“พลีส ขอร้องละค่ะ พวกหนูก็เป็นคนๆ หนึ่งบนโลกใบนี้” จิมมี่-พิฆเนศ สุขหยิก นักคิกบ็อกซิ่ง LGBTQ+ คนแรกของทีมชาติไทย

“ตอนนั้นหนูท้อจนไม่อยากจะอยู่โรงเรียนกีฬาแล้ว คิดว่าเราเป็นตุ๊ด เราเลยไม่ชนะใคร”

“เพศหลากหลายได้รับการยอมรับแล้ว” คงเป็นประโยคที่เรายังไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปาก ขณะที่ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมยังคงค้างเติ่งในสภา แต่หากบอกว่า “เพศหลากหลายได้รับการยอมรับมากขึ้นกว่าแต่ก่อน” คงจะเป็นข้อเท็จจริงสำหรับ จิมมี่-พิฆเนศ สุขหยิก นักคิกบ็อกซิ่ง (Kickboxing) ทีมชาติไทย ที่เปิดตัวว่าเป็น LGBTQ+ และเห็นว่าอย่างน้อยทัศนคติของคนรอบตัวก็ไม่ได้มีท่าทีเกลียดกลัวเพศหลากหลายเหมือนอย่างที่คิด จนทำให้เธอกลับมาเชื่อมั่นในตัวเอง

พิสูจน์ด้วยการยืนหยัดเคียงข้างจิมมี่จากสมาคมกีฬาคิกบ็อกซิ่งแห่งประเทศไทย ในวันที่โดนจดหมายเตือนจากสหพันธ์คิกบ็อกซิ่งแห่งเอเชียที่ไม่พอใจเพียงเพราะเธอโชว์หมุนตัว ‘สโลโมเทิร์น’ จนเป็นไวรัล หรืออีกนัยคือแสดงท่าทางในลักษณะ LGBTQ+ บนสังเวียนในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2023 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นชาว LGBTQ+ ในแวดวงกีฬา แถมยังเป็นกีฬาต่อสู้อย่างคิกบ็อกซิ่ง ส่งท้ายเดือน Pride Month เราชวนจิมมี่มาพูดคุยถึงเส้นทางนักกีฬาที่ไม่ได้ง่ายเท่ากับการหมุนฟูลเทิร์นที่เธอชอบ รวมถึงช่วงเวลาที่ไม่เคยเชื่อมั่นในตัวเอง จนถึงวันที่กล้าเป็นตัวเองโดยไม่สนสายตาใคร

ถ้าคำถามสุดท้ายรอบชิงมงกุฎนางงามคือ “เราจะไปได้ไกลแค่ไหนกัน ถ้าเกิดได้อยู่ในสังคมที่พร้อมซัพพอร์ตคนที่หลากหลายทางเพศ” คำตอบจากเสียงจิมมี่มีน้ำหนักมากพอที่ทำให้ทุกคนเชื่อว่า “ทุกคนสามารถเป็นอะไรก็ได้”

Love me, Love myself

หลังจากคลิปหมุนฟูลเทิร์น ที่กลายเป็นไวรัลชีวิตตอนนี้เปลี่ยนไปยังไง

ถ้าในมุมมองของตัวเอง หนูรู้สึกรักตัวเองมากขึ้น “This is Me” (ดีดนิ้ว) เราทำไปโดยไม่ได้คิดอะไร เป็นสิ่งที่ออกมาจากข้างใน หนูรู้สึกรักตัวเองและเคารพตัวเองมากขึ้น เพราะเมื่อก่อนหนูก็แอ๊บแมน บางสถานการณ์เรารู้สึกว่ามันอึดอัดที่ต้องคอนโทรลร่างกาย แต่พอเราเจอสิ่งที่เป็นธรรมชาติ เรารู้สึกปลดล็อก นี่ไง! ตัวเธอเป็นแบบนี้ตอนมีความสุข และการที่เป็นเธอมันไม่ได้แย่เลย

ส่วนของกำไรอื่นๆ ก็คงมีคนรู้จักมากขึ้น มีโอกาสได้ลองทำสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน ในช่วงนี้มันเหมือนกับเราได้โชว์ให้กับหลายๆ คนเห็นว่าเราเป็น LGBTQ+ ที่ไม่ได้มีแค่มุมร้ายๆ ที่สังคมตัดสินว่าจะไปนู่นผู้ชาย นี่ผู้ชาย เราก็ได้เห็นว่าในอีกมุมว่าเขามีความสามารถที่หลากหลาย

กว่าจะมาถึงตอนนี้ จำการแข่งขันครั้งแรกได้ไหม

ตอนนั้นตื่นเต้นมาก หนูได้แข่งขันครั้งแรกตอนอายุ 13 กลัวแพ้ สุดท้ายก็แพ้จริงๆ แล้วก็แพ้อย่างนี้มาประมาณ 3 ปีไม่ชนะใครเลย หนูชนะอยู่แค่แชมป์ภาคใต้ แต่ในความคิดหนูตอนนั้นมันมีไม่กี่คน 

จนมีจุดที่ช่วงประมาณ ม.3 เขาจะให้เราเลือกเปลี่ยนไปสายอาชีพได้ เปลี่ยนไปเรียนโรงเรียนอื่นได้ ตอนนั้นหนูท้อจนไม่อยากจะอยู่โรงเรียนกีฬาแล้ว แล้วก็คิดว่าเราเป็นตุ๊ด เราเลยไม่ชนะใคร ตอนนั้นหนูมีมายด์เซตแบบนั้น กระทืบตัวเองลงมากๆ เลย 

อยากจะเปลี่ยนไปเรียนสายอาชีพ มันท้อขนาดนั้นเลย แต่โค้ชเขาก็พยายามดึงให้เราสู้ต่อ เขาบอกว่าอีกปีหนึ่งเขาจะทำให้เราเป็นแชมป์ จะทำให้เราติดทีมชาติให้ได้ เดี๋ยวมันจะถึงวันของจิมมี่แล้ว บวกกับครอบครัวบอกว่าถ้าหนูออกไปจากโรงเรียนกีฬาเขาไม่รู้ว่าจะมีกำลังส่งหนูแค่ไหน เขาไม่อยากให้ออกกลางทางแล้วไปทำงาน เราก็เลยเปลี่ยนความคิดตัวเองใหม่ เพราะคนที่จะต้องใช้ชีวิตคนที่จะต้องเดินหน้าต่อไปคือตัวเรา แต่ทำไมไม่เลือกจะเดินไปข้างหน้าและเชื่อมั่นในตัวเองว่าฉันทำได้ 

มันเลยเป็นจุดเปลี่ยน โอเค ฉันต้องคิดใหม่ คนที่ต่อยกับฉันเขาก็มี 2 แขน 2 ขา เหมือนกับเรา ทำไมถึงต้องคิดว่าเราเป็นเพศหลากหลายแล้วถึงจะไม่ชนะคนอื่น เพศก็เป็นแค่สรรพนามที่เขาใช้เรียกกัน จนสุดท้ายหนูก็ได้เป็นนักกีฬาทีมชาติอย่างโค้ชเขาพูดไว้

คิดไหมว่าทำไมทุกครั้งที่รู้สึกท้อมักมีเหตุผลว่าเพราะตัวเองเป็นเพศหลากหลายเสมอ 

เป็นเพราะเรารู้สึกว่าไม่ได้รับการยอมรับอย่างเท่าเทียมมากสักเท่าไหร่ อันนี้ต้องยอมรับ เราโดนบูลลี่มาเยอะมาก เราเป็นบุคคลที่แตกต่างในสังคม มันก็เลยทำให้หนูคิดแบบนั้น ก็เลยโทษตัวเอง

แต่ตอนนี้ความคิดที่เปลี่ยนไปบวกกับสังคมให้การยอมรับ หลังจากที่หนูเปิดตัวอยู่ในสังคมของนักกีฬา จากที่เราคิดว่าเราเป็นตัวประหลาด เขาจะคิดว่าเราเป็นพวกถ้ำมอง คิดว่าเราจะไปดูเขา แต๊ะอั๋งเขาไหม จริงๆ มันคนละอย่างกันเลย ทุกคนรัก ทุกคนซัพพอร์ต ทำเหมือนเราเป็นคนๆ หนึ่ง มันเลยเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนว่า อ๋อ เราก็แค่คนๆ หนึ่ง เพศก็แค่สรรพนาม เราเลยได้คำตอบจากประสบการณ์ของตัวเอง

ก่อนที่จะรู้สึกรักตัวเองแบบนี้เคยผ่านช่วงที่ไม่รักตัวเองมายังไง

รักคนอื่นมากกว่า ที่ผ่านมาเราอยากจะเข้ากับสังคมให้ได้ อย่างตอนมัธยมหนูก็ไปเรียนโรงเรียนประจำ แล้วเราต้องอยู่รวมกับผู้ชาย หนูกลัวว่าถ้าบอกว่าเป็นตุ๊ด เราต้องโดนบูลลี่แน่นอน เราเลยตั้งกำแพงให้ว่าเราเป็นผู้ชาย แล้วเวลาใครมาว่าเราเป็นเราก็พยายามปัดหนีไม่ได้ยืนหยัดว่านี่คือฉัน และมองว่าฉันไม่ได้เป็นคนแบบนั้นนะ เราไม่แฮปปี้ เราไม่มีความสุขเพราะเรารู้สึกว่านี่มันไม่ใช่ตัวฉัน แล้วเรารู้สึกอึดอัดที่ต้องหลบซ่อนการเป็นตัวของตัวเอง กลัวเขารู้ มันมีความคิดกลัวที่ตีกันอยู่ข้างใน

กลัวที่บ้านหรือสังคมไม่ยอมรับมากกว่ากัน

หนูมองถึงเรื่องสังคมมากกว่า เพราะว่าหนูโชคดีที่ครอบครัวเขายอมรับแล้วคือเรารู้ตั้งแต่เด็กๆ คือหนูกับแม่คุยกันตลอด แต่สังคมเราไม่รู้เพราะมันร้อยพ่อพันแม่ ความคิดทุกๆ คนแตกต่างกันซึ่งหนูกลัวจุดนั้นมากกว่า หนูเป็นคนที่ขี้อายนะ เรากลัวว่าทำแบบนี้แล้วเขาจะคิดยังไง กลัวว่าเขาจะคิดไม่ดีกับเรามากเกินไป 

ถ้าได้พูดกับคนที่ยังลังเลในการ Come Out อยู่อยากบอกกับเขาว่าอะไร

อยากจะบอกให้เขามั่นใจในตัวเอง แต่หนูก็ไม่สามารถไปบอกพวกเขาได้ 100% เพราะแต่ละคนเขาก็เติบโตมาในสังคมที่แตกต่างกัน แต่ละคนอาจจะมีศาสนา อาจจะมีบางอย่างที่ไม่สามารถ come out ได้ อันนี้อาจจะต้องทำความเข้าใจหลายๆ อย่าง 

แต่อยากให้รักและเคารพในตัวเอง เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นแรกเลยที่จะได้รับการยอมรับจากสังคม ถ้าเราเห็นคุณค่าของตัวเองแล้วเราจะเห็นคุณค่าของคนอื่นด้วย แล้วเขาก็จะสามารถให้คนอื่นได้ต่อๆ ไป เป็นเหมือนกับโครงสร้างใยแมงมุม

แล้วถ้าอยู่ในจุดที่ไม่มีใครยอมรับเราเลยล่ะ จะมีวิธีไหนบ้างที่ทำให้คนๆ หนึ่งเห็นคุณค่าของตัวเองได้

อันนี้ยากเลยค่ะ เหมือนที่หนูเคยประสบ สำหรับหนูก็ยังยากเลยถึงหนูจะมีสังคมที่ดีมากๆ ถ้าเราดาวน์มากๆ แล้วเราไม่เจอใครเลยอันนี้แย่มากๆ เลยนะคะ แต่หนูเชื่อว่ามันจะต้องมีสักคนหนึ่ง คนเรามันจะไม่มีใครรักเลยมันเป็นไปไม่ได้ หนูว่าขนาดคนที่เก็บตัวอยู่ในห้องก็ยังมีพ่อแม่ มันจะมีคนหนึ่งที่รักเรา ทำให้เราเห็นคุณค่าในตัวเอง คนที่ไม่หวังอะไร แค่อยากให้รู้ว่าฉันยังอยู่กับเธอนะ อาจจะไม่ต้องตามหา มันจะมีอยู่ในชีวิตเราอยู่แล้ว 

แต่ถ้าไม่มีใครแล้วมันจะมีเราอีกคนหนึ่งข้างในให้เราหลุดพ้นจากการไม่รักตัวเอง อารมณ์แบบหยินหยาง มันต้องสัมผัสกับตัวเองค่ะ ทุกๆ เช้าหนูจะบอกตัวเองว่าฉันสวย แล้วฉันก็รวยด้วยเงิน 500 บาทที่มีในกระเป๋าของตัวเอง

คุณชอบเล่นกีฬาตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า

เริ่มต้นเล่นกีฬาจากทางครอบครัวเขาอยากให้เล่นกีฬาเขาเห็นว่ามันสามารถเป็นอาชีพได้ สามารถทำให้เรามีรายได้จุนเจือครอบครัว และมันอาจจะเป็นใบเบิกทางให้เราในอนาคต ได้เป็นอะไรที่เราอยากจะเป็น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบแต่เราเลือกไม่ได้ 

หนูก็เพิ่งเข้าใจ แล้วรู้สึกว่า เออ นี่ไง เราไม่ได้เล่นกีฬาเราอาจจะไม่ได้มีโอกาสไปแสดงละครผ่านกล้อง เราอาจจะแค่ได้ทำงานในสายอื่น ที่เราไม่ชอบมากกว่านี้ก็ได้ ตรงนี้ถือว่าเป็นใบเบิกทางใบใหญ่มากๆ เป็นจุดเริ่มต้นให้เราไปเรียนโรงเรียนกีฬาจังหวัดนครศรีธรรมราช แต่พ่อก็อยากให้เรากลับตัวกลับใจเป็นผู้ชาย

แล้วถ้าการเป็นนักกีฬายังไม่ใช่สิ่งที่คุณชอบ งั้นสิ่งที่ชอบจริงๆ คืออะไร

หนูอยากเป็นนางงาม เราเป็นเด็กบ้านนอกเนอะ เราก็เห็นว่าถ้าได้ไปอยู่ในโทรทัศน์มันก็น่าจะดี อย่างรายการ The Star ค้นฟ้าคว้าดาว ที่เขาประกวดกันแล้วเขาก็เป็นดาราโด่งดัง แต่เราเสียงไม่ดีไง เรามีความฝันว่าถ้าเราได้แสดงหนังจะเป็นยังไง ถ้ามีคนรู้จักมากๆ จะเป็นยังไง 

แต่อันดับแรกเลยคือเราก็ชอบนางงาม แอร์โฮสเตส สำหรับเด็กบ้านนอกอยู่ตามชนบทการออกทีวีมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ มันรู้สึกว่านี่คือความยิ่งใหญ่ของชีวิตที่เห็นพ่อแม่มานั่งหน้าทีวีแล้ว อุ้ย นี่ลูกฉันๆ ออกโทรทัศน์ (สำเนียงใต้)

To All My Supporters

ถ้าวันที่คุณท้อ ถ้าไม่มีใครเชื่อมั่นในตัวคุณเลย คิดว่าชีวิตจะเปลี่ยนไปไหม

บ๊ายบาย ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยน อยู่ที่เดิม คือเหมือนหนูเป็นคนที่ต้องการความรักด้วย เราออกจากบ้านตั้งแต่เด็กๆ อยู่โรงเรียนกีฬาหนูไม่ได้ใช้โทรศัพท์เลย 6 ปี ก็โทรหาแม่บ้างนิดๆ หน่อยๆ ซึ่งความรักจากการสัมผัส การกอดกัน มันน้อย ยิ่งคำพูดยิ่งน้อยไปด้วย 

เลยรู้สึกว่าเราต้องการความเชื่อมั่นและความรักค่อนข้างเยอะ ถ้าไม่มีก็น่าจะยากที่จะดึงตัวเองขึ้นมา อาจจะไม่ได้ดิ่งจนถึงทำร้ายตัวเอง แต่คงยอมแพ้ในสายนักกีฬาแล้วเลือกเดินทางอื่น อาจจะไปเป็นความสวยความงามที่เรารู้สึกว่ามันเป็นที่ยืนของเรา เจอเพื่อนหรือคนที่มีไลฟ์สไตล์เหมือนๆ เรา แต่การมาอยู่ตรงนี้หนูแปลกแตกต่างจากคนอื่น เพราะคนอื่นก็เป็นผู้ชายแท้ 100% แต่หนูเป็น LGBTQ+ ที่ไปอยู่ในหมู่คนที่เป็นผู้ชายผู้หญิงแท้ๆ

การที่มีพื้นที่ให้เราเป็นตัวเองได้ในวงการกีฬามันสำคัญกับคุณยังไง

เราจะได้รับการยอมรับ 100% ถ้าเป็นเพศอย่างพวกหนู สิ่งสำคัญเลยคือหนูแค่ต้องการการยอมรับ ต้องการให้มองว่าหนูคือคนๆ หนึ่งในสังคม คนๆ หนึ่งบนโลกใบนี้แค่นั้นเองค่ะ ไม่ใช่เป็นคนประหลาด เกิดมาผิดเพศ ทำไมไม่เป็นตามธรรมชาติที่เขาให้มา มันมีความหมายมาก แค่อยากจะบอกว่า “Please ขอร้องล่ะค่ะ พวกหนูก็เป็นคนๆ หนึ่งบนโลกใบนี้เท่านั้นเอง” แค่นั้นเลย เปิดโอกาสให้พวกหนูได้ทำงาน ทำหน้าที่เหมือนกับคนอื่นๆ ได้รับ

เหตุการณ์ที่สมาพันธ์คิกบ็อกซิ่งออกจดหมายเตือนไม่เห็นด้วยกับท่าทางของจิมมี่ ทำให้รู้สึกเสียความมั่นใจไปไหม

สำหรับหนูเลยนะ หนูเฉยๆ มากเลย เพราะหนูเข้าใจว่ามีคนรักก็ต้องมีคนไม่ชอบ คือหนูเป็นคนเข้าใจคนง่ายมากๆ เลย เขามีอำนาจเขาก็เลยทำกับเราแบบนั้นได้ หนูไม่สามารถไปไปตัดสินเขาได้ เพราะแต่ละคนมีนิสัย มีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตที่ต่างกัน 

หนูไม่ได้เอามาเป็นแรงขับเคลื่อนให้หนูรู้สึกดาวน์ หนูยังต้องแข่งขันต่อในวันต่อไป แค่มองเขาแล้ว อ๋อ โอเค โอเคครับ แต่หนูก็ทำ เพราะว่ามันเป็นความสุขของหนู เขาไม่ชอบนั่นเป็นเรื่องของเขา มันไม่ได้อยู่ในกฎเลย นั่นแสดงว่าเขาใช้อำนาจของเขาในทางที่ผิด คนก็จะเห็นว่าเขาเป็นคนยังไง

เขาอาจตัดคุณออกจากการแข่งขันได้เลยนะ

เขาอาจจะทำอะไรเราก็ได้ถ้าเขาจะทำ เพราะเขามีอำนาจไง แต่หนูก็ทำหน้าที่ของหนูอย่างเต็มที่แล้ว กีฬามันมีแพ้มีชนะมันเป็นเรื่องปกติค่ะ หนูแพ้ก็ยอมรับว่าแพ้ เพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่าการโทษตัวเองแล้วไม่ได้อะไรเลย ถ้าจมอยู่กับปัญหาสิ่งที่เราจะได้คือศูนย์ ถ้าเราหาแนวทางว่าจะต้องทำยังไงให้รอบต่อไปเราดีขึ้น อย่างน้อยๆ มันอาจจะไม่ถึงกับได้แชมป์เลย แต่เราได้นับหนึ่ง นับสอง นับสาม เราโฟกัสการแข่งขันของตัวเองดีกว่า

แล้วมีครั้งไหนไหมที่คุณเคยเสียสมาธิ

หนูก็เคยมีหลุดเหมือนกัน เพราะตอนแรกหนูกังวล ตื่นกลัวมาก ถ้าแข่งไปก็แพ้แล้วก็เจ็บตัว ต่อยแค่ไหนคะแนนมันไม่ขึ้น เรามีความกลัวแล้ว กลัวว่ากรรมการจะไม่ให้คะแนน เรากลัวว่ามันจะมีทริก 

หนูต้องไปคุยกับโค้ชว่า อาจารย์ขา หนูมีความรู้สึกแบบนี้ ต้องจัดการยังไงดี หนูขอกำลังใจแนวคิดจากอาจารย์หน่อยได้ไหม ต้องรีบจัดการความรู้สึกของตัวเอง เพราะว่าหนูต้องแข่งแล้วอีกประมาณ 1 ชั่วโมงข้างหน้า เราพยายามมองถึงสิ่งที่เราซ้อมมา ทำให้มันเต็มที่แค่นั้นพอ ไม่ต้องสนใจว่าผลแพ้ชนะมันจะออกมาเป็นใคร แต่สิ่งสำคัญที่ทุกคนจะเห็นเลยคือ Performance ที่เรามายืนในจุดนี้ได้ หนูก็เลย โอเค เต็มที่ แพ้-ชนะ ช่างมันแล้ว

คำพูดไหนของโค้ชที่ช่วยดึงคุณขึ้นมาในตอนนั้น

โค้ชไม่ต้องการอะไรจากเรา โค้ชต้องการแค่ให้เราเล่นอย่างมีความสุข เล่นให้มันสนุกแค่นั้นพอ โอเคค่ะ โค้ช มา! (ปรบมือ) เจอกัน ฉันจะไปสนุกบนสนาม ฉันจะเล่นให้เต็มที่

Beyond My Dreams

ตอนนี้ไม่ใช่แค่ทีวี แต่ไปทั้งโซเชียลเลย ถือว่าเติมเต็มความฝันหรือเปล่า

มันไม่ใช่แค่เติมเต็มความฝัน แต่มันเกินฝัน มันเกินไปเยอะมากๆ เลย หนูไม่รู้จะใช้คำพูดยังไง มันมาเกินมากๆ ตอนนี้ทุกอย่างมันเป็นกำไรชีวิตแล้ว หนูเคยคิดว่าแล้วชีวิตนี้ต้องการอะไรอีก เคยพูดกับตัวเองว่าฉันพร้อมตายแล้วนะ ไม่รู้ว่ามันเป็นคำที่รุนแรงกับคนอื่นหรือเปล่า อาจจะเข้าธรรมะธรรมโมนิดหน่อย บางครั้งก็รู้สึกว่าฉันต้องการอะไรอีกในชีวิต เพราะรู้สึกว่าไม่ได้อยากได้อะไรขนาดนั้น ถ้าเสียชีวิตก็คงจะพร้อมแล้ว

สิ่งที่เราฝันไว้มันสำเร็จหมดแล้ว มันเกินความคาดหวัง ทุกอย่างตอนนี้เหมือนมันเป็นกำไรมากกว่า แต่จะมีเงินล้าน 20 ล้านบาทเราก็ยินดีที่จะให้มันเข้ามานะคะ (หัวเราะ) แต่ ณ ตอนนี้เราก็รู้สึกว่ามันก็โอเค แฮปปี้กับวินาทีนี้ที่เรามีชีวิตอยู่อยู่กับปัจจุบัน อย่างน้อย 20 นาทีข้างหน้าหนูมีเงินกินข้าวก็โอเคแล้ว

ลิสต์ที่คุณบอกว่าสำเร็จแล้วมีอะไรบ้าง

หนูตั้งเป้าไว้ว่าต้องเรียนหนังสือให้จบ เพราะหนูเป็นคนสุดท้ายในบ้านที่ยังเรียนหนังสืออยู่ นักกีฬาทีมชาติเราก็ได้เป็นแล้วทั้งนักกีฬาทีมชาติระดับเยาวชนและประชาชน ได้ร้องเพลงชาติในเวทีระดับนานาชาติ อาจจะไม่ใช่ระดับโลก แต่ครั้งหนึ่งในชีวิตเราไม่คิดว่าการเป็นตุ๊ดเราจะได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น เราจะได้มีโอกาสไปร้องเพลงชาติในฐานะนักกีฬาทีมชาติไทยที่ไป represent เพลงชาติ เรายืนอยู่ตรงนั้นในฐานะแชมป์เปี้ยนมันเกินคาดหนูไปแล้ว

เราก็ปลดหนี้ให้กับคุณแม่ หนี้นอกระบบที่ยืมตามบ้านมา เราก็ทำสำเร็จแล้วใน 2 ปีที่แล้ว หนูไม่รู้ว่าความคิดหนูถูกหรือเปล่า แต่ว่าหนี้ตามบ้านมันเป็นหนี้ที่เราต้องโดนคนอื่นเอาไปพูดถึง ซึ่งหนูไม่ชอบ หนูก็เลยบอกว่าจะพยายามปิดให้เร็วที่สุด ทำให้เขาได้ก็ดีใจ ที่ได้ใช้น้ำพักน้ำแรงของเราซ้อมอย่างหนักหน่วง

ถึงจะบอกว่าชีวิตคอมพลีตทุกอย่างแล้ว ถ้าอย่างนั้นสเต็ปต่อไปคุณอยากจะโฟกัสที่อะไร

รวยค่ะ (หัวเราะ) อยากมีเงินเยอะๆ ในที่นี้ของหนูคือช่วยเหลือคนอื่น เพราะเราเคยทุกข์มาก่อนเราเคยอยู่ในจุดที่ไม่มีเงินกินข้าวสักบาท ซึ่งเราอยากเป็นคนนั้นที่ให้เขาได้โดยที่ไม่ต้องคิดว่าพรุ่งนี้ฉันจะต้องกินอะไร 

เป้าหมายต่อไปของหนูคือให้คนอื่น อยากให้ได้มากกว่านี้ ให้ทั้งทัศนคติที่ดี ให้ในทรัพย์สินด้วย ให้ในความรู้ที่หนูได้เก็บประสบการณ์มา ทั้งในเรื่องการแข่งขันกีฬาการฝึกซ้อม ประสบการณ์ชีวิต หนูสามารถช่วยเขาได้อย่างน้อย 1% หนูก็อยากจะให้เขา 

ถ้าในเชิงกีฬาก็อยากจะไปในระดับโลก เวิลด์เกมหรือโอลิมปิก เราอยากจะไปเป็นตัวแทนในฐานะนักกีฬาทีมชาติไทย ว่าสังคมไทยก็มีบุคลากรที่เป็น LGBTQ+ ที่มีความสามารถ เพราะต่างประเทศเขาก็มีกันแล้วอย่างเช่น ทอม เดลีย์ (Tom Daley) นักกีฬากระโดดน้ำของอังกฤษ ซึ่งเราก็อยากจะเป็นคนที่ไป call out และบอกว่านี่แหละคือ ‘LGBTQ+ from Thailand’ พอเราไปยืนถึงจุดนั้นได้เหมือนเรามีแสง คนที่เขาเห็น พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือคนรุ่นใหม่ เขาก็จะบอกว่านี่ไงลูกเขาก็สามารถจะเป็นอย่างที่ลูกเขาอยากเป็นได้นะ หนูจะเอาการกระทำของหนูโชว์ให้เขาเห็นว่า ทุกๆ คนสามารถเป็นอะไรที่ทุกคนฝันไว้ได้ 

ในเรื่องของงานอยากจะได้รับโอกาสจากวงการบันเทิง อยากจะเล่นละคร ถ่ายแบบ เพราะความฝันหนูเยอะมากๆ พอมีเงินเยอะๆ เราสามารถเป็นผู้ให้คนอื่นได้ต่อไป

ดูนางงามมาตั้งแต่เด็กไม่จุดประกายให้อยากเป็นนางงามบ้างเหรอ

อยาก! หนูตั้งแพลนไว้ว่าอยากประกวด Miss Fabulous Thailand เพราะว่าเขาเปิดโอกาสให้ทุกๆ เพศ 

หนูอยากจะเป็นในรูปแบบแบบนี้ ไม่ได้อยากมีจิ๋ม ไม่ได้อยากมีนม แต่เราไปในฐานะนักกีฬาทีมชาติ เราก็สามารถเป็นนางงามได้ ทำไมจะไม่ได้ มันไม่มีข้อห้าม คุณสามารถเป็นอะไรก็ได้ อยากจะเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียง หนูมีโครงการของหนูที่อยากจะไป call out อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่มันยิ่งใหญ่สำหรับใครบางคนที่ไม่ได้รับการยอมรับ ไม่งั้นจะมีข่าวเด็กอายุ 15 โดนเพื่อนล้อแล้วหมกตัวอยู่ในห้อง 3 ปีเหรอ เห็นไหมว่ามันยังมีแบบนี้อยู่ 

หนูอยากจะเป็นบุคคลหนึ่งที่ฉันก็เป็นนักกีฬาทีมชาติไทยและฉันก็ยังเป็นนางงามด้วย ซึ่งไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ตอน Pride Month หนูก็แต่งหญิง ไม่มีใครจำหนูได้เลย หนูอยากจะเป็นอะไรก็ได้เรายังมีรูปร่างที่เป็นผู้ชายแต่จะแต่งตัวเป็นผู้หญิงก็ได้

อยากจะบอกอะไรกับคนที่ยังตีกรอบว่าเพศนี้ต้องเป็นแบบนี้เท่านั้นอยู่

อาจจะไม่ถึงกับยอมรับ แต่แค่เปิดใจมองเขาว่าเขาเป็นแค่คนๆ หนึ่ง อย่าไปมองถึงเรื่องเพศ มองเขาแค่ว่าเขาก็คือคนที่มีหน้าที่ในสังคมที่แตกต่างจากเรา เช่นหนูมีหน้าที่เป็นนักกีฬาทีมชาติ ก็มองว่าหนูเป็นนักกีฬาทีมชาติดีกว่า 

เรื่องเพศมันเป็นแค่นาม แล้วตอนนี้มันมีการเรียกเพศ มีรสนิยมที่หลากหลายมากๆ หนูมองว่าตัวอย่างที่ดีมันมีค่ามากกว่าคำสอน การกระทำของเขามันจะเห็นชัดเจนที่สุด เราสามารถนำเขามาเป็นแบบอย่างได้ หรือรู้จักคนๆ นั้นได้

หนูก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าหนูก็จะเป็นคนดี 100% หนูก็มีมุมที่ไม่ดีในความคิดของคนอื่น ความคิดแบบนี้มันเป็นสิ่งที่เราบังคับใครไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้คือการเคารพตัวเองให้มากที่สุด เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสังคม และเป็นตัวอย่างของเด็กรุ่นหลัง


ภาพ: สันติพงษ์ จูเจริญ

AUTHOR