เฉลิมพล วัฒนวงศ์ตระกูล แอนิเมเตอร์ไทยผู้มีส่วนร่วมกับ 7 ช็อตใน Avengers : Infinity War

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้ปรากฎการณ์ของภาพยนตร์ Avengers : Infinity War กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก บทสรุปของการเดินทางกว่าสิบปีของ Marvel Cinematic Universe และความยิ่งใหญ่ที่พวกเขาสร้างกำลังใกล้เข้ามา

แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจกลับเป็นหนึ่งในแอนิเมเตอร์ผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ระดับโลก ใช่, เขาเป็นคนไทย และเป็นคนไทยที่มีเรื่องราวการฝ่าฟันมาสู่ความฝันในปัจจุบันที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใคร

เหลิม – เฉลิมพล วัฒนวงศ์ตระกูล คือแอนิเมเตอร์คนนั้น

ปัจจุบันเหลิมเป็นแอนิเมเตอร์อยู่ที่ Framestore บริษัทแอนิเมชันระดับโลกที่ประเทศอังกฤษ เขาได้มีส่วนร่วมกับจักรวาลมาร์เวลผ่านหน้าที่นี้ที่เขาจำกัดความสั้นๆ ว่า “เมื่อไหร่ที่ Tony Stark เป็น Ironman ตอนนั้นแหละคือหน้าที่ของผม”

เรานัดคุยกับเหลิมในวันที่ Avengers : Infinity War ฉายวันแรกที่ประเทศไทยพอดี ด้วยความตั้งใจที่อยากคุยเรื่องการทำงานในหนังเรื่องนี้ แต่กลายเป็นว่าเรากลับได้อะไรมากกว่านั้นจากประสบการณ์ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมาของเขาตลอดเกือบ 2 ชั่วโมงที่เราคุยกัน

ช่วงหนึ่งของการสัมภาษณ์ เราคิดว่านอกจากเหลิมจะมีส่วนร่วมกับหนังซูเปอร์ฮีโร่บนโลกแผ่นฟิล์มแล้ว

เรื่องราวความเป็นมาเขา ยังเป็นฮีโร่บนโลกแห่งความจริงอีกด้วย


จุดกำเนิดของพลัง

จุดเริ่มต้นของเส้นทางนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนไหน
ผมอาจจะเริ่มแตกต่างจากคนอื่นหน่อยตรงที่ไม่ได้เรียนแอนิเมชันมาโดยตรง ผมจบฟิสิกส์มาจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง แต่ผมชอบดูหนัง ชอบอ่านและดูการ์ตูนญี่ปุ่น ชอบคอมมิค ทำให้ผมสนใจและเริ่มหาทางศึกษาเรื่องแอนิเมชันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย

ตอนนั้นหัดเรียนแอนิเมชันยังไงบ้าง
ผมเริ่มใช้โปรแกรม 3D Studio Max เป็นโปรแกรมแรก พยายามศึกษา เก็บเงินแล้วไปซื้อแผ่นติวเตอร์มาเรียนเอง หัดและฝึกด้วยตัวเองจนถึงตอนเรียนจบ แต่ความรู้ของผมตอนนั้นแทบจะเอาไปใช้งานจริงไม่ได้ เพราะผมยังไม่รู้ว่าโปรดักชันมืออาชีพจริงๆ เขาทำยังไง ผมยังไม่ถูกขัดเกลา แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นผมก็อยากทำงานด้านนี้ เราฝึกจนรู้ว่าเราชอบมันจริงๆ เป็นอย่างนั้นประมาณ 2 เดือนหลังเรียนจบ จนวันหนึ่งก็เกิดจุดเปลี่ยนแรกในชีวิต

ศิษย์ท้ายแถวของอาจารย์หัวแถว

จุดเปลี่ยนแรกที่ว่านั่นคืออะไร
ผมได้รู้จักกับพี่ตุล (วีรภัทร ชินะนาวิน) เขาเป็นแอนิเมเตอร์ที่จบจากอเมริกา พี่เขามีโอกาสทำงานที่บริษัท Bluesky ที่ทำหนังเรื่อง Ice Age ตอนนั้นพี่ตุลกลับไทยมาช่วยพี่จั๊ก (สุภณวิชญ์ สมสมาน) ที่บริษัท The Monk Studio เขาอยากเซ็ทอัพทีมแอนิเมเตอร์ดีๆ ในเมืองไทย เลยมองหาเด็กมีไฟเพื่อเข้าไปเรียนรู้ จะบอกว่าเป็นโชคดีก็ได้เพราะจากคนสมัครเป็นร้อย ผมเป็นหนึ่งในสี่ที่ติดเข้าไปและเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เรียนตรงสาย ตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปผมตั้งใจเต็มที่ ผมกล้าพูดว่าผมขยันมากนะ ผมอยากได้งานนี้ ผมอยากเป็นแอนิเมเตอร์เหมือนพวกพี่เขา แต่พอผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วเหมือนฟ้าผ่าครับ เพราะผมถูกเรียกไปคุยว่าไม่ผ่านการฝึก

ตอนนั้นทำให้ผมรู้ว่าแอนิเมชันยังเป็นสิ่งที่ไกลตัวผมมาก พื้นฐานที่จำเป็นต้องมีสำหรับรับการสอนจากพี่ตุล ผมไม่มี ผมไม่สามารถทำให้แอนิเมชันออกมามีชีวิตชีวา น่าเชื่อถือ น่าหลงใหลหรือมีเสน่ห์ได้ แต่ตอนนั้นพวกพี่เขาเห็นแก่ความพยายามของผม เขาเลยให้โอกาสอีกเดือนนึง ถ้ายังทำไม่ถึงขั้นก็คงต้องออกแล้ว

เราเปลี่ยนแปลงตัวเองต่างจากเดือนแรกยังไงบ้าง
ผมพยายามเต็มที่ขึ้นกว่าเดิม ผมปลดปล่อยความขยันที่สุดเท่าที่ผมมี เข้างานตอน 7 โมง ออกตี 3 ทุกวัน เป็นอย่างนั้นทั้งเดือน ฝีมือผมกระเตื้องขึ้นมานิดนึงจนได้รับโอกาสต่ออีกเดือน พี่เขาเริ่มเห็นว่าผมจับจุดได้นิดนึง ความทื่อๆ บื้อๆ ของผมถูกขัดเกลา รู้ตัวอีกทีก็ผ่านมา 5 เดือน สุดท้ายผมก็ได้บรรจุเป็นพนักงานประจำของ The Monk Studio ทำหน้าที่เป็นแอนิเมเตอร์ แต่สถานะของผมตอนนั้นเหมือนเป็นตัวช่วยพิเศษมากกว่า ถ้ามีงานที่ยากหรือช็อตสำคัญก็จะตกเป็นของรุ่นพี่คนอื่น ผมเหมือนเป็นตัวสำรองที่ต้องคอยซัพพอร์ตตัวจริง แต่ยังไงผมก็ไม่เคยหยุดที่จะก้มหน้าก้มตาศึกษาไปเรื่อยๆ

เคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่าทำไมเราทำได้ไม่เท่าคนอื่นสักที
ผมคิดว่านาฬิกาของเรายังไม่ปลุกครับ แต่ละคนมีช่วงเวลาในการเข้าใจ การบรรลุเป้าหมายต่างกัน บางคนอาจจะใช้เวลาแค่เดือนเดียว บางคนอาจจะสองเดือน บางคนอาจจะเป็นปีหรือบางคนอาจจะเรียนไปเท่าไหร่แล้วไม่ได้เลยก็มี แต่ตอนนั้นผมคิดแค่ว่า ‘เวลาของเรายังมาไม่ถึง’ เรารู้อย่างเดียวว่าเราต้องทำให้ได้

ความสามารถพิเศษจากความพิเศษ

จากเป็นตัวสำรองอยู่ที่ไทย ความคิดที่จะก้าวสู่สากลเกิดขึ้นตอนไหน
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คิดเรื่องนี้คงเป็นสนามการแข่งขันแอนิเมชันระดับสากลที่ เว็ปไซต์ 11secondclub.com ปกติเว็บนี้จะสร้างโจทย์ขึ้นมาให้แอนิเมเตอร์ทั่วโลกส่งผลงานมาแข่งขันทุกเดือน คนที่ชนะจะได้รับคอมเมนท์งานจากแอนิเมเตอร์บริษัทชั้นนำของโลก ที่ผ่านมามีคนไทยแค่คนเดียวที่ชนะเลิศก็คือพี่ตุล ถึงตอนนั้นผมจะยังไม่เก่งแต่ก็ตั้งเป้าว่าเราเองก็อยากทำได้บ้าง

จำได้ว่าตอนนั้นเป็นโจทย์ของเดือนพฤษภาคม ปี 2011 ผมเข้างาน 8 โมง เลิก 5 ทุ่ม หลังจากนั้นก็มาทำงานเพื่อส่งประกวดจนถึงตี 3 เป็นอย่างนี้ประจำตลอดหนึ่งเดือน

ผลเป็นไงบ้าง
ด้วยอะไรก็ตามแต่ ตอนนั้นผมได้ที่หนึ่ง คนเข้ามาดูงานผมเยอะมาก คอมเมนท์ก็มากจนตกใจและเกือบทั้งหมดเป็นคำชม ผมเริ่มตั้งคำถามในใจว่า เอ๊ะ เราทำงานมาตั้งนาน ทำไมเราไม่เคยมีความรู้สึกนี้เลย แต่พอเราทำงานคนเดียวข้างนอก ทำไมถึงโอเควะ ซึ่งผมคิดว่าที่งานข้างนอกของเราโอเคเพราะมันเกิดขึ้นจากการไม่มีข้อจำกัดทั้งเรื่องเวลา ขอบเขตงาน ทำให้เรามีโอกาสได้ทำสิ่งที่เราชอบเต็มที่ เรามีเวลาอยู่กับตัวเองมากพอจนเราค้นพบความชัดเจนในตัวเอง

ความชัดเจนที่ว่าคืออะไร
ผมพบว่าผมชอบการทำแอนิเมชันในสายแอคชัน มันคือสิ่งที่ผมถนัด มีคำกล่าวของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ที่กล่าวว่า ‘ในป่าผืนนี้มีใบไม้อยู่หลายล้านใบ ผมไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมด แต่ผมรู้จักใบไม้ที่อยู่บนกำมือของตัวเองดีที่สุด’ ผมเองก็จะเป็นแบบนั้น ตั้งแต่วันที่ชนะ นอกจากทำงานออฟฟิศ ผมจะสละเวลามาพัฒนาตัวเองทุกวัน

หลังจากนั้นผมก็ได้ย้ายงานหลายที่ เคยไปทำงานที่ Picturethis Animation Studio ที่ทำงานให้กับเลโก้ ทำงานส่วนตัวควบคู่กันไปและอัพลงโซเชียลมีเดียของตัวเอง ตอนนั้นเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตผมให้กับแอนิเมชัน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นผมก็ยังคิดว่าเรายังห่างไกลจากความเป็นสากลอีกเยอะนะ ผมเลยไม่หยุดพัฒนาและศึกษา เราต้องฝึกไปเรื่อยๆ พอปีที่สี่หลังจากเริ่มทำงานก็เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น เริ่มทำการ์ตูนได้ เริ่มทำแอคชั่นถนัด เริ่มรู้ว่าอันไหนไม่ดี

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นกับผมอีกครั้ง ตอนที่พี่ตุลชวนผมไปแนะนำตัวกับพี่ณัฐ (ณัฐ ยศวัฒนานนท์) ผู้ก่อตั้ง Igloo Studio เพราะเขาอยากให้ผมมาเป็นหัวหน้าแผนกแอนิเมชันของภาพยนตร์เรื่อง 9 ศาสตรา

ประสบการณ์จาก 9 ศาสตรา ให้บทเรียนอะไรบ้าง
ช่วงเวลาที่ Igloo Studio เหมือนผมได้ติดอาวุธทางปัญญา การรู้จักกับพี่ณัฐคือจุดเปลี่ยนที่ใหญ่มากในชีวิต พี่ณัฐมีเซนส์เรื่องรสนิยม จังหวะ การเล่าเรื่องและแพชชั่นในแอนิเมชัน เขาลดกำแพงการยึดติดในความคิดของผมลง ก่อนหน้านี้ผมคิดแต่เพียงว่าจะทำแอนิเมชันออกมาให้สวยอย่างเดียว แต่เราลืมย้อนกลับไปมองคนดูว่าพวกเขาจะสนุกไหม เขาจะร้องไห้ไหมถ้าตัวละครตัวนี้เศร้า เขาจะรู้สึกเจ็บไหมถ้าตัวละครชกหน้ากัน พี่ณัฐเขามีตรงนี้และถ่ายทอดมาให้ผม เขาให้ความเชื่อมั่นกับผม เชื่อใจในการทำงานเป็นทีม

เรียนรู้เหตุผลที่แท้จริงของการเป็นฮีโร่

แล้วก้าวแรกจริงๆ ในการเดินสู่สากลคือตอนไหน
มันเป็นคำพูดสั้นๆ ของรุ่นพี่คนหนึ่งที่ผมนับถือ เขาเห็นสิ่งที่ผมทำมาตลอด วันหนึ่งเขาก็แนะนำให้ผมลองสมัครงานที่ต่างประเทศ เขาหาข้อมูลบริษัทให้ผม สอนวิธีการเขียน resume สอนวิธีการเขียนจดหมายแนะนำ ก่อนหน้าผมอาจจะรู้ว่าเป้าหมายคืออะไร แต่ผมไม่รู้ว่าต้องเดินไปทางไหน ผมเลยเริ่มสมัครงานบริษัทต่างประเทศ ส่งไปหมดเลยตั้งแต่อังกฤษ แคนาดา อเมริกา ญี่ปุ่น จีน มาเลเซียหรือสิงคโปร์ ทั้งบริษัททำซีรีส์ไปจนถึงบริษัทที่ทำการ์ตูนประมาณ 40 กว่าบริษัท รวมแล้วร้อยกว่าครั้ง แต่โดนปฏิเสธหมดตลอด 3 ปี

ท้อมั้ย
ท้ออยู่แล้ว เพราะเวลาปฏิเสธ บริษัทต่างประเทศเขาจะมีคอมเมนท์มาว่าฝีมือยังไม่ถึงขั้น ทำให้เราท้อ แต่ผมรู้อย่างเดียวว่าผมไม่ถอย ผมต้องทำให้ได้ พยายามมองโลกในแง่ดีว่า ไม่เป็นไรหรอก เราโดนแบบนี้บ่อยๆ ให้ชินไว้ พอวันที่สำเร็จจะได้มีความหมายไง ความล้มเหลวของเราไม่ใช่ความล้มเหลวที่บังเอิญ แต่คือสิ่งที่สอนผมว่าคุณจะต้องพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จากวันนั้นผมก็พยายามขึ้นอีก 3 เท่าเพื่อเป้าหมายที่ผมรู้สึกว่าถูกต้อง

ความล้มเหลวของเราไม่ใช่ความล้มเหลวที่บังเอิญ แต่คือสิ่งที่สอนผมว่าคุณจะต้องพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ

ความพยายามนั้นเป็นผลสำเร็จไหม
อย่างที่บอกว่ามันเป็นจังหวะชีวิตครับ วันหนึ่งมีคนญี่ปุ่นที่ทำงานด้านแอนิเมเตอร์มาเยี่ยมที่ออฟฟิศ ผมชวนให้เขาช่วยดูผลงานของผมหน่อย เขาดูแล้วอ้าปากค้างเลยแล้วก็บอกล่ามเป็นประโยคสั้นๆ ว่า ‘ถ้าคุณมาที่ญี่ปุ่นนะ คุณดังแน่’

ผมอุทานในใจเลยนะว่า ‘เชี่ย’ (หัวเราะ) เราติดต่อกันหลังจากนั้นแล้วผมก็ลองส่ง พอร์ตโฟลิโอไปสมัครงานที่ Polygon Pictures ประเทศญี่ปุ่น เขาก็รับผมเข้าทำงานเลย เขาชอบผมมาก ที่นั่นผมได้เรียนรู้หลายอย่าง ที่สำคัญคือคนญี่ปุ่นเป็นมืออาชีพมาก ที่นี่ทำให้ผมเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทางด้านความคิด เป็นจุดเริ่มที่ทำให้ผมมั่นใจในตัวเอง งานก็ดีจนสร้างโปรไฟล์ที่ดี แต่ถึงแม้อะไรหลายๆ อย่างจะดูเหมือนโอเค มันกลับไม่ได้ทำให้ฝีมือผมพัฒนาขึ้นเท่าไหร่ ผมทำงานเร็วและโดนคอมเมนท์น้อยเลยรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เก่งขึ้น และผมอยู่อย่างนี้ไม่ได้แน่ๆ เพราะผมมีเป้าหมายที่ผมอยากไป

ผมส่งใบสมัครไปที่บริษัทแอนิเมชันชื่อดังที่แคนาดาอีกรอบ คราวนี้ผมได้รับการเรียกตัว เขาบอกผมว่าอยากให้ผมไปช่วยทำภาพยนตร์เรื่อง Peddington และอีกโปรเจกต์ในจักรวาลมาร์เวล ตอนนั้นดีใจกระโดดโลดเต้นเลย ผมลาออกจากบริษัทที่ญี่ปุ่นเพื่อมาทำวีซ่าเตรียมตัวไปแคนาดา ทุกอย่างเหมือนจะไปได้สวยแต่กลายเป็นว่าผมต้องรอวีซ่าอยู่ 8 เดือนเพราะตอนนั้นเกิด Trump Effect ทำให้แคนาดาเข้มงวดมากกับคนที่จะเข้าไปทำงานในประเทศ

8 เดือนนั้นเป็นสภาวะที่กดดันมาก ความฝันกับความเป็นจริงเริ่มสวนทางกัน ผมรู้สึกว่าไม่ได้การแล้ว พอดีกับที่ตอนนั้น Marza Animation Planet บริษัทจากญี่ปุ่นอีกเจ้าชวนผมให้ไปทำงานด้วย ผมจึงตอบตกลงเพราะเหมือนคนจะจมน้ำที่ต้องคว้าสิ่งที่เข้ามาไว้ก่อน แต่การกลับไปญี่ปุ่นอีกรอบยิ่งย้ำในใจผมว่ามันไม่ใช่เรา ภาวะการเกือบได้ไปทำงานที่แคนาดาทำให้ผมได้แต่ตั้งคำถามว่า ‘กูจะ animate หนังมาร์เวลสักเรื่องไม่ได้เชียวเหรอวะ’ในใจมันยังคงโหยหาโอกาสนั้น

ผมเลยตัดสินใจว่าไม่ได้การแล้ว เลยสมัครงานอีกรอบกับบริษัท Framestore ที่อังกฤษ ซี่งเขาตอบตกลง

Avengers Assemble

ตอนนั้น Framestore อยากให้ไปทำโปรเจกต์อะไร
Framestore เป็นหนึ่งใน 6 บริษัทขาประจำที่ทำงานให้กับสตูดิโอมาร์เวล ตอนที่เซ็นสัญญาเข้ามา เขาให้ผมทำโปรเจกต์ที่ไม่สามารถบอกได้ แต่พอได้มาเริ่มทำงาน เป็นจังหวะพอดีที่เขากำลังทำ Avengers: Infinity War เขาเลยชวนผมมาทำด้วยเพราะผมถนัดแอคชั่น พอจะเปิดเผยได้นิดหน่อยว่าผมทำแอนิเมเตอร์อยู่ 7 ช็อต เป็นตัวละครของ Doctor Strange, Iron Man, Black Dwarf และ Ebony Maw ทั้งช็อตคุยกันและแอคชั่นนิดหน่อย

การทำงานในมาตรฐานฮอลลีวูดแตกต่างกับที่เคยทำมาไหม
ที่นี่เป็นการทำงานในอุดมคติเลย ได้อยู่ท่ามกลางคนที่เก่งมากๆ เก่งแบบที่ชีวิตนี้ผมไม่รู้ว่าจะเก่งได้เท่าเขาไหม เวลาเราดูหนังมาร์เวล เราเข้าใจเลยว่าทำไมถึงมีความแตกต่างระหว่าง Avengers หรือ Spider Man กับแอนิเมชันไทย ผมกลายเป็นคนกระจอกที่สุดในออฟฟิศอีกครั้ง แต่ผมดีใจมากนะ ที่นี่มีหมดทั้งวินัย ทักษะ มีทุกอย่าง เขาเลยผลิตผลงานระดับโลกออกมาได้ อย่างผมได้รับมอบหมายให้ทำช็อตของ Ironman ผมคิดว่าศึกษามาเยอะและทำการบ้านมาอย่างดี แต่พอมาเจอจริงๆ มันมากกว่าที่ผมคิดไว้มาก คุณต้องทำ Ironman ให้เหมือนกับ Tony Stark คุณต้องรู้ว่ากลไกของชุด Ironman เป็นยังไง ต้องรู้ว่า Tony เดินยังไง เขาจะยกอาวุธขึ้นมาสู้แบบไหน สายตาที่เขามองตัวร้ายแต่ละตัวก็ไม่เหมือนกัน

ถ้าให้จำกัดขอบเขตหน้าที่ของผมง่ายๆ คือถ้า Tony Stark เดินออกมา สิ่งนี้ไม่ใช่หน้าที่ผม แต่ถ้าเขาเปลี่ยนเป็น Ironman เมื่อไหร่ อันนี้แหละหน้าที่ผม การทำงานครั้งนี้ผมโดนแก้เยอะมากนะ ที่นี่มีทั้ง Supervisor และหัวหน้าที่ดูงานให้เรา ผมโดนแก้งานทุกๆ 2 ชั่วโมง เพื่อภาพในระดับที่เราต้องร้องอุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจ วันนั้นผมรู้เลยว่าถ้าผมยังอยู่ที่ไทย ผมจะไม่มีวันที่จะได้เรียนรู้สิ่งนี้เลย

ฮีโร่ที่แท้จริงภายใต้หน้ากาก

มองดูจุดที่ยืนอยู่ตอนนี้ เราถึงเป้าหมายหรือยัง
ผมคิดว่าผมถึงแล้วนะ และผมอยากอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ ตอนนี้ผมเป็นตัวสำรอง วันหนึ่งผมก็อยากเป็นตัวจริง ตอนนี้ผมอยู่ในจุดที่ฝันแล้ว ผมมายืนบนดวงจันทร์ได้แล้ว เป้าหมายต่อไปคือปักธงชาติไทยที่นี่ เราต้องมีงานที่เป็นจุดเด่นในหนังสักเรื่องให้ได้ เราต้องไปให้ได้เพราะตอนนี้เรามาไกลมากแล้ว หลังจากนั้น จุดสุดท้ายในชีวิตผมคงเป็นการกลับมาทำงานที่ไทย เอาสิ่งที่ผมเรียนรู้มาทั้งหมดมาสอนให้คนบ้านเราไร้เทียมทาน ตอนนี้เรายังขาด motivation เนื้องานบางอย่างต้องทุ่มเท เสียสละทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ไปอยู่ในจุดนั้น ผมจะเอาส่วนนี้ของผมไปถ่ายทอดให้บ้านเราได้เห็นแล้วพัฒนามากขึ้น เผื่อคนที่เห็นความเป็นไปได้จากผม จะได้มายืนอยู่ตรงนี้บ้าง

ถ้ามีใครสักคนอ่านเรื่องราวนี้แล้วชื่นชมคุณเป็นฮีโร่ มีอะไรจะบอกพวกเขาบ้าง

ผมยืนอยู่บนพื้นดินเหมือนคนทั่วไปแหละครับ ไม่ได้เป็นฮีโร่มาจากบนฟ้าอะไร แต่ความพยายามของผมพาผมไปอยู่ในหลายที่

ถ้าจะฝากอะไรไปถึงคนในสายงานของผมได้ ระหว่างคนธรรมดาและคนที่ประสบความสำเร็จเป็นเหมือนพีระมิด มันมียอดแหลมของคนที่ประสบความสำเร็จอยู่นิดเดียว คนที่ไปไม่ถึงแล้วอยู่ด้านล่างมีเยอะกว่า แต่คุณเลือกได้ว่าจะเป็นแบบไหน ถ้าเกิดคุณรู้ว่าคุณต้องการอะไร มันไม่มีคำว่าสาย ไม่จำเป็นต้องร้องขอหรือโวยวายถามหาต้นทุนชีวิต ขอคุณตั้งเป้าหมายให้หนักแน่นไว้ก็พอ ถ้าคุณไม่ตั้งเป้าหมายเท่ากับว่าคุณไม่มีความฝันนะ ถ้าเป็นแบบนั้น โลกความจริงก็จะปฏิบัติต่อคุณแบบนั้นเช่นกัน

AUTHOR