วันที่ผมเจอกับห้าสหายในห้องสมุด

ผมเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อนตั้งแต่เด็ก

และผมใช้เวลานานหลายปีในการยอมรับว่าประโยคนี้เป็นความจริง
เนื่องด้วยหลายปัจจัย หนึ่งคือการไม่ยอมรับตัวเองของผมที่มีความคิดแปลกแยกจากคนส่วนใหญ่ และการที่ผมอยู่ในสังคมที่คนหมู่มากมักจะชนะเสมอ
ทำให้การอยู่คนเดียวเป็นเรื่องน่าอาย การมีเพื่อนน้อยเป็นความแพ้พ่ายในชีวิต

ตอนเด็กๆ
ผมเป็นคนตัวเล็กที่สุดในห้อง สมัยเรียนชั้นประถม ผมมีความทรงจำเดียวในหัวคือการร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียน
เพราะเมื่อไหร่ที่ขึ้นรถรับส่งนักเรียนไปแล้วเด็กที่ตัวโตกว่าจะรุมแกล้งทันทีที่รถเลี้ยวพ้นหัวมุมบ้าน
หลายครั้งที่ตอนเย็นพ่อกับแม่ต้องมารับที่โรงเรียนเพราะผมไม่กล้าขึ้นรถนักเรียนกลับบ้าน

ผมมีวิธีแก้ปัญหาแบบเด็กๆ
คือการทำตัวให้เป็นที่น่าเอ็นดูของผู้ใหญ่ เพราะถ้าวันไหนโดนเพื่อนแกล้งอีก ผมจะได้ไปฟ้องครูให้มาจัดการ
ซึ่งวิธีนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือผมได้ทำกิจกรรมต่างๆ
ของโรงเรียนแทบทุกอย่าง ข้อเสียคือโลกของผมกับเพื่อนดูจะห่างกันออกไปมากขึ้น
แต่ในช่วงเวลานั้นดูจะเป็นสิ่งที่ผมต้องการอย่างที่สุด

ตอนเรียนมัธยมต้น
ผมได้มาเรียนในโรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่งในตัวจังหวัด ความเป็นคนขี้แพ้ยังติดตามมาจนถึงที่นี่
ผมยังคงโดนเพื่อนแกล้งบ้าง แต่ก็ไม่มากเท่ากับตอนประถม ผมเก็บตัวมากขึ้น
เงียบมากขึ้น และโดดเดี่ยวมากขึ้น

อีกครั้งที่วิธีแก้ปัญหาของผมคือการทำกิจกรรมทุกอย่างในโรงเรียน
และเป็นการสมัครใจไปทำเพียงลำพังกับรุ่นพี่ ม.ปลาย
เพราะเขาเหล่านั้นเอ็นดูเด็กที่อายุน้อยกว่า ไม่ใช่เพราะความอยากเด่นหรือมีชื่อเสียงในโรงเรียน
แต่เพียงเพื่อบอกให้เพื่อนร่วมชั้นรู้ว่ายังมีผมอยู่บนโลก

น่าแปลกที่เวลาล่วงเลยมาหลายปี
จนวันนี้ผมเรียนในระดับปริญญาโทแล้ว แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต ผมกลับเห็นเด็กชายคนหนึ่ง
เป็นเด็กแปลกหน้าที่ผมมองด้วยความเอ็นดูและสงสาร เด็กที่เปลี่ยนแปลงตัวเองมามากมาย
ไม่ใช่เปลี่ยนเพราะหวังการยอมรับ แต่เปลี่ยนเพราะความเข้าใจโลกรอบตัวมากขึ้นกว่าเดิม

ใช่ว่าอยู่ๆ ผมจะลุกขึ้นมายอมรับว่าผมเคยเป็นคนขี้แพ้มาก่อน แต่เป็นเพราะวันหนึ่ง
ผมได้กลับมานั่งทบทวนถึงชีวิตที่ผ่านมา นึกถึงเด็กชายคนนั้น
เด็กคนที่ก่อร่างสร้างขึ้นมาเป็นผมในปัจจุบัน แล้วผมก็พบแง่มุมเล็กๆ ในชีวิตที่เปลี่ยนความคิดผมไปตลอดกาล

ตอนนั้นผมเรียนอยู่ ม.3 หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็เดินเข้าไปในห้องสมุด
ผมจำบรรยากาศของห้องสมุดวันนั้นได้ดี ในนั้นมีโต๊ะสำหรับนั่งอ่านหนังสือเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยม
6 โต๊ะ มีเก้าอี้ด้านละ 3 ตัว
ทุกโต๊ะมีนักเรียนจับจองเป็นกลุ่ม นั่งคุยกันเสียงดังเป็นปกติ
หรือนี่เองที่ทำให้ผมไม่ค่อยอยากเข้าห้องสมุด ไม่ใช้เพราะเสียงดัง แต่ใครๆ ก็มานั่งกันเป็นกลุ่ม

ผมรีบเดินไปที่ชั้นหนังสือทันที
ไม่รู้ว่าเท้าพาตัวเองไปหมวดไหนของชั้นหนังสือ ผมหยิบหนังสือมั่วๆ
มาหนึ่งเล่ม ชื่อว่า ห้าสหายผจญภัย พอเริ่มอ่านหน้าแรกก็รู้สึกสนุกไปรับเรื่องราวทันที
ในวัยนั้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสามารถยืมหนังสือกลับบ้านได้ ผมใช้เวลา 1 สัปดาห์อ่านหนังสือหนา 170
หน้า ผมแวะมาห้องสมุดทุกวัน และอ่านมันทุกวัน
ไม่นานผมก็จมดิ่งสู่โลกของตัวอักษร

การผจญภัยของทั้งห้าสหายพาผมโลดแล่นไปบนเรื่องราวในหน้ากระดาษหน้าแล้วหน้าเล่า
ผมซึมซับทุกอย่างที่ตัวละครคิดและรู้สึก ผมทึ่งกับภาพต่างๆ ที่ปรากฏในหัวขณะที่อ่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ผมใช้เวลาตลอด ม.3 อ่านหนังสือนิยายที่มีอยู่เพียงน้อยนิดในห้องสมุดจนหมดชั้น

หลังจากนั้นเป็นต้นมา
ผมก็อ่านหนังสือมาเรื่อยๆ อ่านด้วยความสุข อ่านด้วยความตื่นตาตื่นใจ

มันยากที่จะบอกว่าหนังสือเล่มไหนที่ทำให้ผมเข้าใจโลกมากขึ้น
และยากเป็นเท่าตัวหากจะต้องเลือกมาเพียงเล่มเดียวที่คิดว่าชอบที่สุด
แต่มันไม่ยากสำหรับผม ถ้าจะบอกว่าหนังสือคือสิ่งที่ทำให้ผมยอมรับตัวเองได้อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ผมนึกถึงคำของนักเขียนท่านหนึ่ง ชาติ กอบจิตติ บอกว่า ‘ผมไม่เชื่อว่าคนที่รักการอ่านหนังสือจะต้องมาเสียคนเพราะการอ่านหนังสือ
คนที่ไม่รักการอ่านนั่นต่างหากที่น่าเป็นห่วง’

จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม
ผมคิดว่าผมเสียทั้งชีวิตให้กับหนังสือไปแล้ว และผมมีความสุขที่เป็นแบบนี้

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

AUTHOR