ออฟฟิศที่อนุญาตให้นำสุนัขมาทำงานด้วยได้
สำนักงานที่ตั้งชื่อห้องประชุมตามรสชาติของไอศกรีม
แบรนด์ระดับโลกที่มอบไอศกรีม 1 โคนฟรี ให้แก่ทุกคนปีละ 1 ครั้ง
เจ้าของแบรนด์ผู้ใช้วิธีการโยนทอฟฟีรสคาราเมลลงมาจากบันได เพื่อให้แตกเป็นชิ้นขนาดพอดี ก่อนนำไปใส่ในไอศกรีม
Ben กับ Jerry คือ สองเจ้าของแบรนด์ไอศกรีมสุดเฮี้ยวอันดับหนึ่งของโลก
ไอศกรีม Ben & Jerry’s ของพวกเขา ผลิตขึ้นมาจากความคิดสร้างสรรค์และความฝันแบบอเมริกันที่หลายคนอดใจลองไม่ได้
ก่อนจะมาเป็น Ben & Jerry’s
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นที่เพื่อนรักสองคน
คนแรกชื่อว่า ‘Ben’
อีกคนมีชื่อว่า ‘Jerry’
ทั้งสองเป็นวัยรุ่นที่ผิดหวังจากการเรียนมหาวิทยาลัย เจอร์รีไม่สามารถสอบเข้าเรียนต่อในวิทยาลัยแพทย์ได้ ส่วนเบนก็หันหลังให้กับชีวิตมหาวิทยาลัยกลางคัน
การเริ่มต้นใหม่จึงเป็นสิ่งที่ทั้งสองคนต้องการ
แล้วเบนกับเจอร์รีก็ตัดสินใจไปลงเรียนวิชาการทำไอศกรีมด้วยกันที่มหาวิทยาลัย Pennsylvania State หลังจากจบคอร์ส ทั้งสองก็ขับรถไปยังรัฐ Vermont ของสหรัฐอเมริกา เพื่อเริ่มต้นเส้นทางการประกอบธุรกิจ
พวกเขาเปิดร้านขายไอศกรีมแห่งแรกในเมือง Burlington รัฐเวอร์มอนต์ในปี 1978 และในเวลาไม่ถึงสิบปี ไอศกรีม Ben & Jerry’s ก็ขยายสาขาไปทั่วประเทศ
การที่ทั้งสองเลือกเปิดร้านไอศกรีมในรัฐเวอร์มอนต์ ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด เพราะรัฐนี้ได้ชื่อว่ามีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
ในเวอร์มอนต์ผืนหญ้ามีความเขียวชอุ่ม แวดล้อมไปด้วยภูเขา ทะเลสาบและใบไม้เปลี่ยนสี อากาศเย็นตลอดทั้งปี แล้วยังเป็นแหล่งผลิตน้ำเชื่อมเมเปิลที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา
ฟาร์มโคนมในรัฐเวอร์มอนต์ ผลิตน้ำนมโคสดใหม่ คุณภาพเยี่ยม
รสชาติไอศกรีมของเบน แอนด์ เจอร์รีส์ ซึ่งมีน้ำนมโคเวอร์มอนต์เป็นส่วนผสมหลัก จึงมีความเข้มข้น แต่ละมุนความรู้สึก จนทำให้ผู้ใหญ่ชื่นชอบ และเด็กๆ ชื่นใจทุกครั้งที่ทาน
แล้วที่กล่าวมาทั้งหมด คือ จุดเริ่มต้นของไอศกรีม ‘เบน แอนด์ เจอร์รีส์’
Ben & Jerry’s Factory โรงงานเนรมิตฝัน
ด้วยค่าเข้าชมเพียง 6 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับผู้ใหญ่ (220 บาท) และ 1 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาสำหรับเด็ก (37 บาท) โรงงานผลิตไอศกรีมของเบนและเจอร์รีส์ หรือที่มีชื่อเรียกว่า ‘Ben & Jerry’s Factory’ เป็นยิ่งกว่าสวนสนุกหรือว่าธีมพาร์คซึ่งนำพาทุกคนเข้าสู่โลกอันหอมหวานเย็นใจ
ภายนอกอาจดูเหมือนๆ กับโรงงานขนมทั่วไป แต่สิ่งที่อยู่ในโรงงานของเบน แอนด์ เจอร์รีส์ เป็นการบอกเล่าถึงเส้นทางการทำไอศกรีมของสองผู้ก่อตั้ง มาจนถึงการเป็นผู้นำในด้านการผลิตไอศกรีมแบบพรีเมียมอย่างเช่นในปัจจุบัน
แต่ละก้าวบนถนนสู่ความสำเร็จของเบนและเจอร์รี เต็มไปด้วยความเฮี้ยวและสนุกสนาน ทั้งสองยังมีความจริงใจมากพอที่จะโชว์ให้เห็นไลน์การผลิตไอศกรีมในแต่ละวัน แถมยังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมลองชิมส่วนผสมต่างๆ ที่ใช้จริงด้วย
ทั้งสองยังมีอารมณ์ขันกว่าใครๆ พวกเขาสร้าง ‘สุสานไอศกรีม’ ขึ้นมา เพื่อไว้อาลัยไอศกรีมรสชาติก่อนๆ ที่ทั้งสองคนเคยผลิต
แต่ละวินาทีผู้เข้าชมในโรงงานไอศกรีมเบน แอนด์ เจอร์รีส์ จะรู้สึกราวกับกำลังไปเที่ยวชมโรงงานช็อคโกแลตของชาร์ลี แถมด้วยความฝันแบบอเมริกัน และความทุ่มเทของทุกคนในการผลิตไอศกรีม
นอกไปจากจะสนุกและมีความสุขแล้ว ยังได้รับแรงบันดาลใจในการทำความฝันให้เป็นจริงกลับมาอีกด้วย
Ben & Jerry’s กับการเยียวยาความรู้สึกด้วยไอศกรีม
ไอศกรีมเบน แอนด์ เจอร์รีส์ เป็นของประกอบฉากหนึ่งในซีรีส์ขวัญใจสายเนิร์ดที่มีชื่อว่า ‘The Big Bang Theory’
เพนนี ตัวละครเอกของเรื่องตักไอศกรีมของเบน แอนด์ เจอร์รีส์ ทานไม่หยุด หลังจากพบเจอเรื่องแย่ๆ ที่ทำให้จิตใจห่อเหี่ยว
ไม่ใช่เพียงแต่เพนนีเท่านั้น ผู้คนอีกนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ยังมักหันหน้าไปพึ่งพาไอศกรีมเวลาที่ต้องการเครื่องปลอบประโลมใจ ในภาพยนตร์หรือซีรีส์อเมริกัน เราจึงพบเห็นการใช้ ‘ไอศกรีม’ เป็นเครื่องเยียวยาความรู้สึกอยู่ตลอด
ความหวานเย็นและรสชาติหวานชื่นใจของไอศกรีม ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น
ถ้าอธิบายทางวิทยาศาสตร์ น้ำตาลซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญของไอศกรีม สามารถซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่นและมีแรงขึ้นในพริบตา แล้วกรดอะมิโนที่มีอยู่ในไอศกรีมยังทำให้ร่างกายหลั่งสาร Seratonin หรือฮอร์โมนแห่งความสุข เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ทานไอศกรีม เราจึงรู้สึกดีขึ้นมาทันที
ความแปลกใหม่ของรสชาติ
อีกสิ่งซึ่งเบน แอนด์ เจอร์รีส์ เป็นที่กล่าวถึงมาโดยตลอด คือ การสร้างสรรค์รสชาติใหม่ๆ ที่ถูกใจแฟนคลับ วิธีการคิดของพวกเขาทั้งสองมีความแปลกแหวกแนว กล้าลงมือทำและเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
ส่วนใหญ่มักเป็นการเล่นสนุกหรือล้อเลียนปรากฎการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา เช่น ไอศกรีมรส Netflix & Chill’d ซึ่งเป็นรสเนยถั่ว ใส่ขนมเพรสเซลชิ้นเล็กและฟัดจ์บราวนีชิ้นใหญ่ ส่วนผสมทั้งสามอย่างเป็นของโปรดในใจชาวอเมริกันอยู่แล้ว เบน แอนด์ เจอร์รีส์ จึงนำมาเป็นส่วนผสมในไอศกรีม เพื่อรองรับปรากฎการณ์มหาชนใช้เวลาดูเน็ตฟลิกซ์แบบชิลล์ๆ
ส่วนไอศกรีมรส Americone Dream ก็เป็นการล้อเลียนคำว่า ‘American Dream’ ในวัฒนธรรมอเมริกันไอศกรีมรสนี้ใส่คาราเมลและโคนวาฟเฟิลหักเป็นชิ้น รสชาติจึงออกมาหอมหวานมัน เหมือนกับความฝันแบบอเมริกันที่ทุกคนเป็นเจ้าของและครอบครองได้ หรือว่าทั้งสองคนพยายามจะบอกเราว่าความฝันของพวกเขาก็เป็นจริงได้เช่นกันนะ??
ไอศกรีมที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันมีชื่อว่า ‘Change the Whirled’ ไอศกรีมรสชาตินี้เป็นการเล่นคำพ้องเสียงกับคำว่า ‘Change the World’ หรือว่าการ ‘เปลี่ยนโลก’ ความพิเศษอยู่ตรงที่เป็นไอศกรีมแบบ vegan ที่ไม่ใช้น้ำนมโคในการผลิต ซึ่งเป็นการพลิกโฉมหน้าของการทำไอศกรีมรุ่นใหม่ เพื่อให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้นมหรือต้องการหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากน้ำนมโค แม้ว่า Change the Whirled จะเป็นไอศกรีมแบบ vegan แต่เบน แอนด์ เจอร์รีส์ ยังไม่ลืมที่จะหยอดลูกเล่นความเป็นเบน แอนด์ เจอร์รีส์ อย่างการใส่คาราเมล แคร็กเกอร์ และของอร่อยๆ ชิ้นโตลงไปในไอศกรีมด้วย
รสชาติใหม่ๆ ของเบน แอนด์ เจอร์รีส์ ส่วนใหญ่ sold out ในเวลาไม่มาก แต่ถ้าแวะไปที่โรงงานเบน แอนด์ เจอร์รีส์ในเวอร์มอนต์ล่ะก็ รับรองว่าไม่พลาดอย่างแน่นอน
——————
ที่มารูปภาพจาก: Ben & Jerry’s Factory