From 0 to 555 : การลองบทบาทใหม่ในฐานะสแตนด์อัพ คอมเมเดี้ยนของ ครูทอม คำไทย และ บีเบนซ์

‘การหัวเราะบ่อยๆ คือหนึ่งในปัจจัยที่จะทำให้มีอายุยืนถึง 100 ปี’ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Albert Einstein College of Medicine และ Yeshiva University ได้กล่าวไว้

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไม่ว่าเราจะหาวิธีการทำให้อายุยืนจากเว็บไซต์ไหนๆ การหัวเราะก็มักติดท็อปลิสต์อันดับต้นๆ เสมอ ทว่าเว็บไซต์เหล่านั้นกลับไม่เคยบอกเลยว่าวิธีไหนเล่าที่จะทำให้เราหัวเราะได้ วันนี้คุณจะได้รู้หนึ่งในวิธีการเหล่านั้นนั่นคือการนั่งฟังเรื่องเล่าจาก 2 สแตนด์อัพ คอมเมเดี้ยนที่เรากำลังจะพาไปพูดคุย รับรองได้เลยว่างานวันเกิดฉลองอายุครบ 100 ปีของคุณเป็นจริงได้ไม่ยาก

หากคุณมีโอกาสได้ชมโชว์สแตนด์อัพ คอมเมดี้ A-Katanyu 30 ปีชีวิตห่วยสัส ของ ยู-กตัญญู สว่างศรี คลื่นระลอกใหม่แห่งวงการสแตนด์อัพ คอมเมดี้ คุณคงรู้ถึงผลลัพธ์เสียงหัวเราะของวิธีนี้จาก 2 สแตนด์อัพ คอมเมเดี้ยนรับเชิญผู้แจ้งเกิดในวงการจากการเล่าเรื่องราวสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ และเกร็ดวรรณคดีไทยชวนหัวร่อบ้างแล้ว

เจ้าของเรื่องเล่าสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้คือ บีเบนซ์-พงศธร ธิติศรัณย์ หนุ่มคารมดีผู้มีจุดเริ่มต้นการพูดจากการเป็นตัวแทนพรีเซนต์งานกลุ่มสมัยมัธยม-มหาวิทยาลัยจนผันตัวเองมาเป็นพิธีกรอีเวนต์ช่างพูดเเละคอมเมเดี้ยนผู้เเจ้งเกิดจากการตกรอบในรายการ เดี่ยวดวลไมค์ ไทยเเลนด์

ส่วนเจ้าของเรื่องเล่าเกร็ดวรรณคดีไทยที่เราอยากให้คุณรู้จักเขามากขึ้นกว่าเดิมคือ ทอม-จักรกฤต โยมพยอม หรือ ‘ครูทอม คำไทย’ ครูภาษาไทยผู้รักการอ่านพจนานุกรมก่อนนอนเป็นกิจวัตร นอกจากบทบาทของครู เขายังเป็นทั้งสุดยอดแฟนพันธุ์เเท้สุนทรภู่ พิธีกรรายการโทรทัศน์เเละอีเวนต์ นักเเสดง เเละเจ้าของหนังสือ สุนทรภู่ไม่ได้เป่าปี่ พระอภัยมณีไม่ใช่คนระยอง จากลิสต์ข้างต้นคงรู้ได้ว่าประสบการณ์ด้านการพูดของเขามีไม่น้อย คราวนี้ครูทอมกำลังเริ่มต้นบทบาทใหม่กับการเป็นเเสตนด์อัพ คอมเมเดี้ยนที่ดูเหมือนเขาจะติดใจเสียด้วย และวาไรตี้ทอล์กโชว์เต็มรูปแบบของครูทอมในเดือนกรกฎาคมนี้น่าจะยืนยันความชอบของเขาได้เป็นอย่างดี

แต่สำหรับใครที่พลาดโอกาสชมโชว์ A-Katanyu 30 ปีชีวิตห่วยสัส บทสัมภาษณ์ต่อไปนี้เปิดโอกาสให้คุณลองชิมลางความตลกของทั้งคู่ก่อนที่จะได้หัวเราะไปกับเรื่องเล่าของเขาทั้งสองในเวที One Night Stand Up : Stand Up Tragedy #คืนระทม2018 ณ Live Lounge สุขุมวิทซอย 13 ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 16 – 18 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้

ได้ยินมาว่าทุกที่ที่ครูทอมไปต้องมีการ tie-in หนังสือ สุนทรภู่ไม่ได้เป่าปี่ พระอภัยมณีไม่ใช่คนระยอง

ครูทอม: ใช่ เพราะหนังสือเล่มนี้ควรจะมีทุกบ้าน ไม่ว่าจะไปที่ไหนเราก็ต้อง tie-in เพราะมั่นใจว่าเป็นหนังสือที่ดี เราตั้งใจเขียนมาก ดังนั้นทุกคนควรจะได้อ่านสักครั้งในชีวิต มีหรือยังครับ (หัวเราะ)

จุดเริ่มต้นของทั้งคู่ในบทบาทสแตนด์อัพ คอมเมเดี้ยนเป็นอย่างไร

บีเบนซ์: หลายครั้งที่ผมออกไปพรีเซนต์งานกลุ่มในค่าย เพื่อนจะชอบเดินมาตบไหล่เเล้วบอกว่าผมเหมือนพี่โน้ต อุดม ไม่ใช่แค่หน้าตาแต่ท่าทางการพูดด้วย ผมได้ยินคำพูดประมาณนี้มาตั้งเเต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย พอปี 3 มีโอกาสได้ดูเดี่ยวไมโครโฟน 8 เลยทำให้ได้รู้จักสแตนด์อัพ คอมเมดี้ ผมเริ่มศึกษาจากการดูนักพูดที่ตลก กลับไปย้อนดูเดี่ยวไมโครโฟนทั้งหมด ดูน้าเน็ก คริสโตเฟอร์ ไรท์ พิง ลำพระเพลิง และพระมหาสมปอง จากนั้นผมก็ติดตามข่าวของวงการพิธีกร ไปประกวดหลายๆ ที่แต่ไม่เคยชนะ มักจะตกรอบเเรกๆ เสมอ จนรายการล่าสุดคือ เดี่ยวดวลไมค์ ไทยแลนด์ ของช่องเวิร์คพอยท์ ผมก็ตกรอบแต่ดันได้ออกอากาศ ยอดวิวในยูทูบที่รับรู้ว่าผมตกรอบน่าจะมีประมาณ 5 – 6 พันเเล้วมั้ง แต่หนึ่งในนั้นเป็นยอดวิวของพี่ยู-กตัญญู สว่างศรี เขาเลยชวนผมมาลองเล่นรอบซ้อมของงาน One Night Stand Up ปรากฏว่าโชว์ออกมาดี คนดูตลก พี่ยูเลยให้มาเล่นในรอบจริง

ครูทอม: จุดเริ่มต้นของเราคืองานเปิดตัวหนังสือ สุนทรภู่ไม่ได้เป่าปี่ พระอภัยมณีไม่ใช่คนระยอง ที่ยูมาเป็นพิธีกร ทำให้เราได้รู้จักสนิทสนมกับยูตั้งเเต่ตอนนั้นเพราะรู้สึกว่าคุยถูกคอ จากนั้นเราก็ได้โอกาสไปเป็นพิธีกรพูดเปิดให้ยูในงาน A-Katanyu 30 ปีชีวิตห่วยสัส ที่ยูเล่นสแตนด์อัพ คอมเมดี้ครั้งเเรก และในปลายปีเดียวกันยูก็มาเล่าให้ฟังว่าอยากทำเเสตนด์อัพ คอมเมดี้ที่ชวนให้คนหลายๆ คนมาพูด ซึ่งเราก็สนับสนุนและเชียร์ให้ทำ พอยูทำจริงๆ ยูก็ชวนเราขึ้นมาพูดด้วย

แต่ละคนมีวิธีสะสมเรื่องราวมาเล่ากันอย่างไร

บีเบนซ์: ตอนที่ผมเริ่มรู้จักสแตนด์อัพ คอมเมดี้จากการดูเดี่ยวฯ 8 ผมก็ได้อ่านบทสัมภาษณ์ของพี่โน้ตเรื่องการสะสมเรื่องเล่าตลกๆ ด้วยการจดไดอารี่ ประจวบกับช่วงนั้นผมก็เขียนไดอารี่อยู่ ผมเลยกลับไปอ่านไดอารี่ตัวเองดูและเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในไดอารี่ของผมก็เอามาพูดได้ อย่างบางเรื่องที่เขียนด้วยความหงุดหงิด เวลาหยิบเอาไปเล่ากลับเป็นอีกมุมที่ทำให้คนสนุกตั้งเเต่นั้นผมก็ตั้งใจจดไดอารี่มาเรื่อยๆ จดใส่โพสต์อิต หรือด้านหลังหนังสือบ้าง

ครูทอม: หลายๆ เรื่องที่เราเอามาพูดเป็นสิ่งที่เรามักจะเล่าให้นักเรียนของเราฟังอยู่เเล้ว เราอยากให้เด็กสนุกเวลาเรียนวิชาภาษาไทยเลยต้องหาเกร็ดต่างๆ ในวรรณคดีไทยที่มันสนุกๆ มาเล่า หลายๆ อย่างที่เราเอามาเล่าในโชว์ครั้งที่เเล้วก็เป็นสิ่งที่เราค่อยๆ เก็บสั่งสมมาตลอดระยะเวลา 10 ปีที่สอนหนังสือ

บีเบนซ์: 10 ปีนี่เล่าในโชว์ครั้งที่เเล้วไปหมดเเล้วใช่ไหมครับหรือมีอีก

ครูทอม: รอดู รอดู รอดู บอกเลยว่าเพียบ

รู้สึกว่าทั้งสองคนประยุกต์ทักษะการพูดที่ใช้มาตลอดชีวิตเข้ากับการเล่นสเเตนด์ อัพคอมเมดี้ ด้วย

ครูทอม: เราว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะการเล่าเรื่องตลกมันเป็นศาสตร์เเละศิลป์ที่ยากมาก ต้องมีกลยุทธ์หลากหลายเพื่อเล่า การที่เรามีประสบการณ์ด้านการพูดอยู่เเล้วทำให้ง่ายต่อการจับกลวิธีที่หลากหลายมาเล่าให้เข้าคู่กันกับเรื่องตลกเเต่ละแบบ โดยเราต้องหาให้เจอว่าเรื่องเเบบไหนเหมาะกับวิธีเล่าเเบบไหน

บีเบนซ์: ผมเริ่มศึกษาสแตนด์อัพ คอมเมดี้มากขึ้นแล้วพบว่าการเล่นสแตนด์อัพ คอมเมดี้มี 2 อย่าง คือ หนึ่ง-บท สอง-การเอาบทนั้นมาถ่ายทอด เหมือนทำหนังเลย บทเป็นเหมือนเนื้อเรื่อง ส่วนวิธีการเล่านั้นเหมือนการกำกับ ผมว่าคนที่เล่นตรงนี้ได้ต้องมี 2 อย่างนี้

วินาทีเเรกที่ขึ้นและลงจากเวทีสแตนด์อัพ คอมเมดี้ปีที่เเล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง

ครูทอม: นอกจากไปสอน ปกติเวลาที่เราขึ้นเวทีที่เราไม่คุ้นเคยเราจะตื่นเต้นมากๆ อยู่เเล้ว ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรอีเวนต์หรืองานต่างๆ เราจะรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งเพราะไม่รู้เลยว่าเสียงตอบรับจากคนดูจะเป็นยังไง เวทีสแตนด์อัพ คอมเมดี้เป็นครั้งเเรกเลยที่ตื่นเต้นมากๆๆๆๆๆๆๆ มากจริงๆ เติมไม้ยมกเยอะมาก แต่พอได้ขึ้นเวทีครั้งนั้นเราสัมผัสได้เลยว่าคนดูนอกจากหวังจะได้ความตลกเเล้ว เขายังพร้อมจะให้กำลังใจคนพูดเหมือนกัน เพราะคนดูก็รู้ว่านี่คือครั้งเเรกๆ ของทุกคนที่ขึ้นเวทีนี้ ดังนั้นเขาไม่ได้มาดูเพื่อจับผิดว่ามึงจะตลกหรือไม่ตลก มันเลยรู้สึกดีและผ่อนคลายเวลาอยู่บนเวที คนดูให้การตอบรับค่อนข้างดี พองานเสร็จ เราก็ตามอ่านฟีดแบ็กต่างๆ มันเป็นไปในทางบวกมากๆ เกินที่เราคาดหวังไว้ ทำให้เรารู้สึกว่าถ้ามีเวทีสแตนด์อัพ คอมเมดี้อีกครั้งเราก็อยากขึ้นอีกรอบเเล้วก็อยากจะทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ

บีเบนซ์: ต้องบอกว่าขึ้นเวทีแสดงจริง 2 รอบให้ความรู้สึกต่างกันมากเลย รอบแรกผมมัวเเต่คิดกดดันตัวเองทำให้รอบเเรกของผมเหมือนไปพูดงานสัมมนา ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก วันนั้นผมรู้สึกว่าเราทำต่อไปไม่ได้เเล้ว โชว์อีกรอบพรุ่งนี้ซวยเเล้วกู เลยเกิดเเรงผลักว่าไม่มีอะไรจะเสียเเล้ว ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เป็นงานสุดท้ายของเรา พอรอบสองที่ผมผ่อนคลายขึ้น จากต่ำสุดกลับทำได้เกินกว่านั้น เลยเข้าใจเเล้วว่าสแตนด์อัพ คอมเมดี้ไม่ได้เป็นไปตามที่ผมคาดหวังเลย ผมไม่รู้เลยว่าวันนี้พรุ่งนี้ผมขึ้นไปแล้วมันจะขำหรือไม่ขำ แต่ผมรู้สึกโชคดีนะที่ผมได้เจอ 2 มุมนั้นทั้งดีเเละแย่

ครูทอม: ใช่ เอาเเน่เอานอนไม่ได้สักอย่างเลยทั้งคนดู เเละตัวเราเองด้วย

ซึ่งความไม่แน่นอนนั้นเป็นเสน่ห์ของสแตนด์อัพ คอมเมดี้ด้วยหรือเปล่า

ครูทอม: เราว่าความไม่เเน่นอนคือเสน่ห์ของทุกการเเสดงสดเลย ทั้งคนดูในแต่ละรอบที่ต่างกันและเราไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเขาเป็นยังไง พอขึ้นเเสดงจริง ต่อให้เราซ้อมมามากมายเเค่ไหน พอมันสด แต่ละครั้งที่เราเล่นก็จะไม่เหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์

บีเบนซ์: ผมว่าคนที่จะขึ้นแสดงบนเวทีได้ต้องเป็นคนที่มีไหวพริบ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ต้องรู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป อาจจะมีคลังอะไรในตัวไม่รู้เเหละ

แล้วการที่โชว์จะออกมาดีได้ ต้องมีปัจจัยอะไรบ้าง

ครูทอม: อย่างของเรา เรารู้สึกว่าการได้ลองเวทีเยอะๆ ซ้อมเยอะๆ ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เรารู้ว่าการใช้กลวิธีเเบบนี้กับมุกแบบนี้มันเวิร์กหรือเปล่า อย่างเมื่อปีที่เเล้วก่อนเเสดงจริงเราจะเล่นรอบซ้อมทั้ง 2 ครั้งไม่เหมือนกันเลย ทั้งเรื่องที่เล่าเเละวิธีการเล่าก็ไม่เหมือน ทำให้เราเห็นว่ามุกไหนมันเวิร์กมาก มุกไหนเวิร์กน้อย เเล้วพอเล่นจริงเราก็เลือกมุกที่เวิร์กมากของการซ้อมเเต่ละครั้งมาเล่น ณ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าโคตรดีเลย พอใจมากๆ กับโชว์ของตัวเองทั้ง 2 รอบ

บีเบนซ์: การแสดงสแตนด์อัพ คอมเมดี้ ชื่อมันก็บอกอยู่เเล้วว่ากูมาฟังเรื่องตลก ข้อเเรกเลยคือจะทำยังไงให้คนหัวเราะ ผมจะคัดวัตถุดิบจากเรื่องที่รู้สึกว่าถ้าเล่าเเล้วคนจะตลก เปิดไดอารี่ดูว่าเรื่องไหนเหมาะหรือไม่เหมาะ จากนั้นเอาเรื่องที่เหมาะมาเชื่อมกันโดยดูว่าเรื่องไหนจะอยู่หน้าหรือหลัง

ครูทอม: อีกปัจจัยนึงที่ทำให้การแสดงมันเวิร์กคือบางเรื่องถ้าเราดึงคนดูให้เข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องที่เราเล่า เราทำให้เขาอินกับเรื่อง ทำให้เขารู้สึกว่าเขาก็เจอเเบบนี้หรือถ้าเขาเจอเเบบเราเขาก็น่าจะรู้สึกเเบบเดียวกัน มันจะทำให้เขามีอารมณ์ร่วมกับสิ่งที่เราเล่าเเล้วก็จะนำให้เขาไปสู่ความตลกได้ง่ายขึ้นด้วย

โชว์เเสตนด์อัพ คอมเมดี้ของเเต่ละคนมีจุดเด่นตรงไหนบ้าง

ครูทอม: เราว่านักเเสดงเเต่ละคนต้องรู้อยู่เเล้วว่าจุดเด่นของตัวเองคืออะไรเเล้วนำเสนอสิ่งนั้นออกมา จุดเด่นของเราคือการหยิบประเด็นทางภาษามาเล่า เหมือนเรามองเห็นความตลกในฐานะของนักภาษาศาสตร์ จริงๆ เราก็เคยลองเล่นทางอื่นซึ่งบางครั้งมันก็เวิร์ก เเต่เรารู้สึกอินกับเรื่องพวกนั้นน้อยกว่าเวลาถ่ายทอดประเด็นทางภาษาและวัฒนธรรม เลยรู้ว่าสิ่งนี้เเหละคือทางของเราซึ่งต่างจากคนอื่น

บีเบนซ์: ผมชอบการล้อเลียน เวลาเจอใครก็จะชอบไปล้อเลียนเขาทั้งท่าทางและเสียง ผมว่าการเลียนแบบได้หลายเสียงและท่าทางจะทำให้คนดูโชว์จินตนาการให้เห็นภาพได้

ครูทอม: เราว่าเบนซ์มีทักษะมากๆ เรื่องการสวมคาเเรกเตอร์ ทั้งการใช้น้ำเสียงและเเสดงออกสีหน้าท่าทาง สิ่งหนึ่งที่เราเห็นเเล้วทำไม่ได้เเบบเบนซ์คือการออกท่าทางตามตัวละครที่กำลังเล่าอยู่ ณ ตอนนั้น มันไม่ใช่ทางของเราเลยและรู้สึกเขินๆ

ในอนาคตข้างหน้า คิดเรื่องสแตนด์อัพ คอมเมดี้กับตัวเองไว้ว่าอย่างไร

ครูทอม: เราอยากทำต่อเพราะรู้สึกว่ามันสนุกและท้าทาย เทียบกับการเรียน การตั้งเป้าหมายเอาไว้ก็เหมือนการสอบไล่ครั้งหนึ่งที่เราต้องพยายามผ่านมันไปให้ได้ ตอนนี้เรากำลังหาแบบทดสอบยากๆ ให้ตัวเองเเล้วค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ผ่านไปเรื่อยๆ สุดท้ายเเล้วทุกย่างก้าวที่เราโตขึ้นมันก็จะทำให้ชีวิตเราสนุกดี

บีเบนซ์: ผมอยากทำครับ หลังจากที่เราได้ไปเล่นเปิดให้พี่ยูในงาน The Man Who Stand Up เป็นเวลา 15 นาที พี่ยูกับผมก็นั่งคุยเรื่องความแตกต่างระหว่างการเล่นสแตนด์อัพ คอมเมดี้ 15 นาทีกับ 1 ชั่วโมงกัน สุดท้ายเขาบอกผมว่ามันยากมากที่เขาต้องยืนบนเวทีเป็นเวลา 1 ชั่วโมงแล้วลงมาให้ได้ด้วยการเอาตัวรอดคนเดียว อยากให้ผมลองดู ปีที่เเล้วผมบังเอิญเห็นหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) เปิดรับสมัครโครงการสนับสนุนพื้นที่การแสดงและทุนเพื่อเปิดโอกาสให้ศิลปินสาขาศิลปะการแสดง ผมเลยลองเสนอโครงการทำโชว์สแตนด์อัพ คอมเมดี้ไป บทของผมก็มีแล้วเพราะมีเรื่องที่จดไว้เยอะพอที่จะสามารถเล่นในเวลาชั่วโมงถึงชั่วโมงครึ่งได้แน่นอน ผมคิดว่าผมอยากลองทำสแตนด์อัพ คอมเมดี้ดูในอายุ 25 ปีนี่แหละ ใช่หรือไม่ใช่ไม่รู้นะ คิดว่าถ้ามีคนชวนไปทำหรือเล่นสแตนด์อัพ คอมเมดี้ก็อยากลองทำ อยากลองไปพูดในผับที่ต่างจังหวัด อยากลองไปขายตั๋วให้คนเชียงใหม่ทั้งที่ผมก็ยังไม่ได้มีชื่อเสียงนะ วันนี้รู้สึกดีมากที่ได้คุยกับครูทอม เพราะว่าเวลาบทสัมภาษณ์ออกไป แฟนคลับครูทอมก็จะเข้ามาอ่าน คงไม่มีใครมาอ่านแต่คำตอบของครูทอมหรอก หรืออาจจะอ่านเเบบ ครูทอมๆๆ บีเบนซ์เเม่งใครไม่รู้ข้าม ครูทอมๆๆ

ครูทอม: (หัวเราะ) มึงเกาะกูดัง! เสริมนิดนึง เราชอบมากเลยที่บีเบนซ์พูดถึงการลองเพราะการลองมีประโยชน์มากจริงๆ ถ้าเราไม่ได้ลอง เราก็จะไม่รู้สักทีว่าเราสามารถทำมันได้หรือเหมาะกับมันหรือเปล่า ลองไปเถอะ ฝากถึงทุกคน อยากทำอะไรก็ลองทำไป

ภาพ พิพัฒน์พงศ์ ชิตรัตนธรรม

AUTHOR