คว้าเอาโค้งหน้าต่างเครื่องบิน หยิบอาการหลังกลับจากเที่ยวมาใส่ไว้ในรองเท้า กับ Oyster Footwear

Highlights

  • Oyster Footwear คือชื่อของแบรนด์รองเท้าหนังสำหรับผู้หญิงที่ออกแบบโดย อ๊อย–วรามล ชนะกิจการชัย ที่มีจุดเด่นคือสีสันและดีไซน์ที่ไม่ซ้ำใคร
  • Turn accessories into the piece of contemporary art. คือคอนเซปต์ของแบรนด์ โดยจะออกปีละ 2 คอลเลกชั่น โดยแต่ละคอลเลกชั่นของเธอล้วนมีแรงบันดาลใจ มีที่มาที่ไปที่ชัดเจน และมีเรื่องเล่า
  • อินสตาแกรมของแบรนด์ไม่เน้นการขายของ แต่จะให้ความสำคัญกับการเล่าแนวคิดของการออกแบบ และแนะนำให้คนได้รู้จักเรื่องราวของมัน

ท่ามกลางบ้านทาวน์เฮาส์เรียงรายในตรอกเล็กๆ ซอยเอกมัย 12 โชว์รูมรองเท้าหนังที่ตกแต่งด้วยสีสันสวยหวานแอบซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบเชียบรอวันเปิดตัว พรางตัวอย่างแนบเนียนขนาดที่ว่า ถ้าไม่รู้มาก่อนเราคงมาไม่ถูก

แต่นั่นคือความตั้งใจ

“เราอยากอยู่ในที่ลับๆ สแตนด์อโลนออกมา ไม่อยากขายขนาดนั้น” หญิงสาวผมสั้นอธิบายประโยคชวนงง เพราะโดยปกติเมื่อเปิดร้าน ก็น่าจะอยากขายไม่ใช่หรือ

Oyster Footwear คือชื่อของแบรนด์รองเท้าหนังสำหรับผู้หญิงที่ออกแบบโดย อ๊อย–วรามล ชนะกิจการชัย เจ้าของรางวัล Best Leather goods Awards 2017 จากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โดยมีจุดเด่นที่การแมตช์คู่สีสันคุมโทนและการออกแบบที่ดูเรียบหรู แต่แฝงไปด้วยดีเทลที่ให้ความรู้สึกเฟมินีน น่ารัก ส่วนชื่อ Oyster นั้นส่วนหนึ่งมาจากชื่อเล่นของเธอ แต่อีกส่วนหนึ่งคือเธอเปรียบเท้าของผู้หญิงเหมือนไข่มุก รองเท้าจึงเปรียบเป็นเหมือนเปลือกหอยที่มาคอยปกป้องดูแลนั่นเอง

แม้แบรนด์จะมีอายุเพียงสองปีนิดๆ แต่ก็มีสาวๆ จากทั่วโลกแวะเวียนมาอุดหนุนบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และในไทยเองก่อนที่เธอจะทำโชว์รูมแห่งนี้ ก็มีป๊อปอัพให้สาวๆ ได้ลองสวมใส่ตามศูนย์การค้าอย่างเซ็นทรัล เอ็มบาสซี และสยามดิสคัฟเวอรี

“Turn accessories into the piece of contemporary art.” คือคอนเซปต์ของ Oyster Footwear อ๊อยวางตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองเป็นดีไซเนอร์แบรนด์ที่เน้นขายงานดีไซน์ ไม่เน้นจำนวน ทุกคอลเลกชั่นล้วนมีแรงบันดาลใจและที่มาที่ไปในการออกแบบในทุกดีเทล ออกคอลเลกชั่นใหม่ปีละสองครั้งตามฤดูกาล spring/summer และ fall/winter แต่ละคอลเลกชั่นจะมีรองเท้าออกมาทั้งหมด 5 สไตล์ ได้แก่รองเท้าเปิดส้นที่มีส้นเตี้ย, รองเท้าแฟลต, รองเท้าส้นสูง, รองเท้าเปิดส้น และอีกแบบจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ล้วนเป็นรูปแบบที่คิดมาแล้วว่าเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้หญิง เช่น รองเท้าแฟลตเหมาะกับวันที่ต้องเดินเยอะ รองเท้าเปิดส้นสามารถใส่ไปทำงานได้ในวันสบายๆ ส้นสูงเหมาะจะใส่ไปหาลูกค้า แต่ถ้าอยู่แถวบ้าน จ่ายตลาด ก็จะเหมาะกับรองเท้าแตะรัดส้น 

ถึงตอนนี้ Oyster Footwear มีทั้งหมด 4 คอลเลกชั่นด้วยกัน อ๊อยชวนเราเดินดูและเล่าถึงไอเดียในการออกแบบแต่ละตัวว่า คอลเลกชั่นแรกคือ The Arch ที่ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากสถาปัตยกรรมอิตาเลียน Palazzo della Civiltà ที่เต็มไปด้วยขอบโค้ง จึงดึงเอาความโค้งรูปแบบนี้เข้ามาอยู่ในการออกแบบเป็นซิกเนเจอร์

คอลเลกชั่นที่สองคือ The Voyage หยิบเอาความรู้สึกนึกคิดของผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วม อ๊อยเล่าว่าคอลเลกชั่นนี้คือเรื่องราวการไปเที่ยวของผู้หญิง เมื่อนั่งเครื่องบินนานๆ ก็จะเห็นขอบโค้งหน้าต่างเครื่องบิน เห็นเข็มขัด จึงมีการหยิบดีเทลเหล่านั้นมาใส่ในรองเท้าแต่ละสไตล์ หรืออย่างส้นรองเท้าที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมูเพราะมาจากการมองตึกจากเครื่องบิน จึงเห็นเป็นเพอร์สเปกทีฟ

คอลเลกชั่นที่สามคือ The Retour เป็นตอนต่อของ The Voyage คืออาการหลังกลับมาจากไปเที่ยวที่ต้องกลับมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง จึงมีเส้นสายบิดเบี้ยวผิดเพี้ยน เพราะภายในยังคงสนุกจากการเดินทาง

และล่าสุดคือคอลเลกชั่น The Rhyme ได้แรงบันดาลใจมาจากเงาสะท้อนของน้ำที่ตกกระทบเป็นคลื่น มีการดึงเอาลายตกกระทบและองศาความโค้งต่างๆ มาใช้

เรื่องราวแนวคิดการออกแบบแต่ละคอลเลกชั่นนี้จะสื่อออกมาผ่านภาพถ่ายที่จัดองค์ประกอบกันขึ้นมาเป็นงานศิลปะ อย่างตัวแอ็กเคานต์อินสตาแกรมของแบรนด์เองก็จะไม่ใช่โพสต์ขายสินค้า แต่เป็นโพสต์รูปภาพที่คิดการจัดเรียงกันมาอย่างดีเพื่อให้เล่าถึงเรื่องราวของคอลเลกชั่นนั้นๆ แม้ในบางภาพจะไม่มีรูปสินค้าเลยก็ตาม

“อย่างคอลเลกชั่นใหม่ The Rhyme จะเกี่ยวกับการสะท้อน ก็จะเห็นคอนเทนต์เกี่ยวกับการสะท้อน เล่นอิงเกี่ยวกับคอลเลกชั่น ซึ่งสุดท้ายแล้วมันก็กลับไปที่คอนเซปต์ Turn accessories into the piece of contemporary art.” หญิงสาวอธิบาย

แต่กว่าจะเป็นแบรนด์ที่มีระบบที่ชัดเจนและมีเอกลักษณ์โดดเด่นอย่างในปัจจุบัน อ๊อยก็ล้มลุกคลุกคลานมาพักใหญ่ เพราะเดิมทีเธอไม่ได้มีความรู้ด้านการออกแบบแฟชั่น แต่เป็นกราฟิกดีไซเนอร์ที่รักในการแต่งตัว ออกแบบรองเท้าใส่เอง และลองเปิดร้านในอินสตาแกรมพร้อมๆ กับทำงานประจำ

“ตอนนั้นไดเรกชั่นคนละอย่างกับปัจจุบันเลย ใช้วัสดุเป็นหนังเหมือนกัน แต่ไม่มีคอลเลกชั่น อยากออกอะไรก็ออก คิดอะไรก็ไปสั่งทำ ได้มาก็ขาย เป็นแม่ค้า จนไปถึงจุดที่รู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ ถ้าแบรนด์มันต้องมีอะไรเยอะกว่านี้ แต่เราไม่รู้ว่าดีไซเนอร์จริงๆ คิดอย่างไร กระบวนการออกแบบเป็นอย่างไร”

เมื่อเกิดความค้างคาใจเช่นนั้น อ๊อยเลยตัดสินใจไปเรียนทำรองเท้าที่มิลานอย่างจริงจังตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึง 5 โมงเย็น เป็นเวลา 5 เดือน ซึ่งทำให้เธอได้เรียนรู้ทุกอย่างตั้งแต่พื้นฐาน ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ เมื่อเธอกลับมาจึงเปิด Oyster Footwear ขึ้นมาใหม่ แต่เป็นการทำควบคู่ไปกับงานประจำ เพราะกลัวว่าจะอยู่ไม่ได้หากออกมาทำแบรนด์รองเท้าอย่างจริงจัง

“ตอนนั้นโชคดีที่เปิดมาแค่เดือนเดียวก็มี buyer ที่เป็น distributor ที่จีนติดต่อมา ช่วงแรกเลยยังไม่ได้ขายที่ไทย แต่ไปเปิดตัว ทำมาร์เก็ตติ้งที่นั่น” อ๊อยบอก

แต่ความโชคดีก็มาพร้อมบทเรียนสำคัญ

“ตอนนั้นเรายังใหม่ ไม่เคยตั้งรับอะไรที่ต้องวางแพลน แล้วภายในเวลา 2 คืนก็มีออร์เดอร์เข้ามา 500 คู่เลย ตอนนั้นทำงานประจำไปด้วย ซวยแล้ว ช่างเราก็ไม่พอ เงินที่ได้มาก็ไม่เต็ม ต้องควักออกไปก่อนเพื่อทำสต็อก ทั้งค่าช่าง ค่าโรงงาน วัสดุทุกอย่าง 500 คู่คูณไปก็เป็นตัวเลขเกือบ 7 หลัก ต้องวางแพลน เอาเงินทั้งหมดที่มีมาลงทุน หมุนเงินยับ กินมาม่า” เธอเล่าถึงความท้าทายที่ต้องเจอด้วยรอยยิ้ม

“มันทำให้ได้เรียนรู้ว่าทุกอย่างต้องมีแพลน และได้เรียนรู้เองเยอะเลย แต่ก่อนธุรกิจเราไม่เคยทำ โปรแกรม excel ไม่เคยแตะ ทำแต่งานดีไซน์มาตลอดทั้งชีวิต ต้องค่อยๆ เรียนรู้ว่าต้องทำอะไร โชคดีที่ไม่โดนหลอก”

เมื่อได้รับรางวัล Best Leather goods Awards 2017 อ๊อยก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำและกระโดดมาทำแบรนด์เต็มตัว แต่หลังจากที่ทำการตลาดอยู่จีนได้สักพัก เธอก็เริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ผิดเพี้ยนจากความตั้งใจ จากที่ตั้งใจจะโฟกัสกับการออกแบบรองเท้า กลายเป็นอยู่กับการทำธุรกิจ และคนก็ไม่ได้รู้จักตัวตนของ Oyster Footwear หรือตัวคอลเลกชั่นจริงๆ แถมยังโดนพิษของสินค้าลอกเลียนแบบ เธอจึงกลับมาตั้งหลักที่ไทย

“เปิดที่ไทยประมาณเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เราเพิ่งเรียนรู้ว่าคนชอบอะไร เก็บฟีดแบ็กลูกค้า ทำรีเสิร์ชอยู่ ถือว่าเพิ่งเริ่มและน่าจะโอเค เพราะจากที่รีเสิร์ชแล้วมันไปได้” เธอว่า

ความตั้งใจของเธอในเวลานี้คือ เธอจะสร้างโปรไฟล์ของแบรนด์ให้แข็งแรง เป็นที่รู้จักผ่านการออกงาน เข้าร่วมงานประกวด ให้มีชื่อว่าเป็นแบรนด์ของไทยที่มาจากกรุงเทพฯ โดยวางระบบว่าที่ไทยจะเป็นโชว์รูมเพื่อให้เหล่า buyer จากต่างประเทศมาดู แล้วสั่งเป็นจำนวนมากเพื่อไปวางตาม selected shop ต่างๆ โดยตั้งใจจะไม่เปิดร้านใหญ่โต เพราะอยากโฟกัสกับงานออกแบบคอลเลกชั่น

สำหรับตัวโชว์รูมที่นี่เอง อ๊อยขยายความให้เราฟังเพิ่มเติมจากทีแรกว่าเหตุผลที่เธอบอกว่าไม่อยากขายขนาดนั้น คือเธอไม่ได้มองมันเป็นหน้าร้านทั่วไป แต่ตั้งใจจะทำให้ที่นี่ต่างจากป๊อปอัพตามห้างที่ไม่ใช่แค่ลองได้และซื้อกลับบ้านได้ แต่เป็นโชว์รูมของ Oyster ที่จะมอบประสบการณ์พิเศษในการทดลองและสวมใส่ให้กับผู้มาเยือน ค่อยๆ ดูแลลูกค้าที่เข้ามาอย่างใกล้ชิดมากกว่า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้โทรมานัดล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัวมอบประสบการณ์ได้เต็มที่

แต่เธอกระซิบเราว่าโชว์รูมที่นี่ยังไม่เสร็จดีนัก ใครอยากแวะมาหาก็อดใจรอสักหน่อย

ช่วงหลังสงกรานต์น่าจะได้เจอกัน

www.oysterfootwear.com

instagram: @oysterfootwear

facebook: Oyster Footwear

 

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

สรรพัชญ์ วัฒนสิงห์

ชีวิตต้องมีสีสัน