ทั้งประหยัดและเป็นมิตรกับโลก รวมเคล็ดลับเลือกหนังสือที่เข้ากับไลฟ์สไตล์เพื่อให้อยู่กับเราไปนานๆ

แม้จะมีสิ่งดึงดูดใจมากมายบนโลกออนไลน์ อย่างการดูหนัง เล่นเกม ฟังเพลง หรือชอปปิงที่สามารถทำผ่านมือถือเครื่องเดียว แต่หนังสือก็ยังเป็นสิ่งที่ได้ใจชาวเจน Z ไปเต็มๆ ไม่ว่าจะเพราะความคลาสสิกที่ได้ลูบๆ จับๆ หนังสือเป็นเล่มจริงๆ หรือความรู้สึกอยากออฟไลน์จากโลกออนไลน์บ้าง สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้คนรุ่นใหม่หันมาอ่านหนังสือกันมากขึ้น 

แต่ถึงแม้คนรุ่นใหม่จะหันมาอ่านหนังสือ แต่ราคาหนังสือก็ไม่ได้ลดลงตาม ทำให้บางครั้งก็ต้องคอยคำนวณแล้วคำนวณอีกว่าต้องไม่ทำร้ายกระเป๋าเงินมากเกินไป แถมในมุมของสิ่งแวดล้อม การผลิตหนังสือก็ไม่ต่างจากกิจกรรมอื่นๆ ที่ทิ้งร่องรอยคาร์บอนฟุตพรินต์ไว้เช่นกัน ดังนั้นการซื้อมากเกินจำเป็น นอกจากจะไม่เป็นมิตรกับกระเป๋าแล้ว ยังไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย

หากเรายังหลงใหลในหนังสืออยู่ จะมีวิธีไหนที่ช่วยให้เรายังอ่านหนังสือที่รักและไม่ทำร้ายโลกไปพร้อมกันได้บ้างนะ วันนี้เราเลยรวมวิธีที่ช่วยให้การอ่านหนังสือครั้งนี้คุ้มค่ามากขึ้นมาฝากกัน

พรินต์หรืออีบุ๊กส์ แบบไหนกันนะที่เป็นมิตรกับโลกมากกว่ากัน

ก่อนอื่นเราอยากชวนทุกคนมาดูปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ จากการผลิตหนังสือกันก่อน ซึ่งเจ้า CO2 เป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน ดังนั้นยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็หมายถึงมีส่วนทำลายชั้นบรรยากาศมากขึ้นเท่านั้น

กลับมาที่การผลิตหนังสือ อันที่จริงหนังสือก็มีส่วนปล่อยก๊าซ CO2 ไม่น้อยเลย จากการคำนวณโดยการศึกษาวิจัยของสถาบันด้านสิ่งแวดล้อม Oeko อธิบายว่าการผลิตหนังสือ 10 เล่ม จำนวน 200 หน้า ถ้าผลิตด้วยกระดาษจากเส้นใยสดของต้นไม้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 11 กิโลกรัม ส่วนหนังสือจากกระดาษรีไซเคิลปล่อยก๊าซดังกล่าว 9 กิโลกรัม (น้อยกว่าประมาณ 2 กิโลกรัม) อย่างไรก็ตาม แม้การใช้กระดาษรีไซเคิลจะใช้แรงงานสิ้นเปลืองพลังงานมากกว่า แต่สถาบันด้านสิ่งแวดล้อมก็แนะนำว่าดีกว่าการตัดต้นไม้เพื่อทำหนังสืออยู่ดี

ในขณะที่เครื่องอ่านอีบุ๊ก หากเราเลือกอ่านหนังสือ 10 เล่ม เท่าๆ กับด้านบน เครื่องอ่านอีบุ๊กจะปล่อย CO2 ประมาณ 8 กิโลกรัม ใกล้เคียงกับสมาร์ตโฟน แม้จะส่งผลกระทบน้อยกว่า แต่สิ่งที่ต้องคิดถึงด้วย คืออายุการใช้งาน โดยเราต้องมั่นใจว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะสามารถใช้งานได้นานๆ เพื่อทดแทนหนังสือที่พิมพ์ออกมาให้มากที่สุด เพราะหากต้องเปลี่ยนเครื่องอ่านอีบุ๊กบ่อยๆ จากที่ช่วยลดการปล่อย CO2 ก็อาจกลายเป็นปล่อยเพิ่มจากการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์แทน

ดังนั้นไม่ว่าเราจะเป็นนักอ่านสายไหน รูปเล่มหรืออีบุ๊กส์ สิ่งสำคัญที่ควรนึกถึงก่อนตัดสินใจซื้อ คือความทนทานและความคุ้มค่า หากเป็นคนชอบอ่านหนังสือใหม่เรื่อยๆ ไม่ซีเรียสเรื่องการเก็บสะสม การซื้อหนังสือปกอ่อน หรือกระดาษรีไซเคิลก็ดูเป็นทางเลือกที่ดี แต่ถ้าใครอยากเก็บหนังสือไว้นานๆ ทนทาน อย่างหนังสือเด็ก หนังสือปกแข็งคุณภาพดีน่าจะตอบโจทย์มากที่สุด ส่วนถ้าใครมองเรื่องความคุ้มค่าระยะยาว ไม่ต้องการเพิ่มพื้นที่เก็บหนังสือ เครื่องอ่านอีบุ๊กเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

วิธีเลือกอ่านหนังสือที่คุ้มค่า

การรู้นิสัยการอ่านของตัวเองนอกจากจะทำให้เลือกหนังสือที่เข้ากับตัวเองแล้ว ยังช่วยให้ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนโดยไม่จำเป็นอีกด้วย

แต่นอกจากวิธีการเลือกหนังสือแล้ว ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ทำให้เราสามารถอ่านหนังสือได้อย่างเป็นมิตรกับโลกอีกหลายวิธี เช่น

ยืมแทนการซื้อใหม่ — แทนที่จะซื้อใหม่ บางทีการยืมหนังสือจากเพื่อน เข้าร่วมกิจกรรมสลับหนังสือ หรืออ่านจากห้องสมุดใกล้บ้าน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้หนังสือเล่มหนึ่งถูกอ่านซ้ำมากที่สุด เพราะหนังสือจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งเมื่อมีคนเปิดอ่านเล่มนั้น ดีกว่าปล่อยให้ตั้งอยู่บนชั้นหนังสือโดยที่ไม่มีใครไปแตะมันเลยนะ

ซื้อหนังสือมือสอง — ไม่ต่างจากเสื้อผ้ามือสอง หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หนังสือมือสองก็เป็นวิธีที่ทำให้เราได้ใช้ของอย่างคุ้มค่าเช่นกัน นอกจากจะได้หนังสือลดราคาแล้ว การที่เราซื้อหนังสือมือสองยังเหมือนช่วยให้หนังสือเล่มนั้นไม่ต้องถูกกำจัดด้วยการฝังกลบให้หายไปอีกด้วย

เลือกร้านหนังสือ — อีกหนึ่งวิธีที่เราทำได้เพื่อให้การอ่านครั้งนี้เป็นมิตรกับโลกมากที่สุด คือการจับจ่ายเงินให้กับบริษัทที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน หรือแม้กระทั่งสนับสนุนร้านหนังสือท้องถิ่น เพื่อลดปริมาณคาร์บอนหนังสือจากการขนส่ง แถมยังช่วยให้ร้านหนังสืออิสระอยู่กับเราไปอีกนานๆ ด้วยนะ

สุดท้ายไม่ว่าเราจะชอบหนังสือแบบไหน แต่สิ่งสำคัญคือการเลือกหนังสือที่เข้ากับไลฟ์สไตล์เรา และพยายามอ่านแต่ละเล่มอย่างคุ้มค่ามากที่สุด หากสุดท้ายหนังสือเล่มนั้นไม่ใช่ทางของเราจริงๆ การส่งต่อให้กับคนที่ต้องการก็เป็นวิธีที่ดีเหมือนกันนะ

AUTHOR

ILLUSTRATOR

กุลธิดา อิสลาม

คอนเทนต์ครีเอเตอร์ผู้อยากเป็นเชฟ