วันที่ฉันพบว่าตัวเองเติบโตขึ้นแล้ว

“เธอต้องผ่อนคลายบ้างนะ เพราะเธอจริงจังกับชีวิตเหลือเกิน”

คำพูดของเพื่อนชาวต่างชาติสะกิดให้ฉันหลุดออกจากบ่อน้ำตาและชามราเมนตรงหน้า

ไม่มีใครเคยบอกฉันเลยว่าฉันเป็นคนจริงจัง ที่จริงแล้วฉันเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนจริงจัง ตั้งแต่เรียนหนังสือ จนจบมาทำงานประจำ แม้กระทั่งตอนที่ออกมาเป็นฟรีแลนซ์ ฉันรู้สึกว่าตัวเองก็แค่ล่องลอยไปวันๆ ใช่ ฉันมีความฝัน แต่ฉันไม่รู้จะทำให้มันเป็นจริงได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นฉันยังสับสน หลงทาง และหาความเป็นผู้ใหญ่ในตัวเองไม่เจอ

ฉันหยุด แล้วคิด ฉันกลายเป็นคนจริงจังไปตั้งแต่เมื่อไหร่? ตั้งแต่รู้ว่าหลังชนฝา เงินที่เก็บออมมาถูกดึงมาใช้เป็นค่ากินอยู่จนเกือบหมดและไม่อาจบากหน้าไปขอเงินพ่อแม่ได้อีก หรือตอนที่รู้ว่าปริญญาและความรู้ที่แสนภูมิใจก็เป็นแค่กระดาษใบหนึ่งในบ้านเมืองที่ฉันเป็นได้แค่พลเมืองชั้นสอง หรือตอนที่เท้ากำลังจะก้าวขึ้นเครื่องบินเตรียมตัวพร้อมสำหรับการเดินทางที่แสนยาวนาน หรือตั้งแต่ตอนที่คิดว่าจะเป็นฟรีแลนซ์ไปตลอดชีวิต?

ฉันเคยอยู่ในโลกเล็กๆ ที่มีฟองกันกระแทกชื่อว่า ครอบครัว มีที่ให้กลับไป มีข้าวให้กิน 3 มื้อ มีเตียงอุ่น หมอนนุ่ม เรียนจบมาจะได้ทำงานหรือไม่ได้ทำฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนัก จนกระทั่งโลกแห่งการทำงานน็อกฉันสลบเหมือนที่มันทำกับเด็กจบใหม่แทบทุกคน ฉันเปลี่ยนงานเร็วกว่าใครด้วยเหตุผลสารพัด จนอายุย่าง 25 ฉันยังไม่เคยทำงานได้เกินปีแม้แต่ที่เดียว แต่ทุกครั้งที่บ้านก็จะบอกว่า “ไม่เป็นไรนะ หางานใหม่ดีกว่า”

จนอีกปีกว่าๆ ต่อมา เมื่อเห็นฉันปักใจกับการเป็นฟรีแลนซ์ไส้แห้ง งานอยู่ได้เดือนชนเดือน ด้วยความกังวลปนสงสาร พ่อกับแม่จึงยอมส่งฉันขึ้นเครื่องไปเรียนต่อภาษาอย่างที่ฉันอยากทำมานาน ด้วยเงื่อนไขว่า ค่ากินอยู่หลับนอนฉันจะต้องหาเอง ฉันออกเดินทางโดยที่เตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องเจองานหนักข้างหน้า แต่อีกใจก็ยังคาดหวังว่า ฉันอาจจะได้งานที่ดีกว่าเด็กเสิร์ฟร้านอาหารหรือเด็กโรงงาน ใช่สิ จะไปกลัวอะไร สอนภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ยากเสียหน่อย ปริญญาก็มี…

ฉันไม่เคยประเมินอะไรต่ำไปขนาดนี้เลย…

เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกระหว่างศักดิ์ศรีกับปากท้อง ฉันยอมทิ้งศักดิ์ศรี แล้วยอมทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟควบกับงานในครัวอาหารทะเลของซูเปอร์มาร์เก็ต รวมทั้งงานแปลที่ยังรับผ่านอินเทอร์เน็ตอยู่ วันหนึ่งๆ ถ้าไม่นับเวลาเรียนตอนเช้าฉันก็แทบไม่ได้ไปไหนเลยนอกจากที่ทำงาน เลิกเรียน ปั่นจักรยาน 10 กิโลฯ ไปทำงานซูเปอร์มาร์เก็ตตอนบ่ายโมง พอบ่าย 4 ก็รีบกลับมาทั้งที่ตัวเหม็นกลิ่นปลาไปหมด เพื่อเข้าทำงานที่ร้านอาหารจีนต่อจนถึง 5 ทุ่ม จากนั้นจึงกลับมาทำงานแปล แล้วนอนตอนราวๆ ตี 1 ทั้งหมดที่ทำส่วนหนึ่งเพื่อปากท้อง อีกส่วนหนึ่งเพื่อให้ตัวเองไม่ฟุ้งซ่านจากการทะเลาะกับเพื่อนคนไทยที่สนิทด้วยในตอนนั้น

คำพูดของเพื่อนชาวต่างชาติ ทำให้ฉันเห็นตัวเองในมุมที่ต่างออกไป ความมั่นใจที่ฉันเคยมีค่อยๆ กลับมาหลังจากทำหล่นหายไปตามจำนวนงานที่ฉันเปลี่ยนหลังเรียนจบและจำนวนงานที่ถูกปฏิเสธหลังมาเรียนต่อ ใช่ ฉันกลายเป็นคนจริงจังเพราะฉันได้เรียนรู้แล้วว่าการทุ่มเทเพื่ออะไรสักอย่างเป็นอย่างไร เพราะฉันได้เรียนรู้แล้วว่าไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย และโลกไม่ได้หมุนรอบตัวฉัน…

“เธอรู้ไหมว่าเธอน่ะเหมือนเป็นพี่สาวฉันเลย ฉันไม่เคยมีพี่สาวมาก่อน แต่ถ้าจะมี ฉันก็อยากให้เป็นแบบเธอ”

เท่านั้นเอง น้ำตาที่เมื่อกี้หยุดไปกลับมาไหลต่อเหมือนเขื่อนแตก… ฉันจำรสชาติราเมนวันนั้นไม่ได้ แต่จำความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้ ฉันเป็นน้องเล็กที่ไม่เคยเป็นผู้ใหญ่ในสายตาใครๆ ไม่ว่าฉันจะพยายามแค่ไหน… แต่ในวันนั้น ฉันได้เติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีคนไว้ใจ รับผิดชอบตัวเองได้ คำพูดของเธอทำให้ฉันรู้สึกตัวว่าตัวเองควรทำอะไร

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ฉันไม่แปลกใจอีกแล้วเวลามีใครบอกว่าฉันเป็นคนจริงจัง แต่ฉันมีคำตอบแล้วว่าทำไมฉันถึงต้องจริงจัง ถ้าฉันไม่จริงจังในวันนั้นฉันคงไม่ได้เป็นอย่างที่เป็นในวันนี้ และฉันก็รักตัวเองในวันนี้เหลือเกิน…

AUTHOR