เปิดปากกับภาคภูมิ กับการพัฒนาตัวเองในฐานะคนข่าว “งานข่าวคืองานที่ต้องทำวันนี้ให้ดีขึ้นเลย รอพรุ่งนี้ไม่ได้”

เปิดปากกับภาคภูมิ กับการพัฒนาตัวเองในฐานะคนข่าว “งานข่าวคืองานที่ต้องทำวันนี้ให้ดีขึ้นเลย รอพรุ่งนี้ไม่ได้”

ใครเกาะติดหน้าจอรอดูข่าวหรือรักในการเสพข่าวเป็นชีวิตจิตใจ ‘ไทยรัฐนิวส์โชว์’ น่าจะเป็นคำตอบแรกๆ ที่หลายคนคิดถึง 

ทั้งเนื้อหาข่าว สไตล์การอ่านข่าวของพิธีกรที่เอาอยู่ในทุกรูปแบบ และที่ขาดไม่ได้ก็คือกราฟิกในห้องส่งที่ใช้เทคโนโลยีแบบ Immersive จำลองเหตุการณ์เสมือนจริง ชนิดที่ว่าข่าวเกิดขึ้นที่ไหน คนดูไม่ต้องจินตนาการเองเพราะไทยรัฐทีวีเขาจำลองเหตุการณ์เสมือนจริงให้เห็นแบบครบทุกเรื่อง เก็บทุกเม็ด 

และเมื่อพูดถึงผู้ประกาศข่าวช่องไทยรัฐทีวี ชื่อของ อุ๋ย-ภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ต้องมาแล้ว

สุ้มเสียง ลีลา ท่าทางการอ่านข่าวที่ไม่ว่าจะประกบคู่กับผู้ประกาศหญิงคนไหนก็เติมเต็มกันได้เหมาะเจาะลงตัว หรือถ้าให้เขาเล่าข่าวประกอบภาพ ก็ อุ๋ย ภาคภูมิ อีกนั่นแหละ ที่เมื่อไม่กี่ปีก่อน ลงทุนคลานในกรีนสกรีนออกมาจากกราฟิกจำลองถ้ำหลวง ตอนที่ทุกช่องรายงานข่าวทีมหมูป่าติดอยู่ในถ้ำกันอย่างครึกโครม 

ได้ทั้งความสมจริงและได้ใจคนดู รสชาติข่าวที่หลายคนติดใจล้วนเริ่มจากผู้ประกาศนี่เอง 

ไม่ใช่แค่ ‘ไทยรัฐนิวส์โชว์’ ที่ออกอากาศทุกวัน ตั้งแต่เวลา 19.00 น. แต่ ‘เปิดปากกับภาคภูมิ’ ออกอากาศทุกวันจันทร์–ศุกร์ เวลา 15.30 น. ก็เป็นอีกรายการทอล์กที่หลายคนต้องเปิดดู เพราะนั่นคือการขยี้ประเด็นสำคัญในแต่ละเรื่องให้หายคาใจ 

เรามีโอกาสได้พูดคุยกับ อุ๋ย ภาคภูมิ ในรายการ The Conversation ไม่นานมานี้ และก่อนที่เราจะได้ดูรายการกันแบบเต็มๆ นี่คือการเก็บตกบทสนทนาบางตอนมาเล่าสู่กันฟัง ถือว่าเรามาเปิดปากกับภาคภูมิ โดยมีภาคภูมิเป็นฝ่ายตอบก็แล้วกัน

เปิดปากเรื่องแรก อุ๋ย ภาคภูมิ บอกเราว่า เขาทำงานกับไทยรัฐทีวีมาราวๆ 6-7 ปี และที่เลือกมาทำงานกับที่นี่ ก็เพราะเอกลักษณ์ของช่องที่เน้นหนักไปทางข่าว 

“ไทยรัฐเขาประมูลช่อง HD มาเพื่อทำข่าว เพราะเขาอยากให้คนดูข่าวแบบชัดๆ เขาต้องการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการนำเสนอข่าว แล้วก็มี Immersive Graphic หรือ Infographic ต่างๆ มาช่วยเยอะมาก คิดดูว่าผังรายการของไทยรัฐทีวี 80-90% คือข่าว เพราะฉะนั้น เมื่อเราเติบโตมากับการเป็นนักข่าว การจะไปเป็นผู้ประกาศข่าวหรือบรรณาธิการข่าว เราก็รู้สึกว่าแนวทางนี้มันเข้ากับตัวตนของเรา

ถามว่าชอบข่าวแบบเข้าเส้นเลยไหมอันนี้ก็ไม่แน่ใจ รู้แต่หายใจเข้าออกเป็นข่าวไปแล้ว จะเดินไปเดินมา นั่งคิดนอนคิด วันหยุดหรือไม่หยุดก็แล้วแต่ พอเราเห็นอะไรผ่านหูผ่านตาที่จะมาเป็นคอนเทนต์ข่าวของเราได้ มันจะคิดต่อยอดทันที แล้วต้องทำ ต้องพูด ต้องคุยกับทีมงาน กับกองบรรณาธิการทันที แต่ไม่ได้ถึงขั้นที่ว่าเหน็ดเหนื่อยสาหัส เบื่อเหลือเกิน มันไม่ใช่ รู้แต่ว่ามันเป็นชีวิตจิตใจไปแล้ว” 

เจ้าตัวย้ำว่า มีเวลาพักผ่อน ดูหนัง ฟังเพลง เหมือนกับทุกคน แต่ความสุขของเขาก็คือการรับรู้ข่าวสาร และได้นำเสนอข่าวในรูปแบบที่เขาและทีมงานเชื่อนั่นเอง 

“ทำงานแล้วมีความสุข ถ้าให้หยุดไปพักเฉยๆ แบบนี้ไม่ไหว ผมอยู่ไม่สุข ไม่มีความสุขเลย” ภาคภูมิส่ายหน้าประกอบเมื่อเราถามว่าอยากหยุดพักไปนอนเล่นบ้างไหม

สนุกกับข่าวสารขนาดนี้ แน่นอนว่าเขาต้องรู้ว่า DNA ของคนข่าวที่แท้อยู่ตรงไหนและอะไรที่ไม่ใช่ 

“น่าจะเป็นเรื่องของ ความกระหาย ความใฝ่รู้ เห็นข่าวอะไรสักอย่างแล้วรู้สึกมีแพสชัน อยากจะรู้ว่า จริงๆ แล้วมันคืออะไร เกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเห็นอะไรสักอย่างแล้วเฉยๆ ผ่านๆ อันนี้ก็อาจจะไม่ใช่ละ เพราะถ้ามีความกระหาย มันก็จะต่อยอดมาสู่ความรู้สึกอยากจะไปตามเรื่องนี้ต่อ 

“ผมว่าธรรมชาติของคนข่าวทุกคนมันมาโดยไม่รู้ตัวอยู่แล้ว เพราะไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น มันคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง นักข่าวทุกคนจะรู้โดยจมูกข่าว โดยสัญชาตญาณข่าวว่าน่าทำ เรื่องนี้คือเรื่องใหญ่ คนสนใจแน่ๆ มันจะต้องไปหาคำตอบมาให้เขาให้ได้อะไรอย่างนี้ ถามว่าความท้าทายในการทำงานอยู่ตรงไหน ผมว่ามันท้าทายยากง่ายแตกต่างกันไปในแต่ละคน เพราะว่างานข่าวมันก็แบ่งแยกออกเป็นหลายแขนง ในแต่ละแขนงก็มีแต่ละหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบแตกต่างกันไป

“ถ้าถามผม ในฐานะผู้ประกาศ มันก็อาจจะเป็นเรื่องของสถานการณ์ข่าวที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน การตัดสินใจมันก็ต้องฉับพลันไปด้วย เวลาเตรียมตัวอาจจะน้อยหน่อยเพราะต้องแข่งขันกับเวลา เช่น มีระเบิดตูมตาม อุบัติเหตุใหญ่ คดีอาชญากรรม หรือว่าเหตุด่วนเหตุร้ายอะไรก็แล้วแต่ ตรงนี้มันต้องใช้ประสบการณ์ของกองบรรณาธิการข่าวทั้งกองที่จะต้องเข้ามาช่วยกันในการที่จะนำเสนอเรื่องนี้ออกหน้าจอ” 

คนดูอาจไม่รู้ว่า การทำงานเบื้องหลังเป็นอย่างไร ทำอะไรกันบ้าง แต่คนหน้าจอนั้นปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ 

“เมื่อผ่านกระบวนการคิด การตัดสินใจ ของทีมงานทั้งหมดมาแล้ว เราต้องทำให้ดีที่สุดเวลาออนแอร์หน้าจอ ผู้ประกาศข่าว ณ ขณะนั้นเหมือนเป็น Gatekeeper เป็นประตูด่านสุดท้าย ก่อนนำเสนอข่าวออกไปสู่สายตาคนดู บางทีต้องคิดไม่กี่นาทีก่อนออนแอร์ หรือในระหว่างออนแอร์ด้วยซ้ำว่าเรื่องนี้ควรพูดหรือไม่ควรพูด ควรพูดมากน้อยขนาดไหน ต้องระวังผลกระทบกับหลายฝ่าย เพราะบางเหตุการณ์มันเป็นชีวิตจริงที่ยิ่งกว่าละครอีก อย่างตอนที่ทำข่าวทีมหมูป่าติดถ้ำที่ขุนน้ำนางนอน 

“หรือเหตุการณ์ที่ใกล้กว่านั้นก็การเลือกตั้ง 66 ต้องบอกว่าเป็นการเลือกตั้งที่มีประเด็นต่อเนื่องยาวนานไปถึงช่วงหลังเลือกตั้ง โอ้โห มันเป็นการเมืองที่เราก็ไม่เคยได้สัมผัสแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน ไหนจะพรรคการเมืองเอง ความเปลี่ยนแปลงของรูปแบบของการหาเสียง กฎกติกา รัฐธรรมนูญ อะไรอีกต่างๆ มันก็ถือเป็นความท้าทายอีกรูปแบบหนึ่ง เราต้องหาข้อมูล ต้องแม่นเรื่องกฎหมาย ไหนจะมีการ Debate กันอีก”

เรียกว่าเป็นสถานีที่จริงจังตั้งใจในการนำเสนอข่าวมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ 

เพราะถ้าคุณมาเกาะติดหน้าจอไทยรัฐนิวส์โชว์ตั้งแต่หนึ่งทุ่ม คุณจะรับรู้ข่าวสารยาวไปจนถึงราวๆ เกือบ 5 ทุ่ม 

เพราะเราคือสถานีข่าว ถ้าท่านชอบดูข่าว ท่านก็มาดูเรา ไม่ต้องมาอยู่กับผม 3-4 ชั่วโมงก็ได้ แต่อยากดูข่าวเรื่องไหนประเด็นไหน ขอให้แวะเวียนมาดูที่เราก็แล้วกัน (หัวเราะ) 

ลงท้ายแล้ว เขาเชื่อว่าแม้โลกจะเปลี่ยนไป และโซเชียลมีเดียได้รับความนิยมมากขึ้น แต่คนดูก็ยังชอบติดตามข่าวสารและผู้ประกาศที่เขาเชื่อถือและชื่นชอบในอรรถรสลีลาการนำเสนอข่าวของแต่ละคน 

“แม้ทุกวันนี้ทุกคนสามารถเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เป็นพิธีกร นักข่าวกันได้ง่ายๆ แต่สุดท้ายก็ต้องสร้างความโดดเด่นขึ้นมา โอเค ถ้าในแง่การดูข่าว แน่นอนว่าคนดูย่อมต้องการความน่าเชื่อถือ ถูกต้อง ชัดเจน แต่ในยุคสมัยนี้ผู้ประกาศก็ต้องเติมอรรถรส ลีลา หรือว่าคาแรกเตอร์ของแต่ละคนที่จะทำให้คนรู้สึกว่าสื่อสารกันได้  จับต้องได้ ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนเป็นแบบไหน และคนจะชอบไม่ชอบ ก็ไม่มีใครตัดสินเราได้หรอก ตัวเราเองก็ตัดสินไม่ได้ เพื่อนรอบข้างก็ตัดสินไม่ได้ ไม่มีใครตัดสินเราได้ นอกจากคนดู

“ทุกวันนี้ ทำงานเหมือนไปสอบทุกวัน มีผลคะแนนออกทุกวัน ผมจัดรายการข่าวเมื่อวานกับจัดตอนค่ำอีกหนึ่งรายการ ตอนเที่ยงวันนี้รู้แล้วว่าเรตติ้งได้เท่าไหร่ แล้วคู่แข่งในเวลาเดียวกันหรือรายการประเภทเดียวกันได้เท่าไหร่ ตัวเลขมันไม่เคยโกหกใคร เราต้องมาวิเคราะห์ว่า ทำไมเราได้มากได้น้อย เพราะคอนเทนต์ เพราะพิธีกร หรืออะไร เพราะฉะนั้นผมว่าคนข่าวในยุคนี้ไม่ง่ายที่จะโดดเด่นขึ้นมา หรือว่าถูกใจคนดูคนฟัง แต่ถ้าถามว่ามันยากเกินไปไหม ก็คงไม่ใช่ แต่ถามว่าเครียดกับตัวเลขไหม ก็เครียดแป๊บเดียว (หัวเราะ)​

“งานข่าวทำให้ผมรู้ว่า ผมจะไปรอทำพรุ่งนี้ให้ดีขึ้นไม่ได้หรอก วันนี้ บ่ายนี้ ค่ำนี้ ผมต้องทำให้มันดีขึ้นเลย เราต้องวิเคราะห์ในเชิงกลยุทธ์การนำเสนอข่าวด้วย การทำงานข่าวต้องยึดหลักจริยธรรมของสื่อมวลชน แต่ก็ต้องควบคู่ไปกับเรื่องของอรรถรสในการนำเสนอข่าว เราต้อง balance กันให้ดี ระหว่างเรื่องที่คนดูอยากดูกับเรื่องที่เป็นประโยชน์ เพราะต้องยอมรับว่าข่าวมันก็มีทั้งแบบที่คนดูอยากรู้  กับเรื่องที่เขาควรต้องรู้ บางเรื่องไม่ได้ตอบโจทย์เรตติ้งแต่ตอบโจทย์เรื่องประโยชน์ของคนดูและสังคม”

สำหรับแฟนๆ รายการของ อุ๋ย–ภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ สามารถอัปเดตเรื่องราวส่วนตัวของเขาทางโซเชียลมีเดียได้ที่ TikTok, Instagram และ Facebook อุ๋ย ภาคภูมิ ยามเฝ้าข่าว และติดตามผลงานได้ทางไทยรัฐทีวีช่อง 32 และทุกช่องทางออนไลน์


เรื่อง: วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม ถ่ายภาพ: ธีรเมธ เชิดวงศ์ตระกูล

AUTHOR