2 ปีที่แล้ว เราได้ฟังเพลงเศร้าจากอัลบั้มเพลงสากลอัลบั้มหนึ่ง
อาจเป็นความบังเอิญ เพลงที่ว่าปล่อยออกมาในช่วงเวลาที่เรากำลังเศร้าพอดิบพอดี เราจึงเชื่อมโยงและดำดิ่งไปกับบทเพลงได้อย่างไม่น่าเชื่อราวกับว่าเป็นเจ้าของเรื่องราวเหล่านั้นจริงๆ
เพลงนั้นมีชื่อว่า Thru These Tears จากอัลบั้ม Malibu Nights ของวงดนตรีอเมริกันชื่อ LANY
2 ปีผ่านไป เราเติบโตขึ้น มุมมองต่อเรื่องความรักของเราเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
เป็นความบังเอิญอีกครั้ง เมื่อนี่คือช่วงเวลาเดียวกับที่วงดนตรีวงนี้ปล่อยอัลบั้มใหม่พอดี ด้วยเนื้อหาที่เติบโตขึ้นกว่าเดิม เพลงของพวกเขาจึงทำงานกับเราแบบเดิมผ่านเรื่องราวความรักที่ลึกซึ้งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความรักต่อครอบครัวหรือความรักที่หลุดลอยก็ตาม
อัลบั้มใหม่นี้มีชื่อว่า mama’s boy
LANY คือวงดนตรีอินดี้ป๊อปที่มีสมาชิก 3 คน ได้แก่ Paul Jason Klein (ร้องนำ/เปียโน/กีตาร์), Charles Leslie “Les” Priest (กีตาร์/คีย์บอร์ด) และ Jake Clifford Goss (กลอง) พวกเขาก่อตั้งวงเมื่อปี 2014 ที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และเริ่มเป็นที่รู้จักของใครหลายๆ คนจาก EP อย่าง I Loved You., Make Out และ kinda ก่อนมีผลงานอัลบั้มเต็มชุดแรกออกมาในชื่อเดียวกับชื่อวง
ในปี 2018 พวกเขาปล่อยสตูดิโออัลบั้มลำดับที่สองออกมาในชื่อ Malibu Nights ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความผิดหวังเรื่องความรักโดยเฉพาะ จะเรียกว่าเป็นอัลบั้มสำหรับคนอกหักก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้อกหักกับกระแสตอบรับ เพราะอัลบั้มนี้ตอกย้ำความสำเร็จของ LANY ยิ่งขึ้นไปอีกด้วยเพลงอย่าง Thick And Thin, I Don’t Wanna Love You Anymore และ Malibu Nights
หลังปล่อยอัลบั้ม Malibu Nights พวกเขาโผล่ไปร่วมงานกับศิลปินอย่าง Julia Michaels และ Lauv อยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่ทั้งสามจะกลับมาพร้อมอัลบั้มใหม่ภายใต้ชื่อ mama’s boy ในปีนี้พร้อมเนื้อหาและดนตรีที่ต่างออกไปจากสองอัลบั้มก่อนอย่างสิ้นเชิง
ที่ผ่านมาเพลงของ LANY มักพูดถึงเรื่องความรักหรือความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว แต่สิ่งที่พวกเขาทำในอัลบั้มนี้แตกต่างออกไป บางเพลงเลือกพูดถึงความรักในครอบครัว หรือแม้แต่เรื่องพ่อแม่ของตัวเองซึ่งละเอียดและเป็นส่วนตัวมากขึ้น
ที่สำคัญ จากวงที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าพวกเขามีรกรากมาจากที่ไหนและตั้งชื่อวงจากชื่อเมืองใหญ่ของอเมริกาอย่างลอสแอนเจลิส (LA) และนิวยอร์ก (NY) ในอัลบั้มนี้ พวกเขากลับเปิดเผยบ้านเกิดของตัวเองอย่างหมดเปลือกผ่านเพลง cowboy in LA ที่สะท้อนถึงรัฐทางตอนใต้ของอเมริกา–ที่มาของสามหนุ่ม
ก่อนปล่อยอัลบั้มใหม่ไม่กี่วัน เรามีโอกาสได้คุยกับ Paul Jason Klein ฟรอนต์แมนของวงผ่านวิดีโอคอลเกี่ยวกับเพลงในอัลบั้มใหม่ ครอบครัว และความเป็น mama’s boy ของหนุ่มจากทางใต้อย่างเขา
ชื่ออัลบั้ม mama’s boy มาจากไหน
วงดนตรีหลายๆ วงที่ยิ่งใหญ่ของโลกเขาแสดงตัวตนและเป็นตัวแทนบ้านเกิดของตัวเองอย่างชัดเจน เหมือน U2 ที่มาจากไอร์แลนด์, Oasis ที่มาจากเมืองแมนเชสเตอร์ หรือ The Beatles จากเมืองลิเวอร์พูล ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่วงของเราไม่เคยพูดถึงเลย
พวกเราอาศัยอยู่ในแอลเอก็จริง แต่บ้านเกิดของพวกเราไม่ใช่ที่นี่ เรามาจากที่ที่ไม่มีอะไรเลยอย่างโอกลาโฮม่า, มิสซูรี หรืออาร์แคนซัส คำว่า mama’s boy หรือลูกแหง่ติดแม่เป็นศัพท์ที่คนอเมริกันชอบพูดกันในแถบนั้น นอกจากนี้ถ้าคุณเป็น mama’s boy มันหมายถึงคุณเป็นคนที่มีความอ่อนไหวทางอารมณ์และความรู้สึกด้วย ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่ศิลปินควรมีเช่นกัน
แสดงว่าอัลบั้มนี้เป็นเหมือนจดหมายรักให้บ้านเกิดของพวกคุณไหม
ผมไม่คิดแบบนั้นนะ ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าพวกเรามาจากไหนแต่พวกเราก็ไม่ได้พยายามยึดอยู่กับเรื่องนี้เป็นหลัก มีเพลงแค่ 2 เพลงคือ cowboy in LA กับ good guys ที่พูดถึงบ้านเกิดของผม แต่เพลงอื่นๆ ก็พูดถึงเรื่องทั่วไปที่พวกเราต่างพบเจอในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
คุณเคยบอกว่า cowboy in LA เป็นหนึ่งในเพลงของ LANY ที่คุณชอบที่สุดตลอดกาล
ผมคิดว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่ฟังง่าย ผมฟังทุกวันเลยตั้งแต่ช่วงที่เริ่มทำเพลงนี้ใหม่ๆ ผมว่าเนื้อเพลงมันดีมาก ถ้าผมมีสิทธิพูดน่ะนะ (หัวเราะ) ผมพยายามจับบรรยากาศของโอกลาโฮม่ามาผสมรวมกับแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นการเขียนที่สนุกมาก ผมรักทำนองของเพลงนี้มาก ท่อน 2 ที่พูดถึงโอกลาโฮม่าคือท่อนที่สนุกที่สุดตอนเขียน
อะไรคือสิ่งที่คุณชอบเกี่ยวกับโอกลาโฮม่า
ผมคิดว่าน่าจะเป็นผู้คน ผมเติบโตมากับครอบครัวที่ค่อนข้างดี มีคนดีๆ อยู่รอบตัวผม ถึงแม้ว่าผมไม่ได้อยากกลับไปอยู่ที่นั่นเพราะผมชอบชีวิตที่ผมอยู่ตอนนี้แล้ว แต่มันเป็นประสบการณ์ที่สนุก ผมได้รำลึกถึงสถานที่ที่ผมโตมา
นอกจากจะพูดถึงเรื่องที่ไม่เคยพูดถึงอย่างบ้านเกิด mama’s boy พิเศษยังไงสำหรับพวกคุณ
เราอยากให้อัลบั้มนี้แตกต่างจากสองอัลบั้มที่ผ่านมา เช่น Malibu Nights เป็นอัลบั้มที่เกี่ยวกับอาการอกหัก ทั้ง 9 เพลงพูดถึงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวแต่ mama’s boy เป็นอัลบั้มที่มีเพลง 14 เพลง แต่ละเพลงพูดถึงเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นผมเลยตื่นเต้นที่ทุกคนจะได้ฟังอัลบั้มนี้ เพราะทุกคนจะได้สัมผัสเรื่องราวและความรู้สึกที่แตกต่างกันไป ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคงมีสักเพลงที่ทุกคนจะรู้สึกเชื่อมโยงกับมันได้
ที่บอกว่าพูดเรื่องที่หลากหลายขึ้น อัลบั้มนี้พูดถึงเรื่องอะไรบ้าง
ที่มาของแต่ละเพลงมีความแตกต่างกันไป เพลงแรกที่เราเขียนคือเพลง paper ซึ่งเป็นเพลงที่ 6 ของอัลบั้ม และเป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มแต่งเพลงด้วยกีตาร์โปร่ง ปกติแล้วผมมักเล่นเปียโนมากกว่า ผมรู้สึกตื่นเต้นกับเพลงนี้มากๆ หรือเพลง if this is the last time มีจุดเริ่มต้นคือตอนที่ผมกำลังนั่งเครื่องบินไปปักกิ่ง อยู่ดีๆ ผมก็คิดถึงครอบครัวแล้วก็สงสัยว่าถ้านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เจอพวกเขาจะเป็นยังไง
คุณทำให้แฟนเพลงอินกับเนื้อเพลงที่เป็นส่วนตัวขึ้นได้ยังไง
ผมไม่ค่อยกังวลว่าเพลงของเราจะเป็นส่วนตัวเกินไปจนคนฟังไม่เข้าใจนะ เพราะผมก็เป็นมนุษย์เหมือนทุกคน พวกเราทุกคนอาจจะผ่านเรื่องต่างๆ มาคล้ายๆ กัน เรื่องราวของผมก็อาจเป็นเรื่องราวที่หลายๆ คนเคยเจอมาก่อน ความสัมพันธ์กับพ่อและแม่ของเราและครอบครัวเป็นเรื่องซับซ้อน หรือเราต่างก็มีใครสักคนที่อยู่ในชีวิตของเราที่ถึงวันหนึ่งเขาก็อาจจะไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว
เคยอ่านมาว่าสำหรับอัลบั้มนี้ตอนแรกคุณแต่งเพลงไว้ถึง 40 เพลง มีวิธีเลือกแค่ 14 เพลงลงอัลบั้มยังไง
(นิ่งคิด) ผมอธิบายไม่ได้เหมือนกัน ผมแค่รู้สึกว่าเพลงไหนก็ตามที่พวกเรารู้สึกว่ามันดีพอเราก็จะเลือก เวลาก็มีส่วนช่วยให้เราตัดสินใจด้วย
พูดด้วยความสัตย์จริงนะ พอย้อนกลับไปดูอัลบั้มแรกของเรา ผมรู้สึกว่ามีบางเพลงที่ไม่ควรใส่ไปในอัลบั้มเลยด้วยซ้ำ ผมพูดได้เพราะผมเป็นคนเขียนเอง (หัวเราะ) แต่ผมใช้เวลาในการทบทวนอัลบั้มนี้นานพอสมควรเลย
คุณคาดหวังผลตอบรับไว้แบบไหน
ผมหวังว่าทุกคนจะชอบอัลบั้มนี้เพราะเราตั้งใจทำให้พวกคุณ แน่นอนว่าเราทำเพลงแบบที่เราชอบ แบบที่เราต้องการ แต่ก็หวังว่าทุกคนจะชอบด้วย
คิดถึงการทัวร์บ้างไหม
คิดถึงมากๆ ในฐานะคนเขียนเพลง การได้เห็นเพลงที่ตัวเองแต่งเชื่อมโยงกับผู้คน ได้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้มีความหมายกับพวกเขามากขนาดไหน ตอนขึ้นไปร้องและได้เห็นแฟนๆ นั่นเหมือนเป็นรางวัลสำหรับการเป็นศิลปินเลย
สุดท้ายนี้อยากบอกอะไรกับแฟนเพลงชาวไทย
ผมคิดถึงพวกคุณ ผมรักพวกคุณ ผมหวังว่าพวกคุณจะชอบอัลบั้มใหม่ของพวกเรา และหวังว่าจะได้เจอกันในปีหน้านะ