คอนเสิร์ตได้ตั้งแต่อัลบั้มแรก จนถึงทุกวันนี้เราก็ยังไม่เคยหยุดทัวร์คอนเสิร์ตเลย นี่คงเป็นตอนจบที่พิสูจน์ตัวเองได้ในระดับหนึ่ง

คาดหวังให้ Musketeers เป็นนิรันดร์ไหม
เท็น: ผมอยากให้วงเราเป็นนิรันดร์อยู่แล้ว และคงเป็นหน้าที่ของเพลงที่จะทำให้ชื่อวงอยู่ไปตลอด อย่าง NIRVANA เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้หรอกว่า Kurt Cobain เป็นคนยังไงหรือเป็นอะไรตาย แต่เขาฟังเพลงวงนี้แล้วเขาชอบ เพลงทุกเพลงมันเป็นนิรันดร์ด้วยตัวเองอยู่ ไม่ว่าจะหยิบจับมาฟังช่วงเวลาไหน เพลงก็ยังจะไพเราะในแบบของมันอยู่ แต่เราไม่รู้หรอกว่า เพลงของ Musketeers จะอยู่ได้ถึงกี่ปี แต่ก็หวังว่าเพลงน่าจะให้อะไรกับคนฟังในอนาคตได้บ้าง

คอนเสิร์ตใหญ่ที่จะมาถึงครั้งนี้อยากให้ของขวัญอะไรกับแฟนๆ ในวาระครบ 10 ปีบ้าง
เท็น: เรากับค่ายรู้สึกว่าเราทำวงมา 10 ปีพอดีและกำลังจะวางอัลบั้มที่ 3 เพราะฉะนั้นคอนเสิร์ตครั้งนี้ควรมีอะไรที่พิเศษมากกว่าการวางอัลบั้มใหม่ เราอยากให้แฟนๆ ไปฟังเรื่องที่อยากจะเล่า ทุกเพลงที่เราเขียนมีใจความสำคัญและที่มาที่ไปยังไง และเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เกิดเพลงๆ นั้นขึ้นมา ผ่านบรรยากาศคอนเซปต์ของ Day & Night ที่มีช่วงเวลามาเกี่ยวข้อง

เวลาที่เราโชว์ตามที่ต่างๆ มักจะมีเพลงที่มีคนขอแต่เราไม่มีโอกาสเล่นให้ ตอนนี้เวทีเป็นของเราแล้ว เราจะเล่นทุกเพลงที่เรามีใน Left Right and Something และ Uprising เราจะทำโชว์ในแบบที่เราอยากให้มันเป็นมากที่สุด รวมทั้งแสงสีเสียงที่จัดเต็มมากๆ และแขกรับเชิญที่เกี่ยวพันกับเรามาตลอด 10 ปี

กระซิบบอกหน่อยได้ไหม
พู: เป็นวงดนตรีที่มีศักดิ์ศรี แต่อีกคนหนึ่งเก็บไว้เซอร์ไพรส์แล้วกันนะ

 

หากคุณเป็นแฟนๆ ของพวกเขา อย่าลืมมามันกับคอนเสิร์ตครบรอบ
10 ปี ของ Musketeers ‘What The Duck Presents 10 Years Musketeers Concert’
วันที่ 9 กันยายนนี้ ที่ Voice Space บัตรราคา 800 บาท อย่ารอช้า
ซื้อบัตรได้แล้วที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา หรือที่เว็บไซต์ thaiticketmajor.com
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2262-3838 และ Facebook | Whattheduck และ Musketeers

ภาพ กฤต วิเศษเขตการณ์

AUTHOR