ตามไปดูรถไฟตู้นอนใหม่เอี่ยมของไทย

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินข่าวใหญ่ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยสั่งซื้อรถไฟตู้นอนล็อตใหม่และล็อตใหญ่มาจากประเทศจีน
นี่เป็นการซื้อรถไฟตู้นอนแบบใหม่เอี่ยมครั้งแรกในรอบ 20 ปีของไทย
รถไฟชุดนี้จึงเต็มไปด้วยสิ่งพิเศษที่รถไฟไทยไม่เคยมีมาก่อน
จนหลายคนต้องขยี้ตาดูว่า นี่มันคือรถไฟไทยจริงๆ หรือ?

ไม่ว่ารถไฟชุดนี้จะอยู่ที่ไหน
ไม่ว่ารถไฟชุดนี้จะเป็นของใคร ถ้าหากเรารู้ เราจะตามไปดู

มันคือรถอะไร

ปัจจุบันนี้การรถไฟแห่งประเทศไทยมีรถไฟตู้นอนให้บริการอยู่แล้ว
แต่เมื่อด้วยอายุอานามที่มากขึ้นจึงได้เวลาหาของใหม่มาใช้แทนของเก่า
การสั่งซื้อคราวนี้มีทั้งหมด 115 คัน (เรียกแบบที่คุ้นๆ
กันก็คือ 115 ตู้) แบ่งได้เป็น 4
ประเภท

1.
ตู้นอนชั้นหนึ่ง (เรียกเต็มยศว่า
รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 1) 9 คัน

2.
ตู้นอนชั้นสอง (รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2)
88 คัน ในจำนวนนี้ 9 คันมีระบบอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้รถเข็นและผู้สูงอายุ

3.
ตู้เสบียง (รถปรับอากาศขายอาหาร) 9 คัน

4.
รถผลิตกระแสไฟฟ้า (รถปรับอากาศไฟฟ้ากำลัง)
9 คัน

รถเหล่านี้จะถูกนำมาเรียงต่อกันเป็นขบวน ซึ่งแต่ละขบวนจะมีทั้งหมด 13
คัน (ไม่รวมหัวจักรที่ใช้ลาก) ประกอบด้วย ตู้นอนชั้นหนึ่ง 1 คัน ตู้นอนชั้นสอง 9
คัน ตู้นอนชั้นสองที่มีระบบรองรับรถเข็น 1 คัน
ตู้เสบียง 1 คัน ตู้ไฟฟ้ากำลัง1 คัน รวมเป็น 13 คัน รองรับผู้โดยสารได้ 420 ที่นั่ง รถทั้ง 115
คัน จะนำมาจัดเรียงเป็น ขบวนรถชุด ทั้งหมด 8 ขบวน และสำรอง 1 ขบวน

วิ่งเส้นไหน

รถชุดทั้ง
8 ขบวน จะนำไปวิ่งเป็นรถด่วนพิเศษใน 4 เส้นทางหลัก
เส้นทางละ 2 ขบวนต่อวัน อีกขบวนเก็บไว้เป็นรถสำรอง
เส้นทางที่วิ่งมีดังนี้ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่, กรุงเทพฯ – อุบลราชธานี, กรุงเทพฯ – หนองคาย และ กรุงเทพฯ – หาดใหญ่

รถไฟชุดนี้เรียกว่าอะไร

ตอนนี้ชาวรฟท. เรียกมันตามชื่อโครงการที่เสนอขออนุมัติงบประมาณว่า
‘ชุดรถโดยสารใหม่ 115 คัน’ ซึ่งต่อไปจะมีการตั้งชื่อให้รถไฟแต่ละขบวน แบบเดียวกับรถด่วนพิเศษนครพิงค์
รถด่วนพิเศษทักษิณ ซึ่งจะเป็นชื่อที่ฟังแล้วรู้เลยว่าจะวิ่งในเส้นทางไหน

รถไฟชุดนี้มีอะไรให้น่าตื่นเต้นบ้าง

1.
จอ LCD สุดล้ำ

ทุกที่นั่งบนรถไฟตู้นอนชั้น
1 จะมีหน้าจอ LCD ส่วนตัว ระบบสัมผัส ขนาด 14 นิ้ว ให้บริการ Passenger Information System ให้ข้อมูลของขบวนรถแบบเดียวกับเครื่องบิน
แสดงสถานะว่าตอนนี้รถไฟถึงสถานีไหนแล้ว แสดงภาพถ่ายดาวเทียมบอกตำแหน่งขบวนรถ
และระบบมัลติมีเดียเพื่อความบันเทิง
แล้วก็ยังมีระบบนาฬิกาปลุก ที่ตั้งปลุกได้ทั้งตามเวลาและตามสถานี
รวมถึงยังใช้หน้าจอนี้กดสั่งอาหารจากตู้เสบียงได้โดยตรง
จากนั้นจะมีพนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟให้ถึงที่ ส่วนในตู้นอนชั้นสอง จะมีจอ LCD
ติดไว้ 4 จุด เพื่อแจ้งตำแหน่งสถานี
สถานีต่อไป ตำแหน่งรถ และวิดีโอต่างๆ ฉายๆ วนไป แบบจอรวมในเครื่องบิน

2. มีน้ำอุ่นให้อาบ

ตู้นอนชั้นหนึ่งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกน่าอิจฉาอีกอย่างก็คือ
ห้องอาบน้ำที่ไม่ได้มีแค่ฝักบัวธรรมดาๆ แต่มาพร้อมน้ำอุ่นเลยทีเดียว

3.
ระบบอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ใช้รถเข็น

รถไฟทุกขบวนจะมีหนึ่งตู้ที่มีระบบอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้รถเข็นตามมาตรฐานสากล
ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำขนาดใหญ่ที่เอารถเข็นเข้าไปได้ ทางเดินกว้างขวาง
และลิฟต์บริเวณประตูที่ยกรถเข็นขึ้นลงพื้นชานชาลาได้ทุกแบบ

4.
มีกล้องวงจรปิดทุกตู้

ทุกตู้มีระบบกล้องวงจรปิดช่วยสอดส่องดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสาร

5.
พนักงานชุดใหม่

พนักงานที่จะให้บริการในรถชุดใหม่นี้จะเป็นพนักงานกลุ่มใหม่
ซึ่งได้รับการอบรมมาเป็นพิเศษ สื่อสารภาษาอังกฤษได้
และสวมเครื่องแบบที่ออกแบบมาเป็นพิเศษด้วย

6.
สุขาระบบปิด

รถไฟชุดปัจจุบันที่ใช้กันอยู่เป็นสุขาระบบเปิด
คือของเสียจากสุขาจะถูกปล่อยลงบนทางรถไฟ
แต่รถไฟชุดนี้จะมีระบบเก็บของเสียที่มิดชิด ระบบสุญญากาศแบบเครื่องบินทำให้สามารถใช้บริการสุขาได้แม้ว่าจะเป็นช่วงที่รถจอดที่สถานี

7.
บริการอาหารแบบใหม่

ตู้เสบียงในรถชุดนี้จะดูโมเดิร์นขึ้น
และไม่มีครัวที่ประกอบอาหารเหมือนรถไฟที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน จึงไม่มีการประกอบอาหารบนรถ
แต่ใช้วิธีอุ่นอาหารแทน
แล้วทางเดินภายในรถไฟรวมถึงทางเชื่อมระหว่างตู้ที่สะดวกสบายขึ้น
ก็จะทำให้พนักงานสามารถเข็นรถบริการอาหารและเครื่องดื่มไปทั่วรถไฟแบบเดียวกับในเครื่องบินด้วย

8.
มีปลั๊กไฟทุกที่นั่ง

ถ้าใครชอบนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือระหว่างทาง
หรือเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กทำงาน ก็ไม่ต้องกลัวแบตหมด
เพราะทุกที่นั่งมีปลั๊กให้เสียบสายชาร์ตได้สบายเลย

9.
เทคโนโลยีใหม่

รถไฟชุดนี้มีเทคโนโลยีใหม่หลายอย่าง
เช่น ระบบการผลิตไฟฟ้าจาก Power
Car แล้วจ่ายไฟฟ้าให้ทั้งขบวน
รวมทั้งระบบแอร์ที่เชื่อมทั้งขบวนเข้าด้วยกัน
จึงทำให้ประหยัดพลังงานและเงียบกว่ารถแบบเดิม
ส่วนระบบเบรกก็เปลี่ยนมาใช้ระบบดิสก์เบรกแบบเดียวกับรถไฟความเร็วสูงและรถไฟฟ้าจึงมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

10.
เร็วกว่าเดิม

รถไฟชุดนี้ตัวโบกี้ (ชุดล้อ) ของรถโดยสารรองรับการทำความเร็วได้สูงสุด
120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่จะวิ่งอยู่ที่ 90-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในการให้บริการ
ซึ่งความเร็วนี้รวมถึงการจอดที่น้อยลงกว่าเดิมจะทำให้ถึงที่หมายปลายทางเร็วกว่าเดิม
อย่างเส้นกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ก็จะลดระยะเวลาเดินทางจาก 13 ชั่วโมง
เหลือ 12 ชั่วโมง

จะใช้ได้เมื่อไหร่

ตอนนี้รถไฟเดินทางจากจีนมาถึงท่าเรือแหลมฉบังแล้ว
3 ชุด (ชุดละ 13 คัน) และกำลังอยู่ในช่วงการวิ่งทดสอบระบบ จะพร้อมให้บริการในเดือนตุลาคม 2559
เริ่มต้นที่เส้นทาง กรุงเทพฯ – เชียงใหม่
และกรุงเทพฯ – อุบล

อยากขึ้นต้องทำยังไง

เนื่องจากรถไฟเหล่านี้เป็นรถไฟที่วิ่งประจำทางปกติ
ก็สามารถซื้อตั๋วได้ตามปกติ โดยช่วง 3 เดือนแรก
จะมีราคาเท่ารถไฟตู้นอนที่ให้บริการในปัจจุบัน หลังจากนั้นจะปรับราคาขึ้น ใครที่ห่างเหินการขึ้นรถไฟมานาน
ก็น่าลองกลับมาใช้บริการรถรุ่นนี้ดูอีกสักครั้ง เผื่อจะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ
ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยตั้งใจมอบให้ผู้โดยสารทุกคน

AUTHOR