ความทรมานที่ไร้ฝันในชีวิต สู่การเกิดประกายไฟแห่งความหวังของ ‘The Jum’ ณภัทร จงจิตตโพธา

ภาวะหมดไฟ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความรู้สึกหดหู่ เบื่อหน่ายในการทำงานเท่านั้น แต่มันลามไปถึงการใช้ชีวิตในด้านต่างๆ และกัดกินสุขภาพร่างกายของเราให้เสื่อมโทรมลงไปโดยไม่รู้ตัวด้วย ซึ่งความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากนี้เคยเกิดขึ้นกับ  The Jum หรือ ณภัทร จงจิตตโพธา ศิลปิน Pop Art รุ่นใหม่ ที่กำลังได้รับการจับตามองจากคนในแวดวงดิจิทัลอาร์ตตอนนี้ด้วย โดยเขาสร้างชื่อจากคาแรกเตอร์ตัว ‘น้องไฟ’ ที่โด่งดังอย่างมากในตลาดงานศิลปะ NFT และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่อีกมากมายที่อยากประสบความสำเร็จในงานศิลปะดิจิตอลแบบเขา 

แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ The Jum ต้องฝ่าฟันกับความรู้สึกของตัวเองอย่างหนักหน่วง นั่นคือความรู้สึกหมดใจในการทำงานศิลปะ และเคยหันไปใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานไปแบบวันต่อวัน ที่ยิ่งทำให้เขารู้สึกท้อแท้จนถึงขั้นสูญสิ้นความฝันของตัวเอง 

หลังจากเดินหลงทางอยู่ในความืดมนจนเกือบถอดใจ สุดท้ายเขาก็ค้นพบแสงสว่างเล็กๆ ที่ปลายอุโมงค์และก่อให้เกิดประกายไฟในตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง ที่ทำให้เขาสร้างตัวคาแรกเตอร์ ‘น้องไฟ’ ขึ้นมาเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ในการบอกกับตัวเองว่าต่อไปนี้เขาจะลุกขึ้นลุยกับงานศิลปะอีกครั้ง และจะต้องประสบความpppสำเร็จให้ได้ 

เราขอชวนคุณไปค้นหาว่าอะไรที่ทำให้เขาสามารถจุดไฟในตัวให้กลับมาลุกโชนขึ้นได้อีกครั้ง

งานศิลปะชุด Fire Friend Town ของคุณครั้งนี้ มีความเชื่อมโยงกับผู้คนในย่านลาดพร้าวด้วยไหม

ความเกี่ยวข้องน่าจะเป็นส่วนของพื้นที่ซึ่งงานของผมได้รับเชิญให้มาจัดแสดงที่ Metro Art ภายในสถานีรถไฟฟ้า MRT พหลโยธิน ซึ่งเปิดโอกาสให้ทั้งตัวผมและผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้มีโอกาสพบปะเจอกัน และทำให้งานศิลปะได้ออกมาเจอผู้คนมากขึ้น จากเดิมที่เราต้องไปดูงานศิลปะที่แกลเลอรี การมี Art Space ที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของคนก็สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้เกิดได้ง่ายขึ้นด้วย ซึ่งผมก็หวังว่าคนทั่วไปจะตอบรับพื้นที่ตรงนี้ด้วย

ตัวคาแรคเตอร์ ‘น้องไฟ’ ของคุณ ถูกจุดประกายขึ้นมาจากอะไร

จากการที่ผมเคยเป็นคนที่หมดไฟไปแล้ว ผมเคยยอมแพ้และเลิกทำงานศิลปะไปเลย เพราะท้อแท้กับระบบต่างๆ ของประเทศไทย ที่ไม่ค่อยเห็นค่าหรือสนับสนุนงานศิลปะเลย เหมือนเขาไม่เห็นคุณค่าของงานศิลปะแม้แต่นิดเดียว ผมจึงหันไปใช้ชีวิตวนลูปอยู่กับการทำงานประจำ เป็นการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ เช้าไปทำงานเย็นก็กลับบ้านวนไปวนมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งมี NFT เกิดขึ้น ผมจึงวาดตัวน้องไฟขึ้นมา ตอนนั้นเหมือนเรากำลังจุดไฟในตัวเองให้ติดขึ้นมาอีกครั้ง และคนต่างชาติก็ให้ความสนใจกับงานของผม ตอนนั้นหัวใจของผมจึงรู้สึกฟูฟ่องขึ้นมา และกลับมาทำงานศิลปะอีกครั้ง

วันที่หันหลังให้กับศิลปะ ตอนนั้นชีวิตของคุณเป็นอย่างไร

เป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบมนุษย์เงินเดือน ไม่มีความฝันอะไร อยู่กับความรู้สึกที่ทรมานมาก จากคนที่เคยมีไฟ มีความมุ่งมั่น มีความฝัน มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน พอวันหนึ่งเป้าหมายมันสูญสิ้นไปด้วยสภาพปัญหาและภาระต่างๆ ที่พบเจอ รวมถึงสภาพแวดล้อมในสังคมที่เป็นส่วนหนึ่งทำให้ผมรู้สึกหมดไฟจากการทำงานศิลปะด้วย เช่น อยู่ๆ วันหนึ่งเราก็ต้องมาเจอข่าวว่าเดี๋ยวหอศิลป์จะถูกยุบบ้าง เดี๋ยวก็มีข่าวเกี่ยวกับคนในแวดวงศิลปะที่ไม่ได้รับการสนับสนุนทั้งๆ ที่เขากำลังจะได้โอกาสดีๆ บ้าง ใจที่เคยฟูก็ค่อยๆ ห่อเหี่ยวลงไป ซึ่งอย่างที่บอก การเกิดขึ้นของ NFT ทำให้เราพบว่ายังมีคนที่ให้คุณค่าในผลงานของเราอยู่ และทำให้ผมอยากกลับมาลุยอีกครั้ง

กระแสของ NFT ตอนนี้อยู่ในช่วงขาลง สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หัวใจคุณเริ่มฝ่อลงไปไหม

ไม่เลยครับ เพราะผมเป็นคนที่เข้าไปในโลกของ NFT ตั้งแต่แรกๆ ผมเก็บเกี่ยวความสำเร็จมาได้ในระดับหนึ่งแล้ว และต่อไปถ้า NFT จะไปต่อไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้งานของผมก็ขยายไปในส่วนของงานเพนต์ติ้งและอื่นๆ แล้ว เพราะผมเชื่อมาตลอดว่าเราไม่สามารถทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ต้องมีงานอื่นๆ มารองรับด้วย ชีวิตของเราในยุคนี้ไม่สามารถทำอะไรอย่างเดียวได้แล้ว

คุณคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือยัง

ผมคิดว่ายังกึ่งๆ อยู่ ยังไม่ประสบความสำเร็จขนาดที่จะลอยตัวหรือมีชีวิตที่มั่นคงได้ แต่ผมก็ไม่ได้คิดเรื่องตัวเองจะประสบความสำเร็จเมื่อไหร่เลย เพราะยุคสมัยมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ผมจึงมองไปที่จุดหมายระยะไกลมากกว่า และดูที่ความต้องการพื้นฐานของเราว่าจะสามารถเดินไปต่อได้อย่างไร และปรับเปลี่ยนวิธีตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

วิธีที่คุณใช้ศิลปะมาต่อยอดเพื่อเลี้ยงชีพตัวเองนั้นทำอย่างไร

วิธีแรกคือการขายผลงาน วิธีต่อมาคือนำผลงานของเรามาสร้างเป็นโปรดักต์ Fire Friend ที่ผมทำงานหลากหลายรูปแบบเพราะตัวเองเป็นเด็กต่างจังหวัด ดังนั้นการทำงานศิลปะเพื่อเลี้ยงชีพจึงมีปัจจัยเยอะกว่าศิลปินที่เป็นคนกรุงเทพฯ เช่น การเดินทางเข้ากรุงเทพฯก็ต้องมีค่าเดินทาง ค่ากิน ค่าต่างๆ ดังนั้นทุกอย่างทำสำหรับต้องใช้เงินทั้งนั้น ผมไม่สามารถพูดได้ว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญ ดังนั้นการขายผลงานจึงเป็นสิ่งตั้งต้นที่จะทำให้เราสามารถสร้างผลงานต่อยอดไปได้เรื่อยๆ

การต่อยอดนั้นมาจากการที่ผมเรียนมาทางด้านโปรดักต์ดีไซน์ด้วย ผมจึงนำความรู้ตรงนี้มาใช้กับผลงาน Fire Friend ด้วยการนำเทคนิคต่างๆ มาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ และการรู้จักกลุ่มลูกค้า ดูการตลาด และองค์ประกอบในการขายผลงานต่างๆ ซึ่งต้องใช้วิธีคิดหลายๆ อย่างมาผสมผสานไว้ด้วยกัน

ในฐานะรุ่นพี่มีอะไรอยากแนะนำน้องๆ ที่กำลังเริ่มต้นเข้าสู้เส้นทางการเป็นนักวาดตัวคาแรกเตอร์บ้าง

ปัญหาที่น้องๆ มีคงเป็นปัญหาเดียวกับผมคือจะหาลายเส้นของตัวเองได้อย่างไร ทุกคนต้องมีคำถามอยู่แล้วว่าจะสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างไรให้ไม่ซ้ำกับคนอื่น ซึ่งสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลา เราลองทำงานออกมา 10 ครั้งแล้วยังไม่เจอเอกลักษณ์ของตัวเอง ก็ต้องลองทำต่อไปอีกร้อยครั้งพันครั้ง จนกว่าจะหาเจอ คุณต้องอาศัยความอดทน และต้องมีทุนเริ่มต้นด้วย เพราะการทำงานศิลปะเราต้องลงทุนกับค่าอุปกรณ์ แต่ก็ไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้มากเพราะตอนนี้งานศิลปะนั้นเปิดกว้างกว่าเดิม ต่างประเทศเริ่มยอมรับในฝีมือของศิลปินไทยมากขึ้น และเขาก็สนใจประเทศไทยกันมาก

สิ่งเหล่านี้ประกอบไปด้วยเรื่องของความอดทน การใช้ชีวิต การเลี้ยงชีพตัวเองด้วย เพราะปัจจัยในการทำงาน ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายเรื่องอุปกรณ์ สภาพแวดล้อม สังคม หรือแม้กระทั่งการเมืองที่ดีด้วย แต่สิ่งที่เรียกว่าโอกาสก็เป็นตัวแปรสำคัญเหมือนกัน เพราะต่อให้เราทำงานเยอะแค่ไหน ถ้าโอกาสมาไม่ถึงก็ไม่มีใครมองเห็นผลงานเราอยู่ดี หรือเราใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องแล้วก็วาดรูปไปเรื่อยๆ ไม่มีพื้นที่ให้นำผลงานออกมาแสดง มันก็แทบไม่มีทางให้เราต่อยอดได้ ดังนั้นการประสบความสำเร็จจึงมีปัจจัยหลายอย่างที่ช่วยส่งเสริมผลงานของเราด้วย

แสดงว่าถ้าจะทำงานศิลปะควรจะเป็นคนที่ไม่เก็บตัวหรือเรียกง่ายๆ ว่าจะเป็นคน Introvert ไม่ได้แล้ว

เรื่องนี้ตอบยากเหมือนกัน เพราะถ้าเป็นผม ผมจะให้งานมันเดินทางไปด้วยตัวมันเอง แต่ผมก็จะลงงานในออนไลน์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งก็ไม่เชิงว่าเราจะเดินเข้าหาใครต่อใครตลอด เพราะผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยกล้าเดินเข้าหาใครด้วยเหมือนกัน แต่ยอมรับว่าโอกาสที่เข้ามาหาเกิดจากการที่เราทำงานอย่างต่อเนื่องและอัปเดตอยู่เสมอทางออนไลน์ ซึ่งข้อดีของโลกออนไลน์คือเป็นพื้นที่เปิดกว้างที่คนสามารถแชร์ต่อๆ กันไปได้ ทำให้งานของเรามีคนเห็นอยู่เรื่อยๆ ทำให้ผมยังเป็นที่มองเห็นอยู่ในทุกวันนี้

วันที่คุณหันหลังให้กับการทำงานศิลปะ เพราะเหนื่อยหน่ายและท้อแท้ แล้วสมมติว่ามีปีศาจตนหนึ่งบอกว่า “ขายวิญญาณให้ฉันสิ แล้วฉันจะทำให้เธอดัง” เอาไหม?

ไม่ขายครับ ผมกลัวจะเป็นเหมือนพี่เสก โลโซ เพราะพี่เสกเขาบอกว่าเขาขายวิญญาณให้ซาตาน (หัวเราะ) แต่ที่ไม่คิดว่าต้องยอมขายเพราะความร่ำรวยสำหรับผมคือการที่เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเรียบง่าย วันนี้ผมอยากไปเที่ยวก็ไปได้ อยากกินอะไรก็กินได้ อยากได้ของอะไรที่เห็นแล้วเราสามารถซื้อได้ โดยที่มันไม่ได้แพงมาก แต่มันตอบโจทย์กับเรามากๆ ก็พอ หรือวันนี้เราสามารถนอนพักได้โดยไม่ต้องมานั่งประชุมงาน ผมรู้สึกว่าแค่นี้สำหรับผมก็คือความร่ำรวยแล้วครับ

ถ้ามองย้อนไปวันนั้นผมก็ไม่โทษตัวเองที่รู้สึกยอมแพ้นะ เพราะเราไม่สามารถถอยหลังหรือย้อนเวลากลับไปได้ แต่ผมจะเอาสิ่งที่เคยทำผิดพลาดมาแต่งเติมร่วมกับสิ่งที่มีในปัจจุบันที่ต่อยอดได้ หรือเอาข้อเสียในงานเก่าๆ ของเรามาปรับปรุงเพื่อให้ตัวเองพัฒนาขึ้น

รวมถึงนัยยะของการเกิด ‘น้องไฟ’ คาแรกเตอร์ลูกไฟที่มีหลากหลายสีด้วยหรือเปล่า

ใช่ ดังนั้นน้องไฟจึงเป็นเหมือนก้อนไฟที่ใช้จุดพลังในตัวเอง ดังนั้นตัวคาแรกเตอร์จึงมีสีสันมากมายโดยผมอยากให้เป็นความรู้สึกที่เห็นแล้วมีความละมุนมากกว่าความร้อนแรง สามารถเข้ากับคนทั่วไปได้ ไม่ได้มีสีสันร้อนแรงหรือเป็นเปลวไฟที่ลุกโชนจนเกินไป นั่นเป็นเพราะผมดึงคาแรกเตอร์ทุกอย่างในวัยเด็กของผมมาใช้หมดเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสีสัน แม้ว่าทุกวันนี้ผมก็ยังคงมีความหม่นหมองๆ กับชีวิตอยู่ก็ตาม แต่ถ้าเป็นงานของผมนั้นมันออกมาจากสิ่งที่อยู่ในเบื้องลึกที่ตอนเด็กๆ เราชอบสีโทนสีชมพู เหลือง ฟ้า ซึ่งเป็นโทนสีที่ผมชอบใช้ประจำ แม้ว่าโตขึ้นมาเราจะเจอกับสภาพสังคมที่น่าเจ็บปวด (หัวเราะ) หรือแม้แต่เรื่องของชีวิตส่วนตัวก็ตามที่ทำให้ชีวิตหม่นลงไปเรื่อยๆ แต่เวลาทำงานผมจะดึงความเป็นเราในวัยเด็กที่เราเคยรู้สึกสนุกกับชีวิต วัยที่ไม่ต้องคิดอะไรมากให้กลับขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้น้องไฟช่วยลบความหม่นหมองในจิตใจผมไปเรื่อยๆ ครับ

น้องไฟที่เป็นเหมือนก้อนพลังงานในตัวคุณ ถ้ามันเป็นสีดำ หน้าที่ของมันจะยังเหมือนเดิมไหม

เหมือนเดิมแน่นอน เพราะเปลวไฟจะเป็นสีอะไรก็ขึ้นอยู่ที่คนจะสื่อความหมาย บางคนชอบสีดำมาก ในตู้เสื้อผ้าของเขาเมื่อเปิดออกมาก็เจอแต่เสื้อสีดำ เขาก็เปรียบสีดำเป็นสีแห่งความสุขของเขา มันขึ้นอยู่กับมุมมองที่เรากำหนดเอง เช่น บางบริบทสีดำอาจจะไม่เหมาะสม แต่สำหรับผมสีดำคือสีที่ผมชอบ ผมก็มองว่าสีดำคือสีแห่งความสุขของผม

ศิลปะของคุณเป็นการเยียวยาหรือแค่การปลอบประโลมจิตใจ

เป็นทั้งสองอย่างเลยและผมก็ว่าได้ผลด้วย เพราะเวลาที่ผมเปิดดูสมุดสเก็ตช์เล่มเก่าๆ ก็เหมือนตัวเองได้ดึงตัวละครที่มันเคยอยู่ในสมุดสเก็ตช์เมื่อ 10-20 ปีที่แล้วกลับมาใช้งานต่อ ซึ่งเป็นการต่อยอดความฝันในวัยเด็กของตัวเองด้วย ‘น้องไฟ’ คือการพิสูจน์ว่าในที่สุดเราก็หาเอกลักษณ์ในงานของตัวเองเจอจนได้ ซึ่งมันถูกยอมรับทั้งตัวผมเองและคนอื่นๆ เพราะผลงานในโลกยุคสมัยนี้ต้องเกิดจากการยอมรับของคนทั่วไปด้วย ถ้าคนดูยอมรับในตัวน้องไฟ เราก็สามารถจับมือไปด้วยกันต่อได้ และน้องไฟทำให้ผมกลับมามีไฟในการทำงานด้วยในวันแรกที่มีคนยอมรับมัน ผมจึงสานต่อคาแรกเตอร์นี้มาเรื่อยๆ

จากที่เล่ามา ดูเหมือนว่าตอนนี้คุณไม่มีความกลัวอะไรในชีวิตอีกแล้ว

ยังมีอยู่ครับ ผมกลัวการผิดพลาด และเชื่อว่าทุกคนกลัวการผิดพลาดหมด ก่อนหน้านี้ผมล้มไม่ได้เลย เพราะเราเป็นเด็กต่างจังหวัด พ่อแม่ก็ไม่ได้มีรายได้มากมาย แถมพ่อก็เป็นหนี้ด้วย เราก็เลยต้องสู้ ตอนเรียนจบมาใหม่ๆ ผมอิจฉาเพื่อนที่จบมาแล้วก็มีแม่ที่ให้เงินไปทำแบรนด์เป็นของตัวเอง ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า แล้วทำไมเราต้องไปทำงานเพื่อหาทุนมาก่อนถึงจะทำแบรนด์ของตัวเองได้ แต่ชีวิตคนเรามันก็แตกต่างกันอยู่แล้ว เราก็ต้องเดินตามทางของเรา ผมจะมีความคิดที่ว่าถ้าคนเราเกิดมาก็ต้องตาย แล้วเราจะไม่ลองทำอะไรหน่อยเหรอ ถ้าเราไม่สู้เราก็จะวนอยู่กับการทำงานแบบเช้าเย็นกลับ เพราะฉะนั้นอยากทำอะไรก็ทำ ผมเคยเจอเหตุการณ์ที่พ่อของแฟนผมกำลังซ่อมรถ อยู่ๆ ก็ธาตุไฟแตกแล้วก็เสียชีวิตเลย ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมก็คิดว่า ชีวิตไม่มีอะไรจีรัง ผมจึงลุยเลยไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม

ระหว่างทางที่ลุยนั้น คุณได้รับบาดแผลกลับมาเยอะแค่ไหน

บาดแผลมีไม่ค่อยเยอะครับ ถ้าคนที่ติดตามผมมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ จะเห็นว่าผมทำงานหลายอย่าง มีทั้งเอาของไปขายตามตลาดนัดด้วย เพราะผมเป็นคนที่มีแผนสำรองเสมอ ถ้าแผนที่หนึ่งพลาด เราก็มีแผนสอง เช่น ผมจะทำอาชีพวาดรูปผมก็จะหาอาชีพเสริมไว้ เราจะวางแผนรองรอไว้ เพราะผมกลัวที่จะล้ม ถ้าเราล้มลงไปก็ไม่รู้จะยืมเงินใครได้ จึงเลยต้องวางแผนไว้ตลอด ทุกวันนี้ผมเขียนตารางงานไว้ตลอดว่า ในแต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง และมีน้องชายผมคอยช่วยดูเรื่องนี้ด้วย!แม้ว่าจะมีทะเลาะกันบ้าง แต่เราทั้งคู่ก็พยายามช่วยประคับประคองกันไป

คุณวางแผนให้อนาคตตัวเองไว้แบบไหน

ผมขอทำทุกวันนี้ให้ดีที่สุดไปก่อนดีกว่า เพราะผมเคยคาดหวังกับอนาคตมาก จนวันหนึ่งก็พบว่าชีวิตไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด ผมเลยเปลี่ยนความคิดเป็นอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด อนาคตก็ค่อยว่ากันดีกว่า แต่ผมก็มีเป้าหมายนะ ซึ่งเป้าหมายในอนาคตของผมขึ้นอยู่กับระยะเวลาและปัจจัยหลายๆ อย่าง เป้าหมายของผมก็สูงพอสมควร มันเลยทำให้เราอยากจะปีนขึ้นไปด้วย และเราก็จะทำให้สำเร็จ เพราะเราทุ่มเทกับมันเต็มที่ทุกครั้ง สำหรับผมแล้วสิ่งที่ยอมไม่ได้เลยคือการพ่ายแพ้แก่สิ่งที่เราอยากจะทำ

คนรุ่นใหม่แบบคุณรู้สึกทรมานกับการที่ต้องรอคอยอะไรสักอย่างไหม

สำหรับผมการรอคอยเป็นเรื่องที่ทรมานมากเหมือนกัน (หัวเราะ) ยิ่งถ้าเป็นวัยรุ่นน่าจะยิ่งมีผลมากกว่าด้วย เพราะธรรมชาติของวัยรุ่นคือความใจร้อน ไฟแรง ผมเองก็อยากให้งานบางอย่างมันรวดเร็วขึ้นด้วย แต่การรอคอยก็ต้องดูด้วยว่าเป็นเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องของความสำเร็จคงต้องมองระยะยาวๆ ด้วย จะไปใจร้อนเร่งให้มันเกิดขึ้นก็คงยาก

ประสบการณ์คือสิ่งที่จะช่วยรองรับแรงกระแทกเมื่อเราล้มจริงๆ

เรื่องนี้ผมเห็นด้วยจริงๆ และบางประสบการณ์ที่เหมือนไม่เกี่ยวข้องกันเลยกลับช่วยผมในวันนี้มากๆ เช่น ตอนที่ผมเป็นพ่อค้าขายเสื้อผ้าตามตลาดนัด ทำให้ผมจากที่เป็นคนไม่ค่อยกล้าคุยกับใคร กลายเป็นว่าเมื่อเราได้เจอลูกค้าทุกวัน เราก็ต้องพูดคุยกับเขาทุกวัน ผมก็ได้เทคนิคการพูดจากตรงนี้ หรือการขายของออนไลน์ทำให้ผมรู้จักระบบหลังบ้านมากขึ้น รู้ว่าช่วงเวลาไหนที่เราควรโพสต์เพื่อให้คนมองเห็นผลงานเรามากที่สุด หรือการทำงานด้านออกแบบผลิตภัณฑ์ ผมก็เรียนรู้เรื่องสัดส่วนของมนุษย์ เรื่องโครงสร้างของการออกแบบ ได้รู้จัดการหาซัพพลายเออร์มาช่วยผลิตชิ้นงาน ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้ผมทำงานได้อย่างเป็นระบบมากขึ้นด้วย

คุณมองว่าตัว ‘น้องไฟ’ มีศักยภาพที่จะไปเป็นตัวละครในเกมได้ เหมือนตัว Kirby ที่โด่งดังของเกมค่าย Nintendo คุณมีแผนที่จะสร้างโปรเจกต์ทำนองนี้ไหม

การเอาตัวน้องไฟไปเป็นตัวละครในเกมก็อยู่ในแผนการที่ผมวางไว้เหมือนกัน ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเป็นจริงได้แค่ไหน เพราะสิ่งที่ขาดอยู่ในตัวน้องไฟตอนนี้คือ ตัวน้องยังไม่มีความฝันของตัวเอง แต่มันยังคงเดินหน้าทำในสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบันไปเรื่อยๆ ความมุ่งมั่นของน้องไฟคือ มันจะยังวิ่งต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกับที่ผมจะไม่หันหลังกลับไปอีกแล้ว

ถ้าผ่านไปอีกสักสิบปี ไฟในตัวน้องไฟจะเบาบางลงไหม

น้องไฟก็ยังคงซิ่งเหมือนเดิม เพราะเดี๋ยวนี้คนที่อายุมากก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคนแก่แล้วครับ ส่วนผมเองก็ยังคงซิ่งอยู่เหมือนเดิมแน่นอน

นิทรรศการศิลปะ Fire Friends Town จัดแสดงที่บริเวณ Metro Art อาร์ต สเปซ แห่งใหม่ในสถานีรถไฟฟ้า MRT พหลโยธิน

รายละเอียดเพิ่มเติม Facebook: Metro Mall Bangkok


เรื่อง: ทรรศน หาญเรืองเกียรติ / ชุติมณฑน์ แก้วมี  ภาพ: สันติพงษ์ จูเจริญ

AUTHOR