อลิสา จณิน โวลล์มันน์ : นักร้องสาวฮอตจาก Thailand’s Got Talent Season 6 ที่เท่ทั้งเสียงและความคิด

เรารู้จัก อลิสา จณิน โวลล์มันน์
สาวน้อยวัย 18 จากเมืองลำปางครั้งแรกจากการแสดงร้องเพลงบนเวที Thailand’s Got Talent Season 6 ที่ยอดเยี่ยมจนชนะใจกรรมการ
มีการกดปุ่ม Golden Buzzer ให้เธอผ่านเข้าสู่รอบ Semifinal ไปอย่างง่ายดาย และการแสดงของเธอก็กลายเป็นที่ฮือฮาในโลกออนไลน์

จากนั้น เมื่อลองพิมพ์ชื่อของเธอลงในกูเกิ้ล
เราก็พบว่าสาวน้อยคนนี้ไม่ได้แค่มีพรสวรรค์ในการร้องเพลง แต่ยังมีโปรไฟล์น่าสนใจ
เพราะเธอเป็นลูกสาวของ ดร.ธอร์สเทน โวลล์มันน์ นักแต่งเพลงและนักดนตรีชื่อดัง ทั้งยังเคยมีผลงานซิงเกิลอาร์แอนด์บีและเคยแสดงหนังดังของเยอรมันมาก่อน

แต่ยังไม่หมดเท่านี้ เพราะเมื่อเรานัดไปนั่งพูดคุยกับเธอ
ก็พบว่าสาวน้อยคนนี้ยังมีตัวตนและความคิดอ่านที่น่าสนใจมากๆ ด้วย ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่เคยประทับใจเสียงร้อง
ทึ่งกับประวัติของเธอ ขอเชิญอ่านบทสนทนาที่น่าสนใจไม่แพ้สองอย่างข้างต้นเลย

คุณเคยบอกว่าเริ่มมาสนใจร้องเพลงตอนอายุ
12 เล่าเรื่องราวช่วงนั้นให้ฟังหน่อย

หนูเคยเป็นเด็กสายเรียน เรียนแต่หนังสือตลอด
ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเป็นศิลปิน แต่มันคงเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม คือพ่อก็เล่นดนตรีอยู่แล้ว
แล้วบางครั้งเวลาฟังเพลง หนูก็รู้สึกว่าอยากให้เสียงเราไปอยู่ในเทปบ้าง ตอนอายุ 12
มีเพื่อนผู้หญิงเยอะ ก็จะตั้งวงสไตล์ป๊อป น่ารักๆ จากนั้นพอโตขึ้น
ได้ไปอยู่วงดนตรีที่จะมีแต่ผู้ชาย ก็จะฟังแต่ร็อก แต่หนูก็ไม่ได้ชอบทั้ง 2 แนวนี้เท่าไหร่
มาค้นพบตัวเองอีกทีตอนอายุประมาณ 16 – 17
เพราะตอนนั้นมีเด็กฝรั่งเข้ามาในโรงเรียนเยอะ แล้วเขาก็เริ่มฟังเพลงแร็ปกัน หนูชอบเพลงแนวนี้เพราะรู้สึกว่าเพลงแนวนี้มีจังหวะไม่เหมือนแนวอื่น แล้วพอลองทำตามก็รู้สึกว่าทำได้ เลยลองทำเรื่อยๆ
แต่ก็ยังอยากร้องเพลง ไม่ได้อยากแร็ปอย่างเดียว เลยลองเอามาผสมผสาน
แนวที่ชอบก็เลยจะมีทั้งแร็ป ฮิปฮอป แล้วก็มีอาร์แอนด์บีด้วย

 

จากเด็กที่ตั้งวงดนตรีเล่นกับเพื่อนสนุกๆ
คุณเริ่มฝันอยากเป็นศิลปินได้ยังไง

ตอนอายุ 12 หนูไม่ได้คิดจริงจังว่าโตขึ้นจะเป็นศิลปิน
แค่ชอบร้องเพลง แต่ประมาณ 13 – 14 เริ่มรู้สึกแล้วว่าอยากเซ็นสัญญา อย่างที่บอกว่าอยากได้ยินเสียงตัวเองในเทป
แล้วพอยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าอยากแสดงสด อยากให้มีคนติดตามผลงานหนูตลอดเวลาบ้าง
เลยอยากเป็นศิลปินขึ้นมา แต่เป็นศิลปินที่มีคุณภาพนะ คือแนวเพลงแร็ปที่หนูชอบอาจจะมีเนื้อหารุนแรงมาก
คนเลยอาจจะคิดว่ามันเป็นดนตรีที่ไม่ค่อยเหมาะสม
แต่ความจริง หนูคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำตามธรรมเนียมเดิมๆ ตลอด คือถ้าเราแร็ป ไม่จำเป็นต้องพูดคำหยาบ
ต้องพูดเรื่องไม่ดี เราแร็ปได้ด้วยเรื่องอื่นที่ชอบอยู่แล้ว
เพราะแร็ปคือการสื่อสารให้คนรู้ว่าเราอยากพูดอะไร เหมือนรายการเรื่องเล่าเช้านี้ที่หนูไปแร็ปแล้วลืมเนื้อเยอะมาก
ก็เลยแร็ปเกี่ยวกับทุกอย่างที่เห็นรอบตัว สื่อสารว่าตอนนี้กำลังแร็ปเกี่ยวกับสิ่งรอบตัวอยู่

ตอนแรกที่คิดจะเป็นศิลปิน หนูคิดว่ามันน่าจะง่าย เดี๋ยวเราก็ได้เซ็นสัญญาแล้ว
เดี๋ยวเขาก็จะแต่งเพลงให้เรา แต่คุณพ่อบอกว่า ร้องอย่างเดียวไม่พอ
มีคนร้องเพลงได้เยอะมากบนโลกใบนี้ แล้วเวลามีสิ่งไหนเยอะๆ คนก็จะตัดออก คิดว่าไม่สำคัญ
ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ พ่อเลยบอกว่าให้ลองทำเพลงด้วย ตอนแรกหนูก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่
แต่ตอนนี้หนูเข้าใจที่พ่อพูดร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว คิดว่าเขาถูกต้อง
เลยอยากแนะนำคนอยากทำเพลงว่า ถ้าอยากทำเพลง อย่าร้องอย่างเดียวให้ทำดนตรีเองด้วย
เสร็จแล้วเราจะได้แนวของเราเอง แล้วเวลาส่งไปให้ใคร เขาก็จะเปลี่ยนแนวเราไม่ได้เพราะเรามีความรู้ทางด้านนี้

พ่อสอนอะไรคุณอีกบ้าง
พ่อสอนว่าเวลาออกไปแสดงคอนเสิร์ต
อย่าคิดว่าตัวเองเก่งที่สุด บางคนอาจคิดว่ามั่นใจมากๆ ทำให้เราทำได้ดีขึ้น
แต่คุณพ่อสอนหนูให้อย่าคิดอย่างนั้น เพราะว่ายิ่งมั่นใจมากขึ้น พอผิดหวัง
เราจะเสียใจมาก เพราะฉะนั้นให้ทำให้เต็มที่แล้วสนุกกับมันดีกว่า แล้วก็ให้ถ่อมตัวเยอะๆ
ให้คนรักเพราะการเป็นศิลปิน สิ่งที่สำคัญมากคือแฟนๆ เราต้องให้ความรักกับแฟนๆ
เยอะๆ เพราะเขาให้ความรักกับเรามาเยอะมาก เราก็ต้องให้ความรักเขากลับไป

 

กลับมาที่ความฝันการเป็นศิลปิน เล่าหน่อยว่าทำอะไรเพื่อความฝันนี้บ้าง
หนูเริ่มจากร้องเพลง
แล้วไปออดิชันที่ประเทศเกาหลี ตอนนั้นผ่านถึงรอบสุดท้ายแต่เขาก็จะไม่เอา หนูก็คิดว่าเป็นเพราะอะไร
เราไม่เก่งพอเหรอ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าต้องหาอะไรที่เป็นเอกลักษณ์มากกว่านี้ ก็เลยแต่งเพลงเอง
บางครั้งถ้าไปร้องก็ร้องเพลงที่แต่งเองทั้งดนตรีและเนื้อร้อง แล้วก็หาสไตล์ที่เป็นของตัวเองให้ชัดเจนมากๆ
ทำให้พรสวรรค์ของหนูไม่ใช่ร้องเพลงแต่คือเทคนิคการร้องเพลงที่ไม่เหมือนคนอื่น คือปกติร้องเพลงก็คือร้องเพลงที่เหมือนหรือดีกว่าต้นฉบับ
แต่การร้องเพลงของเราจะมีการเอื้อนเสียงไม่เหมือนคนอื่น เสียงเราฟังดูเหมือนจะ off key แต่ตอนจบมันก็ตรงคีย์อยู่
พ่อสอนว่าเหมือนโน้ตเปียโนมันก็จะมีคีย์ของมันอยู่แล้ว
แต่เครื่องดนตรีทุกชนิดไม่ใช่เปียโน แล้วเสียงเป็นเครื่องดนตรีที่ยืดหยุ่นมาก
ดัดง่าย หาคีย์ได้ยากมากเพราะเราขึ้นลงได้เต็มที่ เพราะฉะนั้นเวลาหนูร้องเพลงแล้วคนบอกว่าร้องไม่ตรงคีย์
คือไม่ใช่ เราร้องตรงคีย์แล้ว แต่บิดมันนิดนึงให้มีลูกเล่น ซึ่งลูกเล่นที่พิเศษนี้คือสิ่งที่เป็นเทคนิคและทำให้คนดูไม่เบื่อ

ถัดมาจากการออดิชันที่เกาหลี หนูก็ทำเพลงเองแล้วเอาไปยื่นกับค่าย
ซึ่งตอนนั้นก็เคยเกือบเซ็นสัญญากับหลายค่าย
แต่ไม่ได้เซ็นเพราะตอนนั้นอยากเรียนหนังสือให้จบ ก็คิดว่าตอนนั้นมันอาจยังไม่ถึงเวลาของเรา
เหมือนทุกคนมีเวลาช่วงของตัวเอง

แต่ได้ข่าวว่าคุณเคยออกซิงเกิลของตัวเองด้วย
ใช่ แต่ออกกับค่ายของกัมพูชาที่รู้จักกันเพราะหนูไปชิงทุนที่จะไปเรียนแร็ปกับครูคนนึง
แล้วได้เจอเพื่อนซึ่งรู้จักกับโปรดิวเซอร์อีกที ไม่ได้เซ็นสัญญา
แค่ตกลงกันว่าเราจะร่วมมือกันทำ 1 เพลง ค่ายเขาจะออกค่าใช้จ่ายให้ เป็นซิงเกิลฟรี
ใครก็โหลดได้ เพลงนั้นชื่อว่า OTP
เป็นเพลงแรกของหนูเลย ประมาณปีที่แล้ว แต่ตอนนี้หนูก็มีออกซิงเกิลกับโปรดิวเซอร์คนอื่นๆ
ด้วย

แล้วคุณมาถึงเวที Thailand’s Got Talent Season 6 ได้ยังไง
เป็นเรื่องบังเอิญมาก คือคุณพ่อมาทำฟัน
หนูเลยต้องมาเชียงใหม่เพราะหมอฟันที่ลำปางมีน้อย ก็เลยได้ไปเดินห้าง เจอเขารับสมัคร
Thailand’s Got Talent Season 6 วันสุดท้าย คุณแม่เป็นคนบอกให้สมัคร
ตอนแรกหนูก็กลัว เพราะถึงหนูชอบ อยากให้คนฟังเสียงหนู แต่ก็ไม่ได้คิดว่าต้องมาแข่งรายการอะไรเพื่อแข่งกับคนอื่น
เหมือนตัดโอกาสของเขาเพื่อเราจะไปด้านหน้า แต่ว่าตอนนี้ความคิดหนูเปลี่ยนไป หนูมาประกวดรายการนี้โดยไม่ได้คิดว่าจะแข่งกับคนอื่นเพื่อที่จะปัดโอกาสเขาออก
แต่มาเพื่อแสดงความสามารถของหนู มาเพื่อที่จะถามทุกคนว่าหนูร้องเพลงดีพอที่คุณจะยอมรับให้มาเป็นศิลปินมั้ย

ถามตรงๆ คิดว่าความสวยมีส่วนแค่ไหนในการตัดสิน
คิดว่าไม่มีส่วนช่วยเท่าไหร่ เอาจริงๆ
วันนั้นหนูเยินมาก (หัวเราะ) หนูไม่ได้สนใจว่าวันนั้นหน้าตาเป็นยังไง หนูต้องการที่จะเป็นตัวเอง
เป็นธรรมชาติที่สุด ให้คนเขาคิดถึงหน้าตาน้อยที่สุด พยายามทำตัวให้ปกติ
แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะวันแรกที่หนูออกไป ไม่มีกรรมการคนไหนพูดถึงหน้าตาเท่าไหร่
แล้วกระแสตอบรับเท่าที่อ่าน ถ้าไม่ได้บอกว่าหน้าเหมือนใหม่-ดาวิกา ก็ไม่ได้พูดถึงหน้าตาเยอะนะ

คาดหวังอะไรจากเวทีนี้
ตอนมาแค่คิดว่าไม่ใช่กรรมการกดกากบาทก็พอแล้ว ได้ 3 – 4
ผ่าน ก็รู้สึกว่าเยอะมากพอแล้ว แล้วหนูก็อยากทำโชว์ ออกแบบโชว์ตัวเองมาตั้งนานแล้ว ซึ่งคิดว่ารอบ Semifinal คือการที่จะออกแบบโชว์เองได้
เพราะฉะนั้น ความคาดหวังของหนูก็ไม่ได้กระโดดขึ้นไปถึงว่าจบแล้วจะชนะหรือเปล่า แต่คาดหวังว่ารอบต่อไปที่จะมาถึง
เราจะทำให้ดี นอกจากนั้น หนูก็คาดหวังอยากให้มีคนได้รับรู้แนวการร้องเพลงใหม่ๆ อยากให้ดนตรีแนวแบบนี้ดังขึ้นในประเทศไทย
โดยหนูเป็นตัวแทนที่จะส่งดนตรีแนวนี้ออกไปให้คนชอบเยอะๆ
เพราะหนูมั่นใจว่ามีคนไทยหลายคนชอบดนตรีแนวนี้ แต่มันอาจยังไม่ได้มีมากในประเทศ

สิ่งสำคัญที่สุดที่ได้เรียนรู้การประกวดเวทีนี้คืออะไร
แสดงความเป็นตัวตนของตัวเองให้มากที่สุด
แล้วคนจะยอมรับหรือไม่ยอมรับขึ้นอยู่กับเขา อย่าพยายามไปเป็นคนที่ตัวเองไม่ได้เป็น
เพราะสมมติว่าเราทำอย่างนั้นไปแล้ว คนก็อาจจะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ได้ เขามีสิทธิ์ตัดสินเราอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นเป็นตัวของตัวเองดีกว่า เราจะเป็นคนอื่นทำไม

 

ถ้าเกิดชนะขึ้นมา คิดว่าจะกระทบกับเรื่องเรียนมั้ย
ไม่กระทบนะ อย่างที่บอกว่าหนูจบม.6
แล้ว ถ้าหนูจะไปเรียนเมืองนอก จะต้องสอบเพิ่มอีก 3 วิชา ซึ่ง 2 ใน 3 หนูเรียนเองได้
อีกวิชาก็เรียนที่โรงเรียน ไป-กลับได้ มันไม่ใช่ปัญหา เพราะอย่างที่หนูเคยบอกไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่า
คนเราถ้าตั้งใจจะทำอะไร ชอบอะไรจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องทิ้งสิ่งที่สำคัญกับเราไป หนูเชื่อมั่นจริงๆ ว่าถ้าตั้งใจจริงๆ แบ่งเวลาให้ถูก
ตัดเวลาที่จะมานั่งทำอะไรอย่างดูทีวี เล่นอินเทอร์เน็ตออก เวลาถ้าสะสมเยอะๆ
มันก็เท่ากับเวลาที่เราเรียนได้ เราทำทั้ง 2 อย่างได้

ที่จริงคุณอาจจะดร็อปเรียนได้นะ ทำไมถึงให้ความสำคัญกับการเรียนขนาดนี้
หนูคิดว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับคนเรา
หลายคนอาจคิดว่ามีคนดังอย่างสตีฟ จ็อบส์ ที่เขาไม่เรียนหนังสือแต่ประสบความสำเร็จได้
แต่มันอาจไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน แล้วถ้ามันไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา จะทำยังไง อะไรที่แน่นอนมันอาจจะไม่แน่นอนได้ตลอดเวลา
เราต้องมีแผนสำรองไว้ แม้จะเชื่อมั่นแค่ไหนว่าทำได้ หนูก็เลยมองว่าการศึกษาเป็นแผนสำรองของการเป็นศิลปิน
เพราะอาชีพนี้ไม่แน่นอน มีขึ้นมีลงตลอดเวลา

 

นอกจากร้องเพลงแล้ว
คุณยังสวมบทเป็นนักแสดง เล่นภาคต่อของ
Fack Ju Göethe หนังสัญชาติเยอรมันสุดฮอตด้วย
หนูมีส่วนที่อยากเป็นนักแสดงด้วย พอหนังเรื่องนี้มาเปิดออดิชันที่กระบี่เลยไปลองออดิชันดูแบบไม่ได้คิดอะไรมาก แต่สุดท้ายเขาก็บอกว่าเราได้บท การแสดงตอนนั้นก็สนุก ได้ไปร่วมงานกับดาราจริงๆ
จากเยอรมัน ถึงไม่ได้เล่นบทใหญ่
แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของหนัง แต่สุดท้ายหนูก็จะโฟกัสเรื่องดนตรีก่อนนะ
เอาทีละอย่าง เพราะหนูคิดว่าการที่เราเป็นนักร้อง เราข้ามไปเป็นนักแสดงได้ง่ายกว่าการเป็นนักแสดงแล้วข้ามมาเป็นนักร้อง
ซึ่งมันก็แล้วแต่คน แต่หนูคิดว่าแบบนี้คือทางเดินที่ง่ายสำหรับหนู

ตอนนี้เป้าหมายในอนาคตของคุณมีอะไรบ้าง
เป้าหมายอย่างแรกที่ใกล้ที่สุดคือทำโชว์ต่อไปให้ออกมาดีแล้วคนประทับใจ
เป้าหมายที่ไกลกว่านี้คืออยากประสบผลสำเร็จทางด้านดนตรี เป็นศิลปินที่มีคุณภาพ
ไม่ใช่แค่คุณภาพทางด้านเพลงที่เราผลิต ทางด้านเสียงเรา แต่เป็นคุณภาพโดยรวม
ทำให้คนมีความสุขได้ แล้วก็ถ่ายทอดอะไรให้คนดูได้เยอะๆ เหมือนเรากลายเป็นตัวแทนของสังคม
พูดสิ่งที่ส่งผลให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นได้

ทุกวันนี้สิ่งที่ทำให้มีความสุขคืออะไร
ได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วคนอื่นมีความสุขด้วย
แต่ถ้าพูดความสุขโดยรวมก็คือ อ่านหนังสือ ฟังเพลง ร้องเพลง ทำเพลง ทำขนมบ้าง
เดินเล่น วิ่งเล่น อันนั้นคือความสุขจริงๆ (หัวเราะ)

“อย่าพยายามไปเป็นคนที่ตัวเองไม่ได้เป็น ถึงเราทำอย่างนั้นไปแล้ว คนก็อาจจะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ได้ เพราะฉะนั้นเป็นตัวของตัวเองดีกว่า เราจะเป็นคนอื่นทำไม”

ภาพ ธีรพันธ์ ลีลาวรรณสุข
กำกับและตัดต่อ อภิวัฒน์ ทองเภ้า

AUTHOR