Music is Universal 2022 โชว์เคสจากศิลปิน 5 ประเทศในสิงคโปร์ ที่เชื่อว่าภาษาไม่ใช่กำแพงของการฟังดนตรี

ดนตรีเป็นภาษาสากล ดูเป็นคำที่ไม่เกินจริงเท่าไรนัก หลายครั้งที่เราพบว่าในเพลย์ลิสต์เพลงโปรดไม่ได้มีแค่เพลงที่ร้องภาษาแม่เท่านั้น แต่ยังมีภาษาอื่นที่แม้เราไม่เข้าใจแต่ก็สัมผัสได้ว่าชอบจากดนตรี จังหวะ เสียงร้อง หรือองค์ประกอบอื่นๆ ในเพลงนั้น

แม้ว่าเรามีโอกาสได้ฟังเพลงหลากหลายมากขึ้น แต่งานเพลงที่รวบรวมศิลปินหลากหลายประเทศ หลากหลายภาษายังมีไม่บ่อยนัก และด้วยความเชื่อว่าดนตรีเป็นภาษาสากลจึงทำให้งาน Music is Universal เกิดขึ้นได้

งานนี้จัดขึ้นเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ที่ประเทศสิงคโปร์ โดย Universal Music ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ที่ตอกย้ำความเชื่อว่าศิลปินใน South East Asia ก็มีศักยภาพมากพอไปอินเตอร์ได้ งานนี้ไม่ได้มีเพียงศิลปินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น ยังมีศิลปินจากฝั่งอังกฤษและอเมริกามาร่วมแสดงในงานนี้ด้วย

ความพิเศษของโชว์เคสนี้คือไลน์อัพเป็นศิลปินรุ่นใหม่มาแรง โดยมีเฮดไลน์หลักอย่าง Yungblud ศิลปินร็อกจากอังกฤษ พร้อมด้วยศิลปินอีก 4 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Hayd จากสหรัฐอเมริกา วี-วิโอเลต วอเทียร์ จากไทย Lullaboy จากสิงคโปร์ และ Zack Tabudlo จากฟิลิปปินส์

นอกจากบรรยากาศภายในงาน พร้อมทั้งไปรู้จักศิลปินจากภูมิภาคนี้กันให้มากขึ้นแล้ว ยังมีสัมภาษณ์พิเศษกับ วี-วิโอเลต วอเทียร์ สาวไทยหนึ่งเดียวบนเวทีนี้ และ Zack Tabudlo นักร้อง-นักแต่งเพลงจากฟิลิปปินส์ที่สามารถเข้าถึงคนฟังเกือบทั้งภูมิภาคด้วยภาษาบ้านเกิดของตัวเอง

ครั้งแรกของโชว์เคสจาก 5 ศิลปินคลื่นลูกใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ศิลปินที่ถูกเลือกมาในโชว์เคสครั้งนี้ คือตัวแทนศิลปินคลื่นลูกใหม่แต่ละประเทศที่การันตีความนิยมจากยอดสตรีมมิ่งบนแพลตฟอร์มต่างๆ ได้อย่างดี

โชว์เคสครั้งนี้เป็นครั้งแรกของศิลปินที่ได้มาแสดงอย่างเป็นทางการที่สิงคโปร์ โดยศิลปินทั้ง 5 จะได้มาเจอกันที่ Capitol Theatre โรงละครเก่าแก่ หนึ่งในแลนด์มาร์กที่สำคัญในสิงคโปร์ การเลือกประเทศสิงคโปร์เป็นสถานที่จัดงานยังเป็นตัวแทนของความหลากหลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สมกับธีมงาน 

ด้วยความหลากหลายของศิลปินจากหลายประเทศ งานนี้จึงมีเซอร์ไพรส์สำหรับแฟนๆ คือการฟังเพลงจากภาษาที่ไม่คุ้นเคยกันแบบสดๆ 

โชว์เคสนี้เริ่มต้นด้วย Hayd ศิลปินจากมิชิแกน สหรัฐอเมริกา เขาคือศิลปินที่เริ่มต้นการทำเพลงจากในห้องนอน ด้วยเนื้อร้องที่เขียนเองจากความรู้สึก บวกกับเครื่องดนตรีที่เขาถนัดที่สุดอย่างเปียโน จึงทำให้ได้เพลงเบาๆ สบายๆ ทั้งอบอุ่นขณะเดียวกันก็เจือไปด้วยความเหงาปนเศร้า

เขาที่เปิดตัวมาพร้อมกับเพลงฮิตอย่าง Head in the Cloud เรียกเสียงฮือจากทุกคนได้อย่างดี ก่อนเล่นเพลงถัดมาอย่าง Don’t Go, Don’t Leave, Changes ที่เซอร์ไพร์สแฟนๆ ด้วยการเล่นกีตาร์โปร่ง ก่อนจบด้วย What Did I Do? ชวนให้ทุกคนโบกมือไปตามจังหวะพร้อมเปิดแฟลชจากมือถือ เป็นการอุ่นเครื่องและต้อนรับศิลปินจากอีกซีกโลกได้อย่างน่าประทับใจ

จากนั้นบรรยากาศทั้งฮอลล์เริ่มเพิ่มจังหวะขึ้นด้วย Lullaboy ศิลปินลูกครึ่งสิงคโปร์-อินโดนีเซีย เขาโดดเด่นในแนวดนตรีป๊อปและอาร์แอนด์บี และเนื้อเพลงที่ให้ความรู้สึกของชายหนุ่มที่กำลังมองหาความรักและความหมายของชีวิต ด้วยเสน่ห์ที่มีอย่างเป็นธรรมชาติจึงทำให้เขาเป็นศิลปินที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคนหนึ่งในสิงคโปร์

Lullaboy เปิดตัวพร้อมเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนๆ ได้ด้วยเพลง Dejavu แฟนๆ โยกตามจังหวะไปกับเครื่องดนตรีเต็มวง ทั้งกลอง กีตาร์ไฟฟ้า และเบส ตามด้วย Shortcut to Heaven เพลงที่นำมาเล่นสดเป็นครั้งแรก และเพิ่งถูกปล่อยไม่นานนี้ ก่อนเพิ่มจังหวะร็อกด้วยเพลง Vangoh เพลงที่ยังไม่ถูกปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการที่ไหนมาก่อน ดนตรีจังหวะหนักยังคงเล่นอย่างต่อเนื่องกับเพลง Honest เพลงที่เขาได้ฟีเจอริ่งกับ GhostDragon โปรดิวเซอร์เพลงจากสิงคโปร์ ก่อนปิดโชว์ด้วยดนตรีจังหวะฟังสบายกับเพลง Someone Like You ที่สะท้อนมุมมองด้านความรักของเขาได้อย่างดี

ไม่ปล่อยให้แฟนๆ ได้พักนาน ก็มาถึงคิวของสาวไทย อย่าง วี-วิโอเลต วอเทียร์ มาพร้อมเสียงร้องนุ่มลึก พาทุกคนไปดื่มด่ำบรรยากาศราวกับอยู่ในความฝัน ชวนแฟนๆ สิงคโปร์โยกตัวตามจังหวะ ปล่อยจอยไปกับเสียงดนตรีแม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้มาโชว์เคสที่นี่ก็ตาม

ทันทีที่ดนตรีของเพลง Smoke ขึ้น ทั้งเสียงดนตรีอิเล็กทรอนิกและบรรยากาศที่มืดสลัวยิ่งพาให้ทุกคนอินไปกับเพลง ก่อนเปลี่ยนมู้ดเป็นจังหวะสนุกๆ ด้วย Cool, Brassac จากอัลบั้ม Glitter and Smoke และเซอร์ไพรส์ผู้ชมด้วยเพลง จินตนาการ ซิงเกิลภาษาไทยล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมา ต่อด้วย I’d Do It Again เพลงที่มักถูกเปิดบ่อยๆ ในสิงคโปร์จนแฟนๆ โยกตามได้ ก่อนปิดท้ายด้วย ถ้าเธอ เพลงประกอบภาพยนตร์ ‘One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ’ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่แฟนๆ สิงคโปร์ได้เจอกับวีหลังจากฟังเพลงและรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เธอแสดงด้วย

มาถึง Zack Tabudlo หนุ่มวัย 20 จากฟิลิปปินส์ ที่โดดเด่นทางด้านดนตรีและการเขียนเพลงจากมุมมองความรักอย่างเปิดเผยตามแบบฉบับของเด็กวัยรุ่น พร้อมดนตรีฟังง่ายติดหู จึงทำให้เขากลายเป็นศิลปินที่มียอดสตรีมถล่มทลาย ทั้งเพลงภาษาอังกฤษและภาษาฟิลิปปินส์

ทันทีเพลงจังหวะสนุกๆ อย่าง Elizabeth ดังขึ้นก็เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนๆ ได้ทั้งฮอลล์ แม้จะมีเพียงกีตาร์ไฟฟ้าตัวเดียว ก่อนเซอร์ไพรส์แฟนๆ กลางเวทีด้วยเพลงใหม่ Take Me Back และ Yonnyboii แร็ปเปอร์จากมาเลเซียมาร่วมร้องด้วย ตามด้วยจังหวะเพลงช้าอย่าง First and Last, Binibini และ Forever Young เพลงที่ได้ฟีเจอริ่งกับศิลปินไทยอย่าง บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล ก่อนเร่งจังหวะด้วยเพลงร็อกอย่าง High เพื่อส่งไม้ต่อความร้อนแรงบนเวทีให้กับโชว์ของศิลปินคนสุดท้ายที่แฟนๆ ตั้งตารอคอย

เวทีจะเริ่มร้อนถึงขีดสุดเมื่อ Yungblud กระโดดขึ้นมาบนเวทีด้วยเอเนอจี้ล้นเหลือ เขาคือศิลปินร็อกสตาร์เจนใหม่จากอังกฤษที่น่าจับตามอง ด้วยการนำเอาดนตรีแบบพังก์-ร็อก เข้ามาผสมกับฮิปฮอปและป๊อป จนได้แนวดนตรีจังหวะแปลกใหม่ ทั้งสนุกและหนักหน่วงในเวลาเดียวกัน มาพร้อมกับสไตล์ที่จัดจ้านทำให้เวทีลุกเป็นไฟได้ทันทีที่เขาเริ่มแสดง

เปิดตัวด้วยเพลงในอัลบั้มล่าสุดในชื่อของตัวเขาเองอย่าง ‘YUNGBLUD’ ด้วยเพลง The Funeral, Parent ตามด้วยเพลงดังอย่าง Tissues, Mad, I Cry 2, Don’t Go Sex Not Violence, Fleabag ชวนแฟนๆ มากระโดดด้วยกันอย่างสุดเหวี่ยง พร้อมชวนมาตะโกนร้องท่อนคอรัสอย่างต่อเนื่องตลอด 45 นาทีบนโชว์ของเขา ก่อนปล่อยพลังทั้งหมดไปกับเพลงสุดท้าย อย่าง Strawberry Lipstick มันถึงขีดสุด ปิดโชว์เคสที่น่าจดจำอีกคืนหนึ่งของแฟนๆ ที่มารวมตัวกันในค่ำคืนนี้

สัมภาษณ์พิเศษ วี-วิโอเลต วอเทียร์: การเดินทางจาก Glitter and Smoke ถึงอัลบั้มใหม่ฉบับภาษาไทย

ก่อนขึ้นแสดงโชว์เคสเราชวน วี-วิโอเลต สาวไทยเพียงหนึ่งเดียวบนเวทีนี้ มาพูดคุยถึงความรู้สึกและความคาดหวังต่อการแสดงโชว์เคสอย่างเป็นทางการครั้งแรกในสิงคโปร์ พร้อมอัพเดตเกี่ยวอัลบั้มใหม่ล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมาเร็วๆ นี้ กันแบบสั้นๆ 

วีเล่าย้อนกลับไปถึงการทำอัลบั้มภาษาอังกฤษอย่าง Glitter and Smoke ว่าแม้จะเป็นอัลบั้มที่เธอภูมิใจ เพราะเพลงทั้งหมดเต็มไปด้วยเรื่องราวและตัวตนในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งช่วยปลดล็อกความรู้สึกของเธอออกมา แต่น่าเสียดายที่เกิดสถานการณ์โควิดจึงทำให้ไม่ได้มีโอกาสโปรโมตเท่าที่ควร จนเวลาล่วงเลยมาถึง 2 ปี เธอจึงตัดสินใจกลับมาทำอัลบั้มใหม่อีกครั้ง ซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายแตกต่างไปจากอัลบั้มที่แล้ว พร้อมทั้งตัดสินใจเขียนเพลงด้วยภาษาไทยแบบที่เธอไม่เคยลองทำมาก่อน

“วีรู้สึกว่าวีมีอิสระในการเขียนเพลงภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทย แบบภาษาไทยมันเป็นขอบเขตใหม่ของเราเหมือนกันที่ต้องเรียนรู้ เราหันกลับมามองว่า ที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรตามใจเรามากๆ ไปแล้ว อย่างเพลงภาษาอังกฤษอย่างไม่มี compromise กับใครเลย แล้วถ้าเกิดเรามาหันมาสนใจเพลงไทยบ้างล่ะ เพราะเรารู้สึกว่า หลายๆ คนที่ร้องได้ แต่หลายๆ คนก็ไม่ได้ร้องได้ขนาดนั้น เราก็เลยรู้สึกว่าถึงเวลาที่เราจะ reconnect กับแฟนๆ ชาวไทยเหมือนกัน ก็เลยทำเป็นภาษาไทยขึ้นมา

พอเราทำมาก็สนุกเหมือนกันนะ มันแปลกดี คอนเซปต์ที่เราวางไว้ โจทย์ต่างๆ ที่เราวางไว้ให้ตัวเอง ก็ทำให้เราได้สำรวจ ได้ฝึกทำอะไรใหม่ๆ เราก็รู้สึกว่าพอเราเป็นลูกครึ่งถ้าจะสลับภาษาไปมาก็ไม่ผิดมั้ง คือเราไม่รู้ว่าคนจะมองยังไง แต่สุดท้ายแล้วเราทำที่เรามีความสุขแล้วกัน ก็เป็นเพลงไทยแล้วก็ไปทำเพลงอังกฤษต่อ สับไปสับมาเป็นลูกครึ่งเต็มตัว”

แม้ก่อนหน้านี้เธอจะเคยกังวลว่าเพลงภาษาอังกฤษจากอัลบั้ม Glitter and Smoke อาจทำให้ไปถึงแฟนๆ ชาวไทยได้น้อยลง แต่ในอีกด้านความเป็นภาษาสากลก็ช่วยทำให้เพลงของเธอถูกเปิดไปได้ไกลกว่าที่คิด หนึ่งในนั้นคือสิงคโปร์ที่มักถูกเปิดซ้ำๆ ในคลื่นวิทยุจนทำให้เธออดตื่นเต้นไม่ได้ การมาครั้งนี้จึงเหมือนเป็นโอกาสดีที่เธอจะได้มาทำความรู้จักแฟนๆ ชาวสิงคโปร์ให้มากขึ้นอีกนิด 

“รู้สึกดีใจ แล้วก็รู้สึกเสียใจในเวลาเดียวกัน เพราะเรารู้สึกว่าทำไมเราไม่มีโอกาสได้บินมาโปรโมตนะ เพราะด้วยโควิดทำให้เรา push ยากนิดนึง ไม่รู้เหมือนกันนะว่าจริงๆ แล้วตลาดที่นี่เป็นยังไงกันแน่ โอเคเรารู้ว่าบนคลื่นวิทยุมันถูกเล่นเยอะมากๆ มีคนบอกว่าแท็กซี่ร้องได้แน่นอน แต่ว่าท้ายที่สุดเราก็ไม่รู้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“ครั้งนี้เป็นครั้งที่ได้มาแสดงหลังจากอัลบั้ม Glitter and Smoke ก็เลยตื่นเต้นมากๆ เหมือนกันที่อัลบั้มนี้มันยังมีชีวิตอยู่ ก็รู้สึกดีเหมือนกันที่ได้เอาหน้ามาใส่กับเพลง คนอาจจะรู้จักเพลงแต่ไม่รู้จักหน้าเรา” วีเล่า

ก่อนหน้านี้เราอาจจะเห็นวีในหลากหลายบทบาท ไม่ว่าจะเป็นนักร้อง นักแสดง หรือแม้แต่นางแบบบนนิตยสาร แต่ครั้งนี้เธอยืนยันว่าสิ่งที่กำลังโฟกัสอยู่ตอนนี้คือการทำงานในเส้นทางดนตรี และยังรอคอยให้แฟนๆ ติดตามผลงานเพลงในด้านใหม่ๆ ของเธอต่อไป

“ตอนนี้วีชัดเจนมากว่าจะเลือกงานดนตรีเป็นหลัก และงานแสดงเป็นรอง เพราะฉะนั้นวีจะรู้สึกว่างานแสดงไหนที่วีจะเล่น บทต้องใช่และซื้อใจเราได้ ถ้าเกิดว่าเราจะต้องเอาเวลาหลายเดือนของเราไปอยู่ในกองที่เราไปทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลย เราต้อง make sure ว่าเราจะชอบงานนั้นจริงๆ แต่เวลาส่วนใหญ่ของเราตอนนี้ก็จะไปอยู่กับดนตรี เล่นคอนเสิร์ต ทำเพลง และเข้าสตูดิโอมากกว่า”

ขณะเดียวกันโชว์เคสครั้งนี้ยังเป็นโอกาสให้เธอได้ร่วมแสดงกับศิลปินอีก 4 ประเทศ จึงทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้น และพยายามสนุกเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์นี้ไปให้มากที่สุด

“การแสดงวันนี้เราก็ทำเต็มที่ของเรา เอนจอยไปกับมัน หลักๆ วีรู้สึกว่าเราไม่ได้มีโอกาสแบบนี้บ่อยๆ เพราะฉะนั้นเราจะไปสนุกกับ experience นี้ ถ้าเรามัวแต่ไปทุกข์ กดดันมันอาจจะไม่ได้เข้าไปอยู่ในโมเมนต์ดีๆ ของเรา ก็เลยถือว่ามาเล่นๆ สนุกกันกับเพื่อนๆ” วีทิ้งท้าย

สัมภาษณ์พิเศษ Zack Tabudlo: ศิลปินเจนใหม่จากฟิลิปปินส์ที่เปี่ยมไปด้วยแพสชั่นเสียงดนตรี

ครั้งแรกที่เราได้ฟังเพลง Binibini หนึ่งในเพลงที่ประสบความสำเร็จของแซค ทาบุโดโล (Zack Tabudlo) แทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือเพลงจากเด็กวัย 20 ปี ด้วยดนตรีที่ติดหู และเสียงร้องที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจึงไม่แปลกที่จะได้รับความนิยมไปทั่วเกือบทั้งภูมิภาคนี้

จากนั้นก็ลองฟังเพลงอื่นๆ อีก 2-3 เพลง ไม่ว่าจะเป็น Pero, Asan Ka Na Ba, Nangangamba ก็พบว่าเรากลายเป็นแฟนเพลงของแซคไปเรียบร้อย แม้ว่าเพลงเหล่านั้นจะเป็นภาษาฟิลิปปินส์ก็ตาม

แซค ทาบุโดโล คือศิลปินที่อยู่ในสายตาของชาวฟิลิปปินโน่ ตั้งแต่อายุ 12 จากการประกวดในรายการ The Voice Kids Philippines และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงด้านการแต่งเพลงและทำเพลงเองที่คนในวงการหลายคนจับตามอง ล่าสุดเขาเริ่มเป็นที่รู้จักในไทยจากการร่วมงานเพลงกับ บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล ในเพลง ‘Give Me Your Forever’ เมื่อเดือนมกราคม ต้นปีที่ผ่านมา

เขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่ขึ้นมาแสดงในงาน Music is Universal เราจึงไม่พลาดที่จะชวนเขามาพูดคุยถึงเบื้องหลังการทำเพลงและการเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงในวัยนี้กัน

แซค เล่าให้เราฟังถึงเบื้องหลังการแต่งเพลงที่ทำให้โดนใจใครหลายคนว่า “เรื่องที่ผมอยากเล่าส่วนใหญ่ในเพลง พูดตรงๆ ก็ขึ้นอยู่กับคนฟังด้วยเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ก็จะแต่งจากความรู้สึก และประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้ไปเจอสิ่งต่างๆ ในชีวิต ผมก็เขียนมันลงไป ทำเพลงจากสิ่งเหล่านั้น แทนที่จะระเบิดอารมณ์หรือร้องไห้กับมัน ผมมักจะเขียนสิ่งเหล่านั้นลงไป เป็นวิธีที่ผมดีลกับอารมณ์พวกนี้

“ผมไม่ได้มีมุมมองที่โตขึ้นเท่าไหร่พอเป็นเรื่องของความรัก (หัวเราะ) ผมเป็นคนรักประเภทโรแมนติก และมักจะมองข้ามเรื่องอื่นๆ ไปเลย จริงๆ ก็ไม่ค่อยชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เท่าไหร่ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมเป็นผมทุกวันนี้ ตราบใดที่ยังชอบตัวเองอยู่มันก็โอเคแล้ว แต่ผมก็โตพอที่จะไม่ตกหลุมรักใครง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมา มันก็เป็นกระบวนการหนึ่งแหละ ก็แค่เอนจอยไปกับมัน”

เขาเล่าถึงประสบการณ์การเป็นศิลปินในวัย 20 ว่าแม้จะมีตารางงานที่แน่นตลอดทั้งวัน หรือการต้องคอยรักษาภาพลักษณ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาต้องพยายามจัดการและบาลานซ์ชีวิตส่วนตัว แต่เพราะการได้ทำเพลงที่เขารักจึงเป็นสิ่งที่เขารู้สึกขอบคุณโอกาสนี้มากกว่า ขณะเดียวกันก็พยายามทำเพลงด้วยความรู้สึกใหม่ๆ เพื่อแฟนๆ ที่ติดตามเขามาตลอดด้วย

“ผมรู้สึกแปลกๆ ที่จะบอกว่าตัวเองมีชื่อเสียงเหมือนกัน แต่สำหรับผมที่เป็นคนทำเพลงด้วยตัวเองแล้ว ส่วนที่ยากที่สุดในการเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงวัยนี้และต้องหาวิธีรับมือกับมันคือ การสัมภาษณ์ การไปถ่ายมิวสิกวิดีโอข้างนอก และการทำงานในตารางที่แน่นในทุกๆ วัน แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ยังสามารถเอนจอยไปกับมันได้ พอได้ทำสิ่งเดิมๆ ทุกวัน มันจะทำให้เกิดโฟลว์ขึ้นมาเอง ผมรู้สึกขอบคุณทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ผมไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าจะได้มาแสดงโชว์เคสแบบนี้ที่สิงคโปร์

“มีสิ่งที่ผมอยากลองทำที่อยู่ระหว่างการทำอัลบั้มตอนนี้ มันจะเป็น big surprise ไม่ใช่สิ่งที่ใครหลายคนคาดหวัง ไม่แน่ใจว่าคนจะสนใจกับดนตรีแนวนี้มั้ย แต่มันค่อนข้างแตกต่างจากสิ่งที่ผมทำอยู่ หลักๆ เลยมันจะพูดถึงความคิดที่อยู่ในหัวตัวเอง นั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากทำ เพราะผมโตมากับดนตรีที่หลากหลายมาก มันจะเป็นแซคที่แตกต่างไปจากเดิม และรู้สึกว่าคนอื่นๆ น่าจะเซอร์ไพรส์ น่ากลัวนิดนึง แต่ก็ตื่นเต้นกับรีแอ็กชั่นเหมือนกัน” แซคกล่าว

หากจะมีศิลปินคนไหนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยากแนะนำให้คุณรู้จัก แซค ทาบุโดโล น่าจะเป็นชื่อแรกๆ ที่นึกถึง ในการเป็นศิลปินที่สามารถทลายกำแพงภาษาและชวนให้ทุกคนสนุกไปกับดนตรีได้อย่างแท้จริง

AUTHOR