Breathe : การค้นหาความหมายของการมีชีวิตผ่านลมหายใจที่ยังเหลืออยู่

Director : Andy Serkis
Genre : Biography/Drama
Region :England

คงไม่น่าแปลกใจนักที่นักแสดงจะผันตัวมาเป็นผู้กำกับ แต่ถ้าเราบอกว่านักแสดงที่เล่นเป็นกอลั่มใน The Lord of The Rings หรือเจ้าลิงซีซาร์ ใน Planet of the Ape ผันตัวมาเป็นผู้กำกับหนังดราม่าซะด้วย คุณจะแปลกใจมั้ย

Breathe เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของแอนดี้ เซอร์กิส (Andy Serkis) นักแสดง motion capture ที่เราขอเรียกสั้นๆว่า mo-cap ซึ่งก็คือเทคนิคการแสดงที่ใช้คนจริงๆ ติดเซ็นเซอร์ตามจุดต่างๆ ในร่างกาย เพื่อให้การเคลื่อนไหวของตัวละครในภาพยนตร์ที่เป็นคอมพิวเตอร์กราฟิกนั้นเคลื่อนไหวได้อย่างสมจริงและเป็นธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งสำหรับเรา การที่เขาหันหน้ามากำกับหนังดราม่าก็ค่อนข้างเซอร์ไพรส์อยู่นะ

Breathe สร้างจากเรื่องจริงของหนุ่มนักผจญภัยรูปงามที่มีชื่อว่าโรบิน คาเวนดิช (Robin Cavendish) แสดงโดยแอนดรูว การ์ฟิวด์ (Andrew garfield) ผู้ซึ่งได้พบรักกับสาวสวยนามว่าไดอาน่า (Diana) แสดงโดยแคลร์ ฟอย (Claire Foy) ทั้งคู่ได้แต่งงานกันและย้ายไปใช้ชีวิตที่ประเทศเคนยา เนื่องจากโรบินทำงานเป็นนายหน้าค้าชาอยู่ที่นั่น ระหว่างนั้นทั้งคู่ก็ได้ใช้ชีวิตกันอย่างเต็มที่และสนุกสนาน โรบินได้รับข่าวดีจากไดอาน่าว่าเธอกำลังตั้งท้อง แต่ภายในเวลาไม่นานนักเรื่องร้ายก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ๆ โรบินก็ไม่สามารถขยับแขนขาได้เอง หมอบอกว่าเขาติดเชื้อโปลิโอซึ่งลุกลามไปยังไขสันหลังอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้โรบินเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงคอลงไป อาการป่วยจากโรคโปลิโอทำให้เขารู้สึกสมเพชตัวเองและไม่อยากเป็นภาระให้ไดอาน่าที่ยังสาวและสวยต้องดูแลเขาไปตลอดชีวิต เขาจึงขอให้เธอฆ่าเขาให้ตาย แต่ไดอาน่าไม่ยอมและจะขอดูแลโรบินเอง บททดสอบความรักและการค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่จึงได้เริ่มต้นขึ้น

พล็อตหนังที่ว่ามาอาจจะดูน่าเบื่อจนเหมือนไม่มีอะไรให้ดู แต่เอาเข้าจริงแล้วตลอดเวลาที่ได้ชมหนัง 2 ชั่วโมง กลับมีอะไรมากกว่านั้น ในขณะที่ผู้คนในสมัยนั้นคิดว่า ผู้ป่วยอัมพาตแทบจะทั้งตัวแบบนี้คงทำได้แค่นอนเป็นผักบนเตียงรอวันตาย แต่ไดอาน่าไม่คิดอย่างนั้น เธอฝืนนำตัวโรบินออกมาจากโรงพยาบาลทั้งๆ ที่โดนทัดทานด้วยคำพูดของใครหลายคนที่ว่า “ออกไปก็ไม่รอดหรอก” และโรบินยังได้ขอให้เพื่อนสนิทของเขาเท็ดดี้ ฮอลล์ Teddy Hall แสดงโดยฮิว บอนเนวิลล์ (Hugh Bonneville) ที่เป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดช่วยประดิษฐ์รถเข็นติดเครื่องช่วยหายใจในตัว เพื่อที่จะสามารถออกไปนอกบ้านได้ ซึ่งการมีรถเข็นนี้ก็ได้เปลี่ยนชีวิตของโรบินและผู้ป่วยอัมพาตอีกหลายแสนคนไปตลอดกาล

การเปิดเรื่องของหนังเป็นไปอย่างรวดเร็วและกระชับ เป็นการเล่าเรื่องที่เข้าใจง่าย ประมาณว่าเจอหน้ากัน กลายเป็นรักแรกพบ เดทกันและแต่งงานอยู่ด้วยกันเลย ซึ่งสเต็ปการเปิดเรื่องอย่างรวดเร็วนี้มีข้อดีคือเราจะได้เห็นชีวิตในส่วนที่คนเขียนบทและผู้กำกับต้องการจะถ่ายทอดจริงๆ หลังจากที่โรบินเป็นอัมพาต ตัวหนังก็เปลี่ยนไปเดินเรื่องแบบ coming of age พอดราม่า ในความดราม่าก็มีความสดใสและเรียกเสียงหัวเราะให้เราได้พอประมาณทีเดียว

ในส่วนของการแสดงนั้น แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ทำได้ดีกับบทคนพิการตั้งแต่คอลงไป ท่าทาง การเคลื่อนไหวที่ดูผิดปกติ แต่ก็เป็นธรรมชาติซึ่งทำได้ดีไม่แพ้เอ็ดดี้ เรดเมย์น (Eddie Redmayne) จาก The Theory of Everything เลยทีเดียวล่ะ ส่วนแคลร์ ฟอย ที่รับบทเป็นไดอาน่าก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน เราคิดว่ามันเป็นการแสดงที่น้อยแต่มาก โดยเฉพาะในฉากที่เธอรู้ว่าโรบินเป็นอัมพาตนั้นกินใจเราอย่างยิ่ง มันเป็นสีหน้าที่เจ็บปวดแต่ไม่ฟูมฟายออกมาให้ใครเห็น

โจนาทาน คาเวนดิช (Jonathan Cavendish) ซึ่งเป็นลูกชายของโรบินและไดอาน่า ก็เป็นโปรดิวเซอร์ให้หนังหลายๆ Bridget Jone’s Diary ก็เป็นผลงานการโปรดิวซ์ของเขาเอง รวมถึงเรื่องนี้ด้วย ซึ่งเขาตั้งใจทำเรื่องนี้เพื่ออุทิศให้พ่อกับแม่ของเขาเอง

ถ้าถามเราว่า ความหมายของการมีชีวิตอยู่คืออะไร เราคงตอบว่าการมีชีวิตอยู่เพื่อเห็นคนที่เรารักเติบโตไปด้วยกัน การได้รู้จักแบ่งปันความสุขและความทุกข์ ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ไปเรื่อยๆ เราว่ามันก็เพียงพอแล้วที่เราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ

แล้วคุณล่ะ ความหมายของการมีชีวิตอยู่สำหรับคุณคืออะไร?

AUTHOR