ยิ้ม ร้องไห้ และเติบโตผ่านความเจ็บปวดกับ ‘วันที่เหมาะกับขนมปัง ซุป และแมว’

Highlights

  • วันที่เหมาะกับขนมปัง ซุป และแมว วรรณกรรมแปลภาษาญี่ปุ่นฝีมือ มูเระ โยโกะ โดยสำนักพิมพ์แซนด์วิช และสร้างเป็นซีรีส์ขนาดสั้นในชื่อเดียวกัน เล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวของ 'อากิโกะ' ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามถึงสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นและค้นหาคำตอบในทางที่เลือกเดิน
  • แม้ดูเป็นหนังสือแนวอบอุ่นหัวใจและสะท้อนการเลือกใช้ชีวิตแบบที่ตนต้องการ แต่ถึงยังไงความทุกข์ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายแล้วการพยายามยอมรับ เรียนรู้ และแบ่งปัน อาจเป็นหนทางที่ทำให้เราใช้ชีวิตต่อไปได้แม้จะต้องเจออะไรที่ไม่คาดคิดมาก่อนก็ตาม

‘ที่บอกกันว่าเวลาจะช่วยคลายความโศกเศร้านั้นเป็นเรื่องโกหก ความเศร้าบางประเภทก็รุนแรงขึ้นกว่าเดิมเพราะเวลาผ่านไป’ (หน้า 178)

ฉันขอสารภาพก่อนว่าที่หยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่าน นอกจากเหตุผลที่เป็นหนังสือเล่มแรกของสำนักพิมพ์ชื่อน่ารักน่ากินอย่าง Sandwich Publishing ที่เพิ่งเปิดใหม่แล้ว พล็อตและบรรยากาศเรื่องก็มีความคล้ายวรรณกรรมแปลญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่ฉันเคยอ่านและชอบมากๆ แถมยังได้เจ้าของลายเส้นสุดน่ารักอย่าง jiranarong มาวาดภาพประกอบให้ ดังนั้นพอหนังสือวางขายปุ๊บ ฉันก็รีบจับจองมาไว้ในครอบครองทันที

วันที่เหมาะกับขนมปัง ซุป และแมว เป็นวรรณกรรมญี่ปุ่นเขียนโดย มูเระ โยโกะ เจ้าของผลงาน Kamome Shokudo ที่ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ที่หลายคนชื่นชอบ ด้วยสไตล์การเขียนแนวเบาสบายทำให้มีแฟนนักอ่านหญิงจำนวนมาก ซึ่งเรื่องนี้เองก็ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ฉายทางช่อง WOWOW ของญี่ปุ่นด้วย

ตอนแรกฉันคาดหวังความอบอุ่นและความน่ารักไว้มากมาย ทว่าเมื่อพลิกหน้ากระดาษอ่านไปเรื่อยๆ ก็พบว่านี่ไม่ใช่วรรณกรรมธีมเรียบง่ายทั่วๆ ไป เพราะมันสร้างแรงกระเพื่อมให้ฉันฉุกคิดถึงชีวิตในปัจจุบันขณะได้ดีทีเดียว

ที่บอกอย่างนั้นเพราะตัวละครเอกอย่าง ‘อากิโกะ’ ไม่ใช่สาวน้อยช่างฝันที่อยากเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง กลับกันเธอคือหญิงโสดวัยห้าสิบกว่าผู้ออกจากงานสำนักพิมพ์ที่ทำมานานปีและใช้ชีวิตตัวคนเดียวอย่างไม่คาดคิด โดยมีเพียงเจ้า ‘ทาโระ’ แมวลายสลิดตัวโตที่เธอเก็บมาเลี้ยงเป็นเพื่อน

ด้วยความที่อากิโกะอยู่กับแม่สองคนมาตั้งแต่เกิด แม้จะโดนดูถูกหรือเวทนาสงสาร เธอก็ใช้ชีวิตโดยไม่ได้สนใจนัก ทั้งเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกสนิทกับแม่สักเท่าไหร่ หลายครั้งที่ทั้งสองขัดแย้งกันทางความคิดความเชื่อเพราะอุปนิสัยต่างกัน จนวันหนึ่งเธอได้รับรู้จากแม่ว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย

แม้ตัวละครแม่จะคอยเป็นกังวลเรื่องการเรียน การทำงาน และชีวิตคู่ของลูกสาวคนเดียว แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่อากิโกะจะทำตาม เธอมักทำตามใจตัวเองเสมอมา กระทั่งวันที่แม่เสียชีวิต เธอผู้เป็นลูกสาวก็ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายอะไรและใช้ชีวิตต่อไปได้โดยมีทาโระเป็นเพื่อนคลายเหงา

จุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ของเรื่องคือ การที่อากิโกะลาออกจากงานประจำมาเปิดร้านอาหารตรงที่ดินเดิมที่เคยเป็นร้านอาหารของแม่ เธอตัดสินใจปรับเปลี่ยนหน้าตา บรรยากาศ และเมนูใหม่หมดจนไม่เหลือเค้าร้านอาหารเดิมที่เน้นการดื่มกินพบปะสังสรรค์ ส่วนหนึ่งที่ทำอย่างนั้นฉันว่าลึกๆ แล้วเธอคงไม่อยากเป็นแบบแม่ของตัวเอง

ร้านใหม่ของอากิโกะเป็นร้านอาหารสมัยใหม่แนวเรียบง่าย ตกแต่งในบรรยากาศสบายๆ และเสิร์ฟเพียงไม่กี่เมนู เช่น ซุปและขนมปัง พอเป็นแบบนั้นเธอย่อมได้รับความคิดเห็นที่ทั้งดีและไม่ดีจากลูกค้าและคนรอบตัว อย่างกลุ่มคุณลุงลูกค้าประจำของแม่ที่แวะมาครั้งแรกก็ต่อว่าการประดับตกแต่งของร้าน ทั้งยังติอาหารว่าทั้งน้อยและรสชาติอ่อนเกินไป หรืออย่างมาม่าเจ้าของร้านกาแฟใกล้ๆ ก็มักบอกว่าเธอค้าขายแบบขุนนาง เพราะปิดร้านไว ทั้งยังมีวันหยุดประจำสัปดาห์อีก

แม้เรื่องจะดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่หวือหวาตามสไตล์งานเขียนญี่ปุ่น แต่จุดหนึ่งที่ฉันชอบและคิดว่าเป็นสาระสำคัญของเรื่องนี้คือ การตั้งคำถามถึงสิ่งที่ตัวเองเชื่อและค้นหาคำตอบในทางที่เลือกเดิน

อากิโกะเลือกเป็นโสดหลังจากเลิกกับผู้ชายที่มีความคิดเชิงดูถูกเธอ แม้จะโดนคนอื่นค่อนแคะและแสดงความเห็นอกเห็นใจถึงการไม่ได้แต่งงาน แต่เธอก็ไม่สนใจ ทั้งในช่วงวัยกลางคนที่ใครๆ ก็กลัวการเริ่มต้นใหม่ เธอกลับกล้าลาออกจากประจำเพื่อมาทำร้านอาหารในแบบที่ชอบ สร้างสิ่งแวดล้อมในแบบที่ตั้งใจ และเลือกคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ

‘ทาโระ’ คืออีกหนึ่งพลังสำคัญที่ทำให้เธอใช้ชีวิตต่อไปได้แม้จะต้องฝ่าฟันกับสังคมรอบตัว เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เธออยู่กับเจ้าแมวตัวนี้ บรรยากาศในเรื่องจะฟุ้งฟูไปด้วยความสุข ความน่ารัก อย่างน้อยมันก็ทำหน้าที่เพื่อนที่ดี ไม่เคยคิดจะซ้ำเติมหรือสร้างความเครียด ความกังวล ให้แก่เจ้าของ หนำซ้ำไม่ว่าเธอจะเจอปัญหาหนักหนามาจากไหน เจ้าแมวลายสลิดก็จะคอยช่วยปลอบโยนให้ดีขึ้นทุกครั้ง ไม่ว่าจะด้วยเสียงแง้วๆ ผิวสัมผัสอันอ่อนนุ่ม หรือท่าทางแสนอ้อนเหล่านั้น

จะบอกว่าทาโระเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอก็ไม่ผิดนัก

นั่นอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้อากิโกะยึดมั่นในเส้นทางของตัวเอง แม้จะถูกสั่นคลอนกี่ครั้งก็ตาม เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทาโระก็จะคอยใช้อุ้งเท้าและเสียงร้องโอบอุ้มเธออยู่เสมอ

ทว่าสุดท้ายแล้วชีวิตก็คือชีวิต ย่อมมีทั้งองค์ประกอบของความสุขและความทุกข์ ไม่มีทางเสียหรอกที่ใครหรืออะไรจะอยู่กับเราไปได้ตลอด ตราบใดที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ความเปลี่ยนแปลงและความสูญเสียเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ใช่แล้ว เรื่องราวของอากิโกะทำให้เราตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้ เมื่อไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจแล้ว เราจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง จะหาทางบาลานซ์ตัวเองได้ขนาดไหน จำเป็นต้องเก็บงำความทุกข์ไว้หรือปลดปล่อยระบายให้ใครฟังได้บ้างหรือเปล่า

‘การที่มีคนหัวเราะเรื่องไม่เป็นเรื่องไปด้วยกันได้นั้นคือความสุข’ (หน้า 184)

ตอนที่อ่านถึงประโยคนี้ ฉันในวัยผู้ใหญ่ยิ้มและเห็นด้วยอย่างสุดหัวใจ อากิโกะเติบโตขึ้นพร้อมทั้งก้าวไปข้างหน้าอีกครั้งด้วยจิตใจที่เข้มแข็งกว่าเดิม ไม่แน่ว่าหลังจากนี้ชีวิตเธออาจจะเปลี่ยนแปลงไปอีกและเจอกับปัญหาใหญ่อีกมากมาย แต่ฉันเชื่อเหลือเกินว่าเจ้าของร้านอาหารเล็กๆ คนนี้จะผ่านมันไปได้อย่างดีและปวดร้าวน้อยลง

ฉันเองก็หวังจะเป็นแบบเธอเช่นเดียวกัน

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

วริทธิ์ โพธิ์มา

รักหมูกรอบ และข้าวมันไก่