Director: จิระ มะลิกุล, นิธิวัฒน์ ธราธร, ชยนพ บุญประกอบ และเกรียงไกร วชิรธรรมพร
Region: ไทย
Genre: Romance / Drama / Comedy
เราคุ้นเคยกับเพลงพระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่
9
กันมากน้อยแค่ไหน นี่อาจเป็นคำถามตั้งต้นของค่ายหนัง
GDH ที่อยากหยิบยกเอา 3 บทเพลงฮิตที่คนไทยได้ยินได้ฟังกันตั้งแต่เด็กมาเรียงร้อยเป็นเรื่องราวโรแมนติกคอเมดี้
3 ตอน ในภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่ตั้งใจจะมอบดนตรีเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย
พรจากฟ้า โปรเจกต์ที่รวมพลังของ 4 ผู้กำกับหลากหลายสไตล์
คือ จิระ มะลิกุล, นิธิวัฒน์ ธราธร, ชยนพ
บุญประกอบ และเกรียงไกร วชิรธรรมพร มาร่วมกันทำงานในเวลาที่สั้นที่สุดเพียงหนึ่งปี
พรจากฟ้า เล่าเรื่องราวช่วงวันสิ้นปีของ
3
ปีต่อเนื่องผ่านตัวละครหลายวัยที่ทั้งหมดเชื่อมโยงกันด้วยความสัมพันธ์บางอย่าง
และหยิบเอาเพลงพระราชนิพนธ์เข้ามาใส่ในเรื่องได้อย่างไม่เคอะเขิน
ด้วยความตั้งใจของผู้กำกับและทีมงานที่อยากให้เพลงพระราชนิพนธ์เป็นหัวใจหลักของเรื่องจริงๆ
ในแง่เนื้อหามีทั้งกุ๊กกิ๊กวัยหวาน เรื่องของครอบครัวที่ต้องข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก
และเรื่องของกลุ่มพนักงานออฟฟิศ
ที่ทำให้ตัวหนังสามารถดูได้ทุกเพศทุกวัยแม้จะเคยคุ้นกับเพลงพระราชนิพนธ์มากน้อยต่างกัน
แต่ละตอนมีจุดเด่น
จุดด้อย และประเด็นที่เราอยากพูดถึงต่างกันไป เลยขอเล่าเป็นตอนๆ อ่านกันสะดวกนะ
ยามเย็น
(กำกับโดย ชยนพ บุญประกอบ และเกรียงไกร วชิรธรรมพร)
เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงเมจิกโมเมนต์สั้นๆ
ระหว่างแป้ง (วิโอเลต วอเทียร์) นักร้องประสานเสียง กับ บีม (ณภัทร เสียงสมบุญ) นักเรียนทุนที่กำลังจะไปเรียนต่อที่ประเทศรัสเซีย
ซึ่งจับพลัดจับผลูโดนเรียกให้มาเป็นสแตนด์อินของท่านทูตและภริยาท่านทูตในงานพิธีมอบทุนการศึกษาคืนนี้
บทสนทนา
ความน่ารักของการรู้จักกันแค่เพียงถึงยามเย็นของทั้งสองคนนั้นจะลงเอยอย่างไรต้องไปลุ้นกันต่อ
สิ่งที่เราชอบมากในตอนนี้ไม่ใช่แค่ความสวยหล่อของสองนักแสดงนำที่ดึงดูดใจ
แต่เป็นการเรียบเรียงเพลง ยามเย็น ซึ่งเราเคยได้ฟังกันบ่อยๆ
ในจังหวะใหม่ประกอบกับการแสดงบอดี้เพอร์คัสชัน
เป็นครั้งแรกที่เราเพิ่งได้ฟังเนื้อร้องของเพลงอย่างจริงจัง
เมื่อประกอบกับเสียงร้องเย็นๆ ของวี วิโอเลต
และการจัดวางเพลงลงจังหวะของเรื่องที่พอเหมาะพอเจาะ ทำให้เรายกตำแหน่งซีนประทับใจของหนังให้กับเรื่องนี้ไปเลย
แม้จะแอบติดๆ
กับคาแรกเตอร์ของพระเอกนางเอกที่แปร่งๆ ไปบ้าง
แต่ด้วยเคมีที่เข้ากันดีของนายและวีก็ทำให้เราเชื่อได้ว่าสองคนนี้ต้องปะทะคารมกันด้วยบทสนทนาประมาณนี้นี่แหละ
Still on My Mind (กำกับโดย นิธิวัฒน์ ธราธร)
มิว-นิษฐา จิรยั่งยืน กลับมาสร้างความประทับใจให้เราอีกครั้งในบทของ ฟา
สาวเก่งที่ลาออกจากงานกลับมาดูแลลุงป้อม
คุณพ่อที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์และยังติดกับภาพทรงจำว่าภรรยาของตัวเองยังมีชีวิตอยู่
โดยมี เอ (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ช่างจูนเปียโนคนสนิทของครอบครัวเข้ามาเป็นตัวช่วยให้ฟาผ่านพ้นเรื่องราวนี้ไปได้
จะบอกว่านี่เป็นตอนที่มีเนื้อหาเรียกน้ำตามากที่สุดก็ว่าได้
เพราะหนังค่อนข้างเล่นประเด็นจริงจัง อาศัยพลังของนักแสดงมากกว่าเรื่องอื่นๆ
แต่ถึงอย่างนั้น หนังก็ดึงความทะเล้นของซันนี่เข้ามาช่วยสร้างสีสันได้ไม่น้อย
มีฉากให้เราได้อมยิ้ม และประทับใจเมื่อได้เห็นรอยยิ้มสดใสของมิว นิษฐา
ยิ่งในฉากที่มิวเล่นเปียโนเพลง Still on My Mind ในสวนก็ถือเป็นซีนที่หลายคนน่าจะเทใจให้เลย
ที่สำคัญ น่าจะทำให้คนดูรุ่นเราๆ หันกลับมามองคนสำคัญในครอบครัวได้ชัดเจนขึ้น
ไม่ว่าจะเจอเรื่องราวที่ใกล้เคียงกับตัวละครหรือไม่ก็ตาม
พรปีใหม่
(กำกับโดย จิระ มะลิกุล)
เรื่องของหลง
(ฉันทวิชช์ ธนะเสวี) อดีตนักดนตรีร็อกที่ไม่ประสบความสำเร็จ
เลยผันตัวมาเป็นพนักงานวิเคราะห์การเงิน และได้เจอกับ คิม (หนึ่งธิดา
โสภณ) พร้อมกับเพื่อนๆ ลุงป้าน้าอาพนักงานต่างวัยที่รวมตัวกันแอบซ้อมดนตรีในห้องเล็กๆ
ของออฟฟิศ เพื่อระลึกถึงป้าฟ้า อดีตพนักงานคนหนึ่งซึ่งรักดนตรีมากและเสียชีวิตไป
ผลงานของจิระครั้งนี้นับว่าสร้างเซอร์ไพรส์ให้เราไม่น้อย
เพราะนึกไม่ถึงว่าเขาจะใส่มุกตลกที่เราคาดไม่ถึงไว้ในหนังเยอะขนาดนี้ (หลายมุกอาศัยความกล้าเล่นไม่น้อย แต่โดยรวมเราชอบนะ) แม้หนังจะมีช่องโหว่ใหญ่ๆ
อยู่ตรงความไม่สมจริงนักของเรื่องราวการรวมตัวกันเล่นดนตรีของพนักงานออฟฟิศธรรมดาๆ
แต่ถ้ามองข้ามมันไป ภาพความทุ่มเท ความสนุก
เสียงหัวเราะระหว่างที่พวกเขาตั้งใจกันเล่นเครื่องดนตรีแต่ละชนิดในหนังก็ปลุกไฟในตัวเราให้อยากเคาะสนิมทักษะการอ่านโน้ตดนตรีอยู่เหมือนกัน
ซึ่งถ้าหนังไม่สามารถเล่าได้ว่าการเล่นดนตรีเป็นเรื่องง่ายๆ
ที่ใครทุกคนก็ทำได้และมีความสุขขนาดไหน คนดูก็คงไม่ได้รับพลังเหล่านี้กลับไปแน่นอน
โดยภาพรวม
เราคิดว่า
พรจากฟ้า คืนความเป็นหนังฟีลกู้ดในสไตล์ GDH กลับมาได้อย่างท็อปฟอร์มไม่น้อย
ตัวหนังทั้งเรื่องดูสนุกและเพลิดเพลินโดยไม่มีเบื่อ
มีตัวละครที่เราหลงรักหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความพยายามทุ่มเทของพวกเขา
มีเรื่องราวสนุกๆ ให้คอยลุ้นเอาใจช่วยไม่ห่าง และมีบทสรุปที่เรียบง่ายแต่สวยงาม
ดูจบแล้วเดินยิ้มออกจากโรงภาพยนตร์กลับไปด้วยความสุข
ไม่มากไม่น้อย
บทเพลงพระราชนิพนธ์แสนไพเราะที่เราได้ยินในหนังก็คล้ายจะบอกเราว่าในยามที่บ้านเมืองเพิ่งผ่านเหตุการณ์ความสูญเสียครั้งใหญ่
ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะหมดกำลังใจและไม่มีที่ยึดเหนี่ยว รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ
หรือถ้าใครจะแอบมีน้ำตาซึมเล็กๆ ระหว่างที่นั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์
เป็นข้อยืนยันว่าสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทำไว้
จะยังอยู่กับคนไทย
เหมือนที่ทุกๆ
วันปีใหม่ต่อจากนี้ เราจะยังได้ยินเสียงเพลง พรปีใหม่ กันเหมือนเคย
พรจากฟ้า เข้าฉายทุกเครือโรงภาพยนตร์วันที่ 1 ธันวาคมนี้ ราคาบัตร 99 บาททุกที่นั่งและรายได้ส่วนหนึ่งจะนำไปสมทบมูลนิธิชัยพัฒนาเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล