ตั้งแต่ผมเรียนจบมาเกือบสิบปี ผมมีตำราตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี และกองเอกสารที่ถ่ายสำเนาเก็บไว้ตั้งแต่ปีหนึ่ง ซึ่งบอกตัวเองว่า ‘อย่าเพิ่งทิ้ง’ เพราะน่าเสียดายที่เราร่ำเรียนวิชาพวกนั้นมาแทบตายแล้วจะให้ทิ้งกระดาษที่มีลายมือของเราไปได้ยังไงกัน และผม (น่าจะ) เป็นเหมือนคนทั่วไปที่มีเสื้อผ้าน้อยชิ้น (ในความคิดของผม) แต่มักจะเก็บเสื้อผ้าซ้อนทับกันจนแน่นเต็มกล่องหรือแขวนเบียดกันไว้ในตู้เสื้อผ้า พอจะหาแต่ละครั้ง เราจะบุกตะลุยรื้อในกองกันอย่างหัวเสีย แล้วไม่นานมันก็จะกลับมารกอีก
ผมใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่นาน จนช่วงหนึ่งผมเริ่มรู้สึกเพลียอยู่บ่อยๆ ง่วงนอนตลอดเวลา และหลับระหว่างทำงาน ตอนขับรถกลับบ้านผมจะง่วงมาก มีอาการวูบเหมือนคนหลับใน ผมพยายามแก้ปัญหาด้วยการนอนให้เร็วขึ้นแต่ก็ยังเป็นเหมือนเดิม คิดว่าตัวเองคงทำงานหนักมากเกินไป วันไหนที่ได้หยุดพักผ่อนจริงๆ ผมจะนอนตั้งแต่สามหรือสี่ทุ่มและตื่นมาตอนเที่ยง ลงมาอาบน้ำกินข้าว และเผลอหลับตั้งแต่บ่ายโมงจนตื่นมาอีกทีตอน 6 โมงเย็นหรือหนึ่งทุ่ม เป็นแบบนี้ทุกครั้ง
พอพฤติกรรมเปลี่ยนไป นิสัยของผมก็ค่อยๆ เปลี่ยนตาม ทั้งอ่อนไหวง่าย ขี้หงุดหงิด โมโหจุดเดือดต่ำ พูดจาขึ้นเสียง ที่เลวร้ายกว่านั้นคือเริ่มพูดจาโกหก ไม่มั่นใจในตัวเอง รู้สึกตัวเองด้อยค่า และไม่มีความภาคภูมิใจ
ผมมีปัญหาหลายๆ ด้าน ทั้งทะเลาะวิวาทกับคนในบ้าน มีปัญหาเรื่องความรัก โลเล สับสน ไม่กล้าตัดสินใจ และวางแผนจะลาออกจากที่ทำงาน เพราะรู้สึกว่าหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานมองว่าเราเป็นพวกคนขี้โรค อ่อนแอ ใจเสาะ หรือขี้แพ้
คนรอบตัวที่หวังดีก็จะคอยให้คำแนะนำง่ายๆ ว่าให้ไปออกกำลังกาย เล่นกีฬา เที่ยว หรือไปทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้ปล่อยวางได้บ้าง สำหรับพวกเขา คำพูดที่ช่วยปลุกและปลอบใจเหล่านั้น มันช่างฟังดูง่ายไปหมด
แต่คำถามสำหรับผม ผมจะต้องทำอะไรถึงจะเรียกว่า ‘ปล่อยวาง’
ผมพยายามแก้ปัญหาตามคำแนะนำของคนอื่นๆ ลองไปไหว้พระสวดมนต์เพื่อหาความสงบ นั่งสมาธิ ฟังธรรมะทุกเช้า ออกเดินทางท่องเที่ยว ลองปรึกษานักจิตวิทยา รวมถึงพบหมอเพื่อแก้ไขปัญหาการนอน ช่วงที่ต้องรอผลตรวจการนอนหลับ ผมมานั่งทบทวนว่าจะเอาตัวรอดหรือบรรเทาความว้าวุ่นใจจากปัญหาเหล่านี้อย่างไรได้บ้าง
ช่วงนั้นผมเริ่มอ่านหนังสือการจัดระเบียบบ้านที่ชื่อว่า ชีวิตดีขึ้นทุกๆ ด้านด้วยการจัดบ้านแค่ครั้งเดียว ของ คนโด มาริเอะ แต่ไม่ได้สนใจที่จะลองทำอย่างจริงจัง จนวันหนึ่งที่ผมนั่งอยู่ในห้องนอนและมองไปรอบห้อง จู่ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าผมพยายามจะเปลี่ยนบรรยากาศรอบตัวด้วยการออกไป ‘ข้างนอก’ แล้วหวังว่าจะแก้ปัญหาให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น แต่สุดท้ายต้องมาเผชิญหน้ากับเรื่องเก่าๆ เมื่อกลับมานอนอยู่บนเตียงตัวเดิมอยู่ดี
ในความว้าวุ่นใจ สายตาเหลือบไปเห็นกองเสื้อผ้าที่วางรกพร้อมกองเอกสารและหนังสือ แวบหนึ่งผมฉุกคิดและตัดสินใจทันทีว่า ผมจะเลิกหนีปัญหาด้วยการเดินออกไปข้างนอก และจะเข้าไปเผชิญหน้ากับ ‘ข้างใน’ ด้วยการเปลี่ยนแปลงข้าวของที่อยู่รอบตัวเราทั้งหมดแทน
ผมเริ่มต้นจากการเทเสื้อผ้าทั้งหมดมากองไว้ คัดสรร แยก ทิ้ง เก็บ ส่งต่อ บริจาค ฝึกหัดพับผ้าด้วยตนเองจากการอ่านหนังสือและเว็บไซต์ รวบรวมหนังสืออ่านเล่นที่ผมเก็บมาตั้งแต่สมัยประถมจนถึงตำราเรียนทุกเล่ม มากองเพื่อคัดแยก มันทรมานใจมากๆ ที่ต้องบอกลาหนังสือบางเล่มที่เราเก็บไว้มานานหลายปี หรือต้องทิ้งเอกสารที่เขียนด้วยลายมือของตัวเอง
ผมหยิบหนังสือขึ้นมา บอกขอบคุณมันที่ได้ทำหน้าที่ที่ดีมาตลอด ตอนนี้ผมไม่จำเป็นต้องใช้อีกต่อไปแล้ว ยินดีจะปล่อยไปเพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งของในปัจจุบัน
ตอนที่ค่อยๆ วางหนังสือแยกเอาไว้ในกองที่จะบริจาค จู่ๆ ก็มีความรู้สึก ‘ปิ๊ง’ ขึ้นมาในหัวว่า “เฮ้ย นี่ไง นี่แหละคือการปล่อยวางที่เราเฝ้าถามหา” และคำตอบที่โผล่มาไม่ทันคาดคิดก็ทำให้ผมเริ่มเข้าใจว่าการปล่อยวางนั้นมันต้องใช้ ‘ความรู้สึก’ ไม่ใช่ ‘ความคิด’
หลังจากการจัดระเบียบบ้านครั้งใหญ่ ผมเริ่มมีสมาธิมากขึ้น ค่อยๆ มองปัญหาและปล่อยวางเรื่องที่ไม่จำเป็นไปทีละเรื่อง หลายสัปดาห์ถัดมา หมอแจ้งผลตรวจการนอนหลับให้ฟังว่า ตัวผมมีปัญหาการหยุดหายใจขณะหลับ ทำให้ร่างกายนอนไม่พอและส่งผลต่ออารมณ์ ต้องใช้เครื่องปรับแรงดันช่วยหายใจขณะนอนไปตลอดชีวิต พอรู้สาเหตุและแก้ไขได้แล้ว สภาพร่างกายและจิตใจก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ
จากวันนั้น การเก็บและทิ้งสิ่งของทำให้ผมค้นพบการปล่อยวางจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวได้ง่ายๆ ช่วยเยียวยาความรู้สึก อารมณ์ และประคองชีวิตให้ผ่านพ้นช่วงวันเวลาแห่งความสับสนมาได้สำเร็จ
ผมเชื่อว่าการจัดระเบียบบ้านมีประโยชน์มากกว่าแค่ทำให้บ้านหายรก แต่มันคือ การ ‘สร้างตัวตนใหม่ในคนคนเดิม’ ให้กล้าเผชิญหน้ากับตัวเอง ไม่ยึดติดกับอดีต ไม่หวาดกลัวอนาคต และกล้าที่จะก้าวมาอยู่กับปัจจุบัน