โก๋เอ็ม-กิตติพงษ์ คำศาสตร์ ศิลปินนักบุญผู้ใช้ศิลปะขับเคลื่อนงานจิตอาสาเพื่อสิทธิสัตว์

โอกาสอันดีที่ จิม ทอมป์สัน เปิดตัวคอลเลคชันใหม่ในชื่อ JIM THOMPSON x GOH M ทำให้เราได้นัดพบกับ โก๋เอ็ม-กิตติพงษ์ คำศาสตร์ อดีตสมาชิกวง บุดด้า เบลส (Buddha Bless) วงดนตรีแนวฮิปฮอป เร็กเก แดนซ์ฮอลล์ กับคาแรกเตอร์สีแดงประจำตัวที่โด่งดังในช่วงต้นยุค 2000 

ก่อนจะจับปากกาเซ็นสัญญาเป็นนักร้อง โก๋เอ็ม เริ่มต้นหยิบพู่กันขีดเขียนระบายผืนผ้าใบล่วงหน้ามาแล้ว ก่อนที่จะผันตัวมาเป็นศิลปินกราฟฟิตี้ ใช้กำแพงสื่อสารงานศิลปะของเขา ได้คลุกคลีและผลักดันวัฒนธรรมสตรีทอาร์ตของไทยมาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี 

a day จึงขอฉกตัวเขามาเป็นเวลาสั้นๆ เพื่อจับเข่าคุย ก่อนร่วมเปิดตัวลวดลายแพตเพิร์นร่วมสมัยที่มีองค์ประกอบแบบไทยๆ พร้อมสีสันสดใสป็อปสะดุดตา

“จิม ทอมป์สัน ชวนให้มาร่วมโปรเจกต์นี้ยังไงคะ”

“โทรมาครับ แต่เช้าเลย” (หัวเราะครืนกันทั้งห้อง) 

แค่เปิดบทสนทนาเราก็รู้ว่าวันนี้มีเรื่องมันๆ ให้คุยกันแน่นอน

ครั้งแรกกับการร่วมงานระหว่างสตรีทอาร์ตและแบรนด์แฟชั่นไทยเป็นอย่างไรบ้าง

ตื่นเต้นครับ ผมทำงานศิลปะมาเกือบ 20 ปี ปกติ collaborate กับแบรนด์สตรีทอาร์ตหรือจอยกับแอคทิวิตีศิลปะ ไม่ค่อยได้ร่วมงานกับแบรนด์แฟชั่นในการใช้สตรีทอาร์ต ป็อปอาร์ต ก็ทำให้เซอร์ไพรส์ที่รู้ว่าจะได้ร่วมงานกับ จิม ทอมป์สัน ซึ่งผมก็ติดตามผลงานการออกแบบที่มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัว พอได้รับการติดต่อให้ร่วมโปรเจกต์นี้ ในหัวของนักออกแบบก็เห็นภาพได้ทันทีว่าต้องสร้างความประหลาดใจได้แน่นอน

จิม ทอมป์สัน ชวนยังไงถึงได้ตกลงร่วมงานกัน

สมัยก่อนที่ผมเคยจัดนิทรรศการ ทีมงานของ จิม ทอมป์สัน ก็คงได้มีโอกาสไปชมด้วย เขาได้เห็นผลงานของผมมาก่อนแล้ว พอมีโปรเจกต์นี้เกิดขึ้นจึงนึกถึงแล้วได้ให้โอกาสมาร่วมงานกัน เพราะว่าคงเป็นโจทย์ที่อยากได้ความแปลกใหม่ในรูปแบบป็อปอาร์ต สตรีทอาร์ตซึ่งตอบโจทย์ในช่วงนี้ได้ดี

คอนเซ็ปต์ของคอลเลกชันนี้คืออะไร

จริงๆ แล้วผมทำงานศิลปะอยู่ตลอดเวลา ประจวบกับที่ช่วงนี้กำลังทำงานเกี่ยวกับ Botanical Art ร่วมกับสีน้ำด้วย ตัวผมเองที่เป็นสตรีทอาร์ตจึงนำเอา Botanical Art มาทำให้ป็อปขึ้น จังหวะพอดีกับที่ทางแบรนด์ต้องการทำคอนเซ็ปต์เกี่ยวกับพืชพันธุ์ไม้ ผลไม้ ก็เลยไปด้วยกันพอดี เหมือนกับว่าผมทำงานรอให้คนจาก จิม ทอมป์สัน โทรมาชวน 

แต่จริงๆ มันเป็นวิธีการทำงานของผมอยู่แล้วที่จะเปลี่ยนซีรีส์ไปทุกๆ ปี ปีนี้วนมาทำ Botanical Art พอดีตรงกับที่ จิม ทอมป์สัน ติดต่อให้มาร่วมโปรเจกต์ก็เลยแมชต์กันได้พอดิบพอดีเลย ทั้งรูปแบบงาน ดีไซน์ และแพตเทิร์นผ้า

ดึงองค์ประกอบความเป็นไทยออกมาใส่แพทเทิร์นอย่างไร

ผมใช้สีนำก่อน ปกติแล้วผมเป็นสตรีทอาร์ตที่ใช้สีพาสเทลตุ่นๆ คู่สีม่วง ส้ม เป็นสีที่ผมใช้อยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น เขียนภาพสัตว์สักตัวก็จะเลือกใช้สัตว์ที่เป็นสีสัน เพราะเป็นกุศโลบายส่วนตัวที่จะนำเสนอผลงานเพื่อเรียกความสนใจของผู้ชมด้วยสีสันก่อนเป็นอย่างแรก สำหรับสีม่วงและสีส้มเป็นสีที่ดึงดูดสายตาคน พอได้รับโจทย์ให้คิดเรื่องผลไม้ไทยก็นึกถึงส้มกับมังคุด 

ซึ่งมังคุดที่ผมออกแบบจะเริ่มตั้งแต่ดอกด้วยสไตล์ Botanical Art เน้นให้รายละเอียดพืชพันธุ์ มีการใส่เกสรต่างๆ ประกอบอยู่ด้วย ทำให้เห็นที่มาที่ไปและหน้าตาของดอกมังคุดก่อนที่จะมาเป็นผล จริงๆ แล้วงานรูปแบบนี้เป็นงานซีเรียสที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ผมเอามาดัดแปลงให้มีความป็อปอาร์ต ถ้าใครสังเกตก็จะเห็นว่ามีดอกมีผลด้วยนะอยู่ในผลงาน เป็นรูปแบบ Botanical Art ที่ป็อปแล้วนั่นเอง

อยากให้ช่วยบรรยายบรรยากาศห้องทำงานของโก๋เอ็มให้ผู้อ่านเห็นภาพ

รกครับ (หัวเราะ) ขนหมาเยอะ เคยมีลูกค้าซื้อรูปผลงานผมไปมีขี้แพะติดอยู่ข้างหลังผลงานด้วย ตอนแรกผมเครียดนะ แต่ลูกค้าชอบ เขาบอกว่าพี่ชอบนะ มันเป็นซิกเนเจอร์เราดี 

ด้วยความที่ผมทำงานจิตอาสาเกี่ยวกับสัตว์และจิตรกรเขียนรูปอาชีพ จึงใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์จำนวนมาก เก็บหมา แมว มาเลี้ยง ถ้าหาบ้านไม่ได้ก็อยู่กับผมที่สตูดิโอ ทั้งราชบุรี (สวนผึ้ง) และกรุงเทพฯ ถ้าใครดูไอจีผมจะไม่ได้เห็นแค่หมา แมว มีทั้งหมู แพะ เดินกันทั่วสตูดิโอเลย เป็นคนบ้า แต่ก็ทำให้ได้อินสไปร์ พออยู่กับสัตว์ก็เลยเขียนภาพสัตว์เยอะ

สัตว์ที่อุปการะให้แรงบันดาลใจในการทำงานศิลปะอย่างไรบ้าง

จริงๆ ผมต้องขอบคุณพวกเขาด้วยซ้ำ เพราะรูปหมา แมว แพะ ไก่ ที่ผมเขียนก็เอามาจากเรื่องราวของสัตว์ต่างๆ ที่เป็นสัตว์จร บางตัวเคยโดนทำร้ายหรือคนเอามาทิ้ง แต่ละตัวก็จะมีสตอรีของพวกเขาที่แตกต่างกันไป

ล่าสุดผมช่วยเป็ดมาจากร้านที่เขาต้องปิดกิจการ พอหาบ้านไม่ได้ผมก็เลี้ยงเอง เรื่องราวก็จะอยู่ในภาพเขียนแต่ละชิ้นของผม โดยจะแอบใส่อารมณ์ สี หรือสัญญะไว้ในรูปตลอด ซึ่งก็เป็นตลกร้ายของผมนะ เรื่องราวมันเศร้าแต่จะเอาสีเป็นตัวล่อผู้ชมให้ดึงดูดเข้ามา เป็นเกสรล่อแมลงล่อผู้ชม ซึ่งผมจะแฝงไว้เป็นสัญญะที่ไม่เล่าก็จะไม่รู้ที่มาเบื้องหลังไอเดีย เพราะผมนำเสนอผ่านสีสันคัลเลอร์ฟูล แต่จริงๆ แล้วแต่ละรูปมีเรื่องราวของตัวเองทุกรูป

นอกจากเป็นศิลปิน เป็นนักดนตรีนักแต่งเพลง เป็นจิตอาสา แล้วมีอะไรอีกที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้

ผมเพิ่งทำร้านไอติมเจ๊งมา คนที่ได้กินก็บอกว่าเป็นบุญปากมาก เพราะผมเปิดแค่สามสี่วันก็ปิดเลย (หัวเราะ) แต่สิ่งที่ทำผมถือว่าเป็นงานศิลปะของผมทั้งนั้น ผมไปจ่ายตลาดเลือกวัตถุดิบที่ดี ตื่นตั้งแต่ตีสามตีสี่เพื่อหาแหล่งหัวกะทิ หางกะทิดีๆ มะพร้าวน้ำหอมมีคุณภาพ เหมือนทำงานศิลปะชิ้นหนึ่งเลย แต่นั่นแหละ ก็ต้องแบกรับต้นทุนที่เป็นทั้งเงินและแรงไปด้วย เห็นแบบนี้ก็มีคนมานั่งรอผมปั่นไอติมนะ ถึงจะเจ๊งแต่ก็มีเรื่องให้จดจำ

ผมไม่มีภาระ ไม่มีลูก มีแค่เรื่องสัตว์ เพราะฉะนั้นอะไรที่จะเป็นเงินเป็นทองต่อยอดไปถึงสัตว์ที่ผมดูแลอยู่ได้ก็รับหมดเลย เมื่อก่อนผมติสต์แดก เท่ๆ ไม่รับงานหนังงานละครนะ แต่หลังๆ นี้รับหมด จะให้เล่นบทแบบไหนหรือแคสต์งานอะไรก็เอาหมด ซึ่งมันก็ทำให้เราได้เห็นอีกศาสตร์ทางศิลปะในด้านการแสดง

ช่วยขยายความที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าดนตรีพาให้มาเจอกับกราฟฟิตี้

คือผมวางแผนไว้ก่อนที่จะเซ็นสัญญาเป็นนักร้อง ตอนนั้นผมทำงานศิลปะอยู่แล้ว แต่ก็คิดว่าถ้าไม่ได้เป็นซัมวันหรือเป็นคนที่มีชื่อเสียงมีคนรู้จักก็ยากที่จะได้ร่วมงานกับแกลเลอรีใหญ่ๆ ดังๆ ที่ผมมีอยู่ในใจ ก็เลยคิดว่าการทำเพลงนี่แหละจะเป็นโอกาสและจังหวะที่เข้ามา พอได้เป็นนักร้องค่ายใหญ่อย่างแกรมมี่ก็คงได้ทำงานศิลปะและจัดแสดงง่ายขึ้น เราก็คิดง่ายๆ แบบนั้นเลย 

จึงตัดสินใจที่จะเซ็นสัญญาเป็นนักร้องกับแกรมมี่ โดยมีพี่โจอี้ บอยมาชวนซึ่งก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ พอได้เซ็นสัญญาปล่อยเพลงออกอัลบั้ม แล้วฟลุกเพลงโด่งดังเริ่มดังมีชื่อเสียงก็เขียนรูปไปด้วยเลย มันเป็นการวางแผนเพื่อทำให้ผมได้เข้าสู่วงการศิลปะ ผ่านสะพานการเป็นนักร้อง เพราะผมรู้ว่าแกลเลอรีต่างๆ คงไม่ทำงานกับเราแน่ๆ ในตอนยังไม่เป็นที่รู้จัก จึงพยายามทำงานศิลปะสะสมไว้ 

พอเป็นนักร้องมันทำให้เส้นทางมันง่ายขึ้น ได้มีโอกาสร่วมโปรเจกต์ออกแบบดีไซน์ใหญ่ๆ ก็ถือว่าผมได้ตามที่คิดวางแผนไว้ตั้งแต่ก่อนเข้ามาในวงการดนตรี 

วัฒนธรรมสตรีทอาร์ตปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง

ตอนนี้มันสามารถไปไกลกว่าที่ผมคิดไว้เยอะมาก แต่ก่อนเป็นแค่เด็กพ่นสีทำตามสิ่งที่รัก เมื่อได้มาทำเป็นอาชีพได้นี่ถือว่าโอเคแล้ว ไม่ว่าจะ Alex Face ที่ก็เป็นเพื่อนผมก็พ่นสีมาด้วยกัน, RUKKIT หรือ ตั้ม mamafaka ก็เป็นรุ่นราวคราวเดียวกันที่เริ่มต้นมาช่วงใกล้ๆ กัน พอถึงจุดหนึ่งพวกเราก็เริ่มจับงานนิทรรศการในแกลเลอรีโดยเส้นทางที่เริ่มต้นทำให้ได้มารู้จักกันก็คืองานกราฟฟิตี้หรืองานสตรีทอาร์ตนั่นเอง (Graffiti Creator) 

จริงๆ แล้วผลงานกราฟฟิตี้มันมีบทบาทในกระแสสังคมได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะศิลปินเลือกพื้นที่ที่เป็นจุดเด่นของเมืองทำให้ได้อยู่ในกระแสสังคม ศิลปินเองก็จะใช้กระป๋องสเปรย์เป็นอาวุธในการบอกเล่าและสะท้อนสังคม แต่ก่อนผมก็สะท้อนเรื่องสิทธิสัตว์ผ่านงานกราฟฟิตี้เช่นกัน

จากความคิดที่มองกราฟฟิตี้ทำให้กำแพงเลอะเทอะ ตอนนี้ความคิดคนทั่วไปเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

ตอนนี้มันถึงขั้นเลาะสังกะสี เลาะกำแพงเอาไปติดบ้านเพราะมันเป็นการสร้างมูลค่า อย่างเช่นงานที่ผมเคยไปพ่นสี Art Fest ของพัทยาร่วมกับศิลปินดังๆ ระดับนานาชาติ เช่น BEN EINE, The London Police พวกเขาเป็นศิลปินดังที่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก แต่คนที่รู้จักตามไปเลาะป้ายที่พ่นกันกลับบ้านหรืองานของแบงก์ซี (Banksy) เองก็โดนเลาะยกไปเก็บไว้ 

แต่ก่อนที่ Docklands, Melbourne จะมีสติกเกอร์แปะบนเสาเต็มเลย ตอนนี้คนลอกออกเก็บไว้จนเกลี้ยงหมดเอาไปขายอีเบย์ก็มี เพราะบางซีรีส์เป็นสติกเกอร์ที่แจกเฉพาะในงานนิทรรศการเท่านั้นไม่มีขายทั่วไปจึงเป็นที่ต้องการเก็บสะสมไว้

มองภาพสตรีทอาร์ตและกราฟฟิตี้ของไทยในอีก 5-10 ปีมีหน้าตาอย่างไร

เด็กรุ่นใหม่เขาเก่งกว่าเราเยอะ บางทีผมเองก็ต้องขอคำแนะนำจากรุ่นน้องๆ สำหรับผมเองก็เพิ่งเริ่มไปแสดงงานที่ต่างประเทศเมื่อไม่นานมานี้หลังจากโควิด ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะไปเลย แต่รุ่นน้องๆ เขาไปกันมาหมดแล้ว เดี๋ยวนี้โลกมันแคบ ไม่ใช่แค่กราฟฟิตี้ แต่ศิลปะมันพาคนมาเข้าใจกันมากขึ้น 

ยุคก่อนที่ผมเริ่มต้นทำงานพ่นสีเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น ได้พ่นในหลืบๆ มีไว้ตกแต่งงาน ระหว่างดีเจร้องและบีบอยเต้นเพื่อให้ครบซีนฮิปฮอป แต่ปัจจุบันซีนของกราฟฟิตี้ทำให้ศิลปินแบบผมได้มาร่วมงานกับ จิม ทอมป์สัน ก็เป็นความเปลี่ยนแปลงที่แสดงถึงยุคสมัยของกราฟฟิตี้ได้ชัดเจน นักสะสมที่ผมรู้จักเดี๋ยวนี้เขาไม่ได้เก็บสะสมรถหรือเฟอร์นิเจอร์กันแล้วนะ เขาหันมาเก็บงานศิลปะ พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องศิลปะกันมากขึ้น ทั้งงาน Sculpture ภาพพิมพ์ และภาพต้นฉบับ

จากที่เห็น โก๋เอ็ม ดูเป็นคนยุ่งตลอดเวลา ถ้ามีวันว่างๆ หนึ่งวันจะเอาเวลาไปทำอะไร

สำหรับผมไม่มีวันว่างเลย ตั้งแต่หลังโควิดมา การเป็นจิตอาสาช่วยเหลือสัตว์มากว่า 10 ปี สัตว์ที่เลี้ยงมาแก่ตัวและป่วย ยิ่งทำให้ต้องเริ่มออกไปแสดงงานที่ต่างประเทศเพื่อที่จะได้ขายผลงานได้ราคาสูงกว่าที่เมืองไทย คิวเรเตอร์ที่ช่วยดูแลงานพอรู้ว่าเบื้องหลังของการทำงานศิลปะของผมคือการเอาเงินไปช่วยเหลือสัตว์พวกนี้ เขาก็ยินดีที่จะหักในราคาต่ำกว่าคนอื่น 

แต่พอไปก็ไม่วายกังวลใจเพราะทำให้ไม่มีคนดูแลสัตว์ ทีมงานก็มีจำนวนจำกัด แต่ว่าก็ต้องไป เป็นโปรเจกต์ที่หยุดไม่ได้ ไม่มีวันว่าง ถ้าว่างก็เขียนรูป เพราะพวกเขาก็เป็นภาระหน้าที่ของผม เช่นเดียวกับทุกคนที่มีภาระของตัวเอง 

สำหรับใครที่กำลังมองหาสัตว์เลี้ยง ก่อนที่จะควักกระเป๋าซื้อน้องหมา น้องแมว แวะมาดูที่เพจ Goh-m Family กันก่อน

ส่วนใครที่ติดใจอยากจับจองคอลเลกชันพิเศษของ JIM THOMPSON x GOH M สามารถเข้าไปลองหยิบ ลองจับกันได้ที่สโตร์ จิม ทอมป์สัน ทุกสาขา หรือ กดสั่งกันได้ในเว็บไซต์ https://www.jimthompson.com/ 


ภาพ: สันติพงษ์ จูเจริญ

AUTHOR