Kadokawa Musashino Museum ห้องสมุดแนวใหม่ในชิบะที่จัดวางหนังสือคู่กับงานศิลปะ

อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณไม่ชอบไปห้องสมุดบ้างคะ? Kadokawa Musashino Museum  

ความเงียบจนนำไปสู่อาการง่วงเหงาหาวนอนก่อนที่จะได้อ่าน การเสียเวลาเดินไล่ตัวอักษรหาหนังสือเพียงหนึ่งเล่มจากชั้นหนังสือที่ดูน่าเบื่อไร้สีสัน หรือบรรยากาศที่ไม่จูงใจให้อ่านหนังสือเอาเสียเลย 

แล้วถ้าหากคุณสามารถออกแบบห้องสมุดในฝันของคุณเองได้ คุณอยากได้ห้องสมุดแบบไหนกันคะ? 

เชื่อไหมว่ามีห้องสมุดที่จัดแสดงแสง สี เสียงอย่างอลังการลงบนชั้นหนังสือที่สูงจากพื้นจรดเพดาน เสียงที่ดังกังวานนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาส่งเสียงจุ๊ๆ ให้เราต้องกลับสู่โหมดเคร่งขรึม แต่กลับกลายเป็นว่าบรรณารักษ์เสียเองที่ชักชวนให้ผู้ที่เข้ามาใช้บริการห้องสมุดมายืนชมร่วมกัน แถมยังอนุญาตให้ถ่ายวิดีโอได้อีก และนอกจากการโชว์แสง สี เสียงแล้ว ในห้องสมุดยังมีแกลเลอรีที่นำผลงานศิลปินชื่อดังมาหมุนเวียนจัดแสดงให้ชมอีกด้วย 

ดิฉันขอพาชม Kadokawa Musashino Museum มิวเซียมหนังสือที่ใหญ่และล้ำสมัยที่สุดแห่งเมืองชิบะ ด้านในมีชั้นหนังสือที่บรรจุหนังสือกว่า 50,000 เล่ม จัดวางสลับไปกับงานศิลปะ 

ดิฉันต้องบอกเลยว่าไม่เสียแรงที่ตัดสินใจดั้นด้นขับรถมาชมมิวเซียมหนังสือแห่งนี้ไกลถึงเมืองชิบะ แค่เห็นรูปทรงของตึกที่ถูกออกแบบไว้อย่างสะดุดตากับทัศนียภาพโดยรอบก็เห็นถึงความตั้งใจของผู้สร้างสรรค์สถานที่แห่งนี้ขึ้นมา พิพิธภัณฑ์นี้ก่อตั้งขึ้นโดยบริษัทสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นชื่อ Kadokawa Corporation ถ้าใครเป็นสายมังงะคงจะรู้จักบริษัทนี้เป็นอย่างดีเลย เพราะเป็นบริษัทสิ่งพิมพ์เก่าแก่ของญี่ปุ่น มีทั้งมังงะ นวนิยายระดับ best seller เช่น The Ring (คำสาปมรณะ) ทั้งยังขยับขยายกลายเป็นผู้ผลิตหนังยักษ์ใหญ่ เช่น อนิเมะเรื่องดังอย่าง 君の名は หรือ Your Name (หลับตาฝันถึงชื่อเธอ) แน่นอนว่าที่มิวเซียมแห่งนี้รวบรวมหนังสือที่บริษัทเคยตีพิมพ์ทั้งหมดมาจัดแสดงให้อ่านกันเพลินๆ ทั้งวัน ยกเว้นห้ามยืมกลับบ้านก็เท่านั้นเองค่ะ 

หลายคนอาจจะเคยเห็นรูปการตกแต่งของสถานที่แห่งนี้จากที่อื่นๆ มาบ้างเพราะเป็นมิวเซียมหนังสือที่ดังสุดๆ ในช่วงนี้ แต่ดิฉันอยากจะมาเล่าในมุมของการจัดการหนังสือให้อยู่คู่กับงานศิลปะของที่นี่ให้ฟังกัน เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่ทำให้มิวเซียมหนังสือหรือห้องสมุดแห่งนี้ไม่น่าเบื่อ แต่กลับดึงดูดผู้อ่านจากการดูงานศิลปะระหว่างการหาหนังสืออ่านไปด้วยค่ะ 

เมื่อก้าวเท้าเข้าห้องสมุดคุณจะเจอทางเดินที่ขนาบข้างด้วยชั้นหนังสือที่ถูกจัดวางสลับสูงๆ ต่ำๆ ไล่เรียงคดเคี้ยวไปตามทางเดิน ด้านบนของเพดานตกแต่งด้วยงานศิลปะชิ้นเล็ก-ใหญ่ห้อยลงมาตลอดทาง พร้อมกับป้ายแนะนำหนังสือต่างๆ ห้อยอยู่เต็มไปหมด หรือป้ายที่ชวนให้เดินเข้าไปหยิบดูหนังสือภาพด้วยคำว่า “มีภาพเต็มไปหมดเลยนะ!” 

และเมื่อคุณอยากหยุดนั่งอ่านหนังสือตรงไหน คุณก็เพียงแค่นั่งลงบนพื้นตรงนั้นเลย หรือจะนั่งบนเก้าอี้เล็กๆ ที่วางกระจายอยู่ก็ได้ เพียงแค่อาจจะต้องแย่งที่นั่งกับเด็กๆ ญี่ปุ่นเสียหน่อยก็เท่านั้นเองค่ะ 

ดิฉันเดินตรงมาที่มุมที่มีคนสนใจมากที่สุด นั่นคือมุมวิทยาศาสตร์ โดยปกติมุมนี้จะเป็นมุมที่เรามักจะเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะดูเป็นหนังสือที่น่าจะเข้าถึงได้ยาก แต่ที่นี่สามารถทำให้มุมวิทยาศาสตร์กลับกลายเป็นมุมที่มีคนมุงดูมากที่สุดเลยล่ะค่ะ เพราะไม่ได้มีเพียงหนังสือที่วางไว้เฉยๆ แต่ยังมีเครื่องมือเครื่องใช้ของจริงวางไว้ให้ดู ในส่วนชีววิทยาก็จัดเต็ม เอาแมลง กะโหลกสัตว์ต่างๆ มาจัดวางไว้ให้เห็นกันจะๆ ไปเลย 

นอกจากของจริงที่เราจะได้ชมแล้วยังมีงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ให้เราได้ชมไปด้วย โดยงานศิลปะที่ถูกแสดงในมุมวิทยาศาสตร์นั้นเป็นของศิลปินชื่ออิโอริ โทมิตะ ศิลปินผู้ศึกษาเกี่ยวกับการฉีดสีลงไปในสัตว์สตาฟเพื่อศึกษาสรีระของสัตว์ต่างๆ คุณอิโอริได้นำมาจัดเรียงในโหลโชว์อย่างสวยงามเลยค่ะ เมื่อได้เห็นงานดีๆ แบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะลองหยิบจับหนังสือชีววิทยาสักเล่มขึ้นมาลองเปิดอ่าน

นอกจากนี้ในมุมนิทานเด็กก็ได้นำเทคโนโลยีเป็นหน้าคุณลุงใหญ่ๆ โผล่มาเล่านิทานให้ฟัง และการสร้างแกลเลอรีกลางห้องสมุดขึ้นเพื่อนำพางานศิลปะจากศิลปินดังๆ มาให้ชมกันอย่างใกล้ชิด

สำหรับดิฉันแล้วการมีงานศิลปะมาตั้งท่ามกลางหนังสือที่รายล้อมแบบนี้ นอกจากจะทำให้เราได้ศึกษาแนวคิดของศิลปินที่จัดแสดงอยู่นั้น ยังทำให้เราได้ลองติดตามหาหนังสือที่เกี่ยวกับแนวความคิดจากศิลปินคนนั้นมาลองอ่านด้วย หากไม่มีงานศิลปะที่เสนอแนวความคิดต่างๆ มาแสดง เราอาจจะเป็นคนที่อ่านหนังสือไปในมุมมองเดียวเสมอ การได้เห็นแนวความคิดคนอื่นบ้างก็อาจจะทำให้เราอยากเปิดมุมมองให้กว้างและหลากหลายมากขึ้นจริงไหมคะ

หลังจากดิฉันเดินดูหนังสือและงานศิลปะอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงประกาศว่าอีก 5 นาทีจะมีการจัดแสดงโชว์แสง สี เสียง ในห้องสมุดแห่งนี้ สักพักผู้คนก็มารวมตัวกันในโถงที่ถูกล้อมรอบไปด้วยชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน 4 ด้าน หนังสือที่ถูกจัดวางสูงสุดลูกหูลูกตาล้อมรอบเรานี้ไม่ได้มีเพียงหนังสือการ์ตูนเท่านั้น แต่เต็มไปด้วยนวนิยายโด่งดังของญี่ปุ่นและนิยายแปลของต่างประเทศ 

ในขณะที่ดิฉันยืนอึ้งกับชั้นหนังสืออยู่ การจัดแสดงแสง สี เสียงโดยการใช้เทคนิคแมปปิ้ง (mapping) ก็เริ่มขึ้นค่ะ มันไม่ใช่แค่การแสดงแสง สี เสียงธรรมดา แต่เป็นการแสดงแมปปิ้งลงบนชั้นหนังสือสูงสุดเพดานแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นการแนะนำหนังสือจากชั้นที่อยู่ตรงหน้าเราว่ามีอะไรบ้าง ถือเป็นการลงทุนในการแนะนำการอ่านที่ยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างมากเลยค่ะ และนอกเหนือจากภายในห้องสมุดแล้ว ทางด้านหลังของมิวเซียมยังมีงานจาก teamLab ซึ่งเป็นงาน installation art ในป่าชื่อว่า teamLab Acorn Forest แน่นอนว่าแสงสีจัดเต็มแน่นอนค่ะ

ภาพจาก teamlab.art/th/e/acornforest

สำหรับดิฉันแล้ว การได้ถูกห้อมล้อมไปด้วยหนังสือก็เหมือนกับการได้ตกลงไปในคลังแห่งความรู้ แต่เมื่อมีงานศิลปะที่ถูกจัดอยู่ในมุมต่างๆ ด้วยแล้ว ก็เหมือนได้เจอเพื่อนที่เล่าความสนใจของเขาให้เราฟัง ถึงดิฉันจะอ่านไม่ออกทั้งหมด แต่ก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจที่ได้มาเยี่ยมชมมากเลยค่ะ อยากให้ที่ไทยมีพิพิธภัณฑ์หนังสือดีๆ มอบคืนสู่สังคมเช่นนี้ ดิฉันว่าการปลูกฝังความรักในการเรียนรู้นั้นเป็นสิ่งที่สังคมจะต้องให้ความสำคัญ เพราะความรู้จะทำให้บ้านเมืองเราโตไปแบบยั่งยืนแน่นอนค่ะ 

AUTHOR

ILLUSTRATOR

JARB

นักวาดภาพประกอบเจ้าของเพจ JARB ผู้ที่ยังไม่แน่ใจว่าสไตล์ตัวเองจริงๆ คืออะไร แต่ก็ยังรู้สึกสนุกกับการทำงานหลากหลายสไตล์ โดยหวังว่าสักวันจะเจอสไตล์ที่ชอบจริงๆ สักที