11 ปีให้หลังกับความฝันที่เป็นจริงของ ปิ๊น–อนุพงศ์ คุตติกุล กับ adidas Consortium x CARNIVAL

ขึ้นชื่อว่าความฝัน แน่นอนว่าเราย่อมจะมีความฝันที่แตกต่างกันไป แต่หากคุณลองไปถาม ปิ๊น–อนุพงศ์ คุตติกุล หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ Carnival ว่าความฝันของเขาคืออะไร เชื่อว่าคำตอบที่คุณได้รับน่าจะหนีไม่พ้น “การพาแบรนด์ Carnival ไปคอลแล็บกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Nike และ adidas”

นับจากวันแรกที่ Carnival เริ่มต้นขึ้นในฐานะร้านขายรองเท้าเล็กๆ ในสยาม สู่ปัจจุบันที่พุ่งทยานเป็นแบรนด์สตรีทแวร์อันดับหนึ่งของประเทศไทย 11 ปีคือระยะเวลาที่อนุพงศ์ประคับประคองความฝันของตัวเองมาเรื่อยๆ โดยไม่รู้เลยว่าความฝันที่ดูไกลเกินเอื้อมนี้จะกลายเป็นความจริงขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่แล้วในที่สุด ความมุ่งมั่นกว่าหนึ่งทศวรรษก็ผลิดอกออกผล เมื่ออยู่มาวันหนึ่ง adidas ได้ออกปากชักชวนอนุพงศ์และแบรนด์ Carnival ให้มาเป็นส่วนหนึ่งใน Life Needs Equipment โปรเจกต์เฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปี adidas EQT เคียงคู่กับแบรนด์รองเท้าชื่อดังระดับโลกอย่าง Footpatrol, atmos และ mita sneakers 

ในวันที่ความฝันของอนุพงศ์กลายเป็นความจริง และในวันที่ Carnival กลายเป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกที่ได้ร่วมงานกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง adidas เราต่อสายหาอนุพงศ์เพื่อสนทนากันถึงเรื่องราวการเดินทางกว่าจะออกมาเป็นสนีกเกอร์แห่งความภาคภูมิใจคู่นี้

ความฝันที่เลือนราง

“เราว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เห็นกันในต่างประเทศอยู่แล้วที่ร้านสนีกเกอร์ดังๆ จะอยากคอลแล็บกับแบรนด์อย่าง Nike และ adidas ซึ่ง Carnival เองในฐานะร้านสนีกเกอร์ก็มีความฝันที่อยากจะมีรองเท้ารุ่นพิเศษเป็นของตัวเองเหมือนกัน” อนุพงศ์เล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นความฝันของเขา

เช่นเดียวกับแบรนด์อื่นๆ ที่ต่างก็อยากมีโอกาสออกแบบรองเท้าเป็นของตัวเอง และนำเสนอไอเดียเฉพาะตัวลงไปบนสนีกเกอร์ของสองแบรนด์ยักษ์ใหญ่ อนุพงศ์เองก็วาดหวังว่าสักวันเขาจะต้องพาแบรนด์ Carnival ไปถึงจุดนั้นให้ได้ แต่ก็อย่างที่หลายๆ คนรู้ดีว่าเส้นทางที่จะทอดพาอนุพงศ์ไปสู่เป้าหมายระดับโลกนี้ไม่ได้ง่ายดายหรือโรยด้วยกลีบกุหลาบแต่อย่างใด 

“ในขณะที่บางความฝันเราสามารถรับรู้ได้ว่ากำลังเข้าใกล้มันขึ้นเรื่อยๆ แต่กับความฝันที่จะพา Carnival ไปคอลแล็บกับแบรนด์อย่าง Nike หรือ adidas เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันจะกลายเป็นความจริงเมื่อไหร่ แม้ว่า Carnival จะเปิดมาแล้วหลายปี และเราขายสินค้าของ Nike และ adidas ได้เรื่อยๆ ก็จริง แต่แบรนด์อย่าง adidas เขาไม่ได้มีกฎเกณฑ์ว่าคุณจะต้องมียอดขายถึง 10 ล้านหรือร้อยล้านถึงจะยอมร่วมงานด้วย มันไม่มีตัวชี้วัดแบบนั้นเลย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสล้วนๆ 

“อีกอย่างคือเขาจะดูจากการนำเสนอภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วย ว่าเอกลักษณ์ของ Carnival คืออะไร ตัวตนของเราคืออะไร เพราะในโลกของสตรีทแฟชั่น แบรนด์ดิ้งสำคัญมากๆ ต่อให้ร้านคุณขายสินค้าได้น้อยแต่ถ้าแบรนด์ดิ้งคุณชัดเจนพอ คุณก็อาจได้ร่วมงานกับ adidas ได้”

อนุพงศ์อธิบายว่า ประเด็นสำคัญที่ adidas ให้ความสำคัญจริงๆ คือ หากเขาเลือกจะมาร่วมงานกับแบรนด์คุณแล้ว มันจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์กันและกันยังไง ไม่ใช่เรื่องของยอดขายหรือรายได้ที่เขาสนใจ แต่เป็นความโดดเด่นที่พร้อมจะจับมือไปด้วยกันระหว่างสองแบรนด์ต่างหาก

แน่นอนว่าการเจียระไนตัวตนของ Carnival ให้ชัดเจนคือหนึ่งในประเด็นสำคัญ แต่ควบคู่ไปด้วยกัน อีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ Carnival ได้ร่วมงานกับ adidas มากขึ้นคือการที่ Carnival ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในร้านระดับสูงสุดจาก adidas ที่รู้จักกันในชื่อ ‘adidas Consortium’ เคียงคู่กับร้านรองเท้าชื่อดังน้อยแห่งจากทั่วโลกอย่าง atmos, Kith และ UNDEFEATED

“ต้องบอกก่อนว่า การที่คุณจะมีโอกาสได้ร่วมงานกับ adidas จริงๆ ไม่จำเป็นว่าร้านของคุณจะต้องเป็น adidas Consortium ก็ได้ เพียงแต่การอยู่ในกลุ่ม adidas Consortium มันก็ช่วยให้ Carnival มีภาษีที่ดีขึ้นมาหน่อย ถ้าเทียบกับร้านสนีกเกอร์อื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้ 

“อีกอย่างคือ adidas Consortium ยังขึ้นชื่อในเรื่องการจับร้านรองเท้าที่เป็นพาร์ตเนอร์มาร่วมงานอยู่บ่อยๆ เพราะฉะนั้นการที่ Carnival ได้ย่างเท้าเข้าไปอยู่ในกลุ่ม adidas Consortium ก็เหมือนเป็นเครื่องยืนยันกลายๆ ว่าเรามีโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับ adidas มากขึ้น เพียงแต่เราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าโอกาสที่ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่”

โชคดีว่าอนุพงศ์ไม่จำเป็นต้องรอนานจนเกินไป เพราะเพียงไม่กี่ปีหลังจากที่ Carnival ได้รับคัดเลือกเป็น adidas Consortium ทาง adidas Consortium ก็ได้ส่งอีเมลมาถามว่าสนใจคอลแล็บรองเท้าด้วยกันไหม

“แน่นอนว่าเราตอบตกลงในทันที” อนุพงศ์เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

ADIDAS CONSORTIUM X CARNIVAL

สนีกเกอร์ที่อยากนำเสนอความเป็นไทย

รองเท้ารุ่นที่ adidas Consortium ชักชวน Carnival ไปร่วมคอลแล็บด้วยในครั้งนี้คือ adidas Equipment หรือที่รู้จักกันในชื่อ adidas EQT

“adidas Consortium มาพูดคุยกับเราว่าเขากำลังจะทำโปรเจกต์ฉลองครบรอบ 30 ปี adidas EQT ในชื่อ ‘Life Needs Equipment’ ซึ่งเขามองว่า Carnival น่าจะเหมาะกับโปรเจกต์นี้เลยมาลองชวนดู ตอนแรกที่เราได้ยินชื่อ adidas EQT ก็แอบกดดันอยู่เหมือนกันนะ เพราะถึงแม้ว่าเราจะชอบสนีกเกอร์รุ่นนี้ แต่ว่ากันตามตรง รูปทรงของมันก็มีความยากในการดีไซน์อยู่เหมือนกัน แถมเรายังไม่รู้ด้วยว่าจะเป็น adidas EQT รุ่นไหน 

“เพียงแต่การได้คอลแล็บกับแบรนด์อย่าง adidas คือหนึ่งในความฝันสูงสุดของเรามาตลอด เราก็เลยไม่ปฏิเสธ ลองคิดดูสิ จังหวะนั้นโอกาสมันมาวางอยู่ตรงหน้าแล้วนะ แน่นอนว่าเราก็ต้องคว้าสิ”

ด้วยความที่โปรเจกต์ครั้งนี้เป็นการเฉลิมฉลอง 30 ปี adidas EQT Carnival จึงไม่ใช่ร้านสนีกเกอร์เพียงร้านเดียวที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์นี้ เพราะยังมีร้านสนีกเกอร์ระดับโลกอย่าง Extra Butter, OVERKILL และ Footpatrol รวมอยู่ในไลน์อัพด้วย ซึ่งเมื่อจุดประสงค์ของโปรเจกต์คือการบอกเล่าความยิ่งใหญ่ของ adidas EQT โมเดลของ adidas EQT ในโปรเจกต์นี้จึงมีอยู่หลายรุ่นด้วยกัน โดยที่ adidas Consortium จะจับคู่ adidas EQT รุ่นต่างๆ กับร้านสนีกเกอร์แต่ละแห่ง อย่างรุ่น Equipment Race Walk ก็ได้ atmos, Sneaker Politics และ solebox เป็นผู้ออกแบบ ในขณะที่รุ่น Equipment Prototype ได้มอบหมายให้กับร้านอย่าง OVERKILL, Extra Butter และ mita sneakers ส่วน Carnival ได้ดีไซน์รุ่น Running Support 93 เคียงคู่กับร้าน Footpatrol และ Livestock

“เราโชคดีมากที่ได้ออกแบบโมเดลนี้ เพราะ adidas EQT รุ่นอื่นๆ ในโปรเจกต์นี้ถือว่ายากพอสมควร ความโดดเด่นของมันคือการดีไซน์แบบ asymmetrical นั่นคือสัดส่วนด้านนอกกับด้านในของรองเท้าจะไม่ได้เท่ากันเป๊ะ ซึ่งเรามองว่าความไม่สมมาตรแบบนี้แหละคือเสน่ห์ของสนีกเกอร์รุ่นนี้ เราเชื่อว่า Running Support 93 เป็นโมเดลที่ดีที่สุดของ adidas EQT เลยนะ” อนุพงศ์อธิบาย

เมื่อได้รับโจทย์มาแล้ว ขั้นต่อไปคือการออกแบบ หากพิจารณาจากสนีกเกอร์รุ่นก่อนๆ ของแบรนด์อื่นที่ Carnival เคยร่วมงานด้วย หนึ่งในจุดเด่นที่เห็นได้ชัดคือการสอดแทรกเอกลักษณ์ความเป็นไทยลงไปในดีไซน์ของรองเท้า เช่น การนำเสนอมวยไทยใน ASICSTIGER x CARNIVAL™ “MUAY THAI” Collection หรือการหยิบคู่สีของปลากัดมาถ่ายทอดผ่านสนีกเกอร์รุ่น ASICS x CARNIVAL: GEL KAYANO 5 360 BETTA SPLENDENS ในการคอลแล็บกับ adidas Consortium ครั้งนี้ อนุพงศ์ก็ยังคงมุ่งมั่นนำเสนอความเป็นไทยลงไปในรองเท้ารุ่นนี้

“ด้วยความที่คติพจน์ของ adidas Consortium คือ ‘The respect is mutual’ ซึ่งหมายถึง ‘การเคารพซึ่งกันและกัน’ โดยที่เขาก็มีสัญลักษณ์ประจำอย่าง ‘การจับมือ’ เราเลยลองมาคิดต่อว่า ถ้าการจับมือในวัฒนธรรมตะวันตกคือการทักทาย งั้นการทักทายสำหรับคนไทยก็ต้องเป็นการไหว้สิ เราเลยเกิดไอเดียว่าอยากจะสอดแทรกสัญลักษณ์ของการไหว้ลงไปบนรองเท้าคู่นี้ จนเกิดเป็น lace lock ที่ข้างหนึ่งจะปรากฏสัญลักษณ์การจับมือของ adidas Consortium ส่วนอีกข้างจะปรากฏสัญลักษณ์การไหว้ซึ่งสื่อถึงประเทศไทย ในแง่นี้คอนเซปต์หลักๆ ของรองเท้าคู่นี้จึงเป็นการเชื่อมกันระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกันผ่านรองเท้าคู่เดียว”

ADIDAS CONSORTIUM X CARNIVAL

ควบคู่ไปกับไอเดียเรื่องการทักทาย เมื่อลองจินตนาการถึงการต้อนรับแบบไทยๆ สิ่งหนึ่งที่มักจะปรากฏให้เห็นอยู่เสมอคือดอกกล้วยไม้ที่มักจะถูกร้อยเป็นมาลัยสวมคอ

“เรามองว่าดอกกล้วยไม้นี่แหละคือสัญลักษณ์ที่จะสื่อถึงความเป็นไทยได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อชาวต่างชาติพูดถึงความเป็นไทย ดอกกล้วยไม้มักจะเป็นสิ่งแรกๆ ที่พวกเขานึกถึง นอกจากมาลัยกล้วยไม้จะเป็นตัวแทนของการต้อนรับแบบไทยๆ แล้ว คอนเซปต์นี้ยังผสานไปด้วยกันกับแนวคิดเรื่องการไหว้ ซึ่งพอเราลองเสนอไอเดียนี้ให้กับทีม adidas Consortium ปรากฏว่าเขาชอบมากๆ เพราะมันแปลกใหม่และนำเสนอเอกลักษณ์ความเป็นไทยได้เป็นอย่างดี”

แม้ว่าคอนเซปต์ของสนีกเกอร์คู่นี้จะเป็นดอกกล้วยไม้ก็จริง แต่อนุพงศ์กลับมองว่าการสอดแทรกลวดลายดอกกล้วยไม้ลงไปบนรองเท้าอย่างชัดเจนเกินไปอาจทำให้รองเท้าคู่นี้ใส่ได้ยาก เขาเลยหยิบยกมาเพียงคู่สีของดอกกล้วยไม้ นั่นคือ ขาวกับม่วง และเลือกใช้แพตเทิร์นแบบคาโม่ซึ่งเรามักคุ้นเคยกันจากเสื้อลายทหารบนรองเท้าคู่นี้แทน

“เรามองว่าสีขาวกับม่วงสามารถนำเสนอความเป็นไทยได้เป็นอย่างดี เพราะมันสะท้อนถึงสีของดอกกล้วยไม้ได้อย่างชัดเจน เพียงแต่เราก็ไม่อยากให้รองเท้าคู่นี้มีความเป็นดอกไม้อย่างเด่นชัดจนเกินไป เราเลยเลือกใช้ลายคาโม่เพื่อให้ดูเป็นแฟชั่นมากขึ้น” อนุพงศ์อธิบาย

พ้นไปจากคอนเซปต์ที่น่าสนใจของรองเท้าแล้ว อีกความโดดเด่นหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือวัสดุ อนุพงศ์เล่าว่าเมื่อได้ชื่อว่าเป็นรองเท้าของ adidas Consortium ซึ่งเป็นไลน์การผลิตสูงสุดของ adidas แล้ว คุณภาพของวัสดุจึงเป็นเรื่องหายห่วง

“เมื่อเป็น adidas Consortium ไม่ว่าจะเป็นผ้าแคนวาส ผ้าหนังกลับ คุณภาพการปรินต์ ไปจนถึงพลาสติกที่ใช้ จึงเป็นวัสดุที่ดีที่สุดของ adidas เราเลยมั่นใจได้ว่ารองเท้าที่ผลิตออกมาจะใช้วัสดุคุณภาพสูงและพรีเมียมจริงๆ ซึ่งทาง adidas Consortium เขาก็ให้อิสระเราในการเลือกวัสดุร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เพียงแต่เขาจะคอยให้คำแนะนำว่าวัสดุแบบนี้ถ้าเกิดไปใช้งานจริงแล้วโดนน้ำ สีมันจะตกไหม เพราะคนที่ผลิตรองเท้าเขาจะรู้ว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ 

“เราก็พยายามใส่จินตนาการตัวเองลงไปก่อนแหละ แต่สุดท้ายถ้ามันมีข้อจำกัดเขาก็จะบอกเรา หรืออย่างลายคาโม่กล้วยไม้ที่ด้านใต้ของรองเท้า ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าจะได้ทำหรือเปล่า แต่ทีม adidas Consortium ก็ทำมันออกมาได้ดีมากๆ เราพบว่าการทำงานกับทีม adidas Consortium ไม่ยากเลยนะ เขาเคารพการตัดสินใจของเรามากๆ เพราะเขามองว่าในเมื่อมันเป็นรองเท้ารุ่นแรกของ Carnival เขาก็ควรจะให้เกียรติเราที่สุด”

ADIDAS CONSORTIUM X CARNIVAL

ความจริงในอีก 11 ปีให้หลัง

18 กันยายนคือวันที่ adidas Consortium x CARNIVAL “EQT Running Support 93” จะถูกจัดส่งไปยังลูกค้า Carnival ที่ได้รับสิทธิในการซื้อรองเท้ารุ่นนี้ โดยระหว่างวันที่ 9-14 กันยายนนี้ Carnival ก็ได้เปิดให้มีการลงทะเบียนจับสลากลุ้นสิทธิในการซื้อรองเท้ารุ่นนี้ผ่านแอพพลิเคชั่นของ Carnival

11 ปีนับจากวันแรกที่อนุพงศ์เปิดตัว Carnival ในฐานะร้านสนีกเกอร์เล็กๆ ที่สยาม ในที่สุดความฝันที่ครั้งหนึ่งดูเลือนรางห่างไกลของเขาก็ได้กลายเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ขึ้นมาจริงๆ

แม้ว่าเราจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่ายังไงรองเท้าแห่งประวัติศาสตร์รุ่นนี้ก็จะ sold out แต่ก็อดที่จะถามอนุพงศ์ไปอย่างตรงๆ ไม่ได้ว่า “กังวลบ้างไหมว่ารองเท้ารุ่นนี้จะขายไม่หมด”

อนุพงศ์ส่ายหน้า

“เราไม่กังวลเลยนะถ้าหากรองเท้ารุ่นนี้จะขายไม่หมด เพราะเมื่อคุณอยู่ในวงการนี้มาสักพัก คุณจะเชื่อว่าถ้าเรานำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจ ลูกค้าเขาจะเข้าใจเราเอง เราเชื่อมั่นว่าลูกค้าจะเข้าใจว่า Carnival พยายามนำเสนออะไรผ่านรองเท้ารุ่นนี้ และก็เชื่อว่าจะมีลูกค้าที่ชอบมันมากๆ

“อย่างวันก่อนเราก็ไปอ่านคอมเมนต์ในเว็บไซต์ต่างประเทศเกี่ยวกับโปรเจกต์นี้อยู่เหมือนกันนะ ซึ่งปรากฏว่ามีหลายคอมเมนต์บอกว่าชอบ adidas EQT ที่ Carnival ออกแบบมาก จัดให้มันอยู่อันดับต้นๆ ของโปรเจกต์นี้เลย พอเห็นแบบนี้แล้วมันก็ดีใจนะ เหมือนว่าความฝันตลอด 11 ปีของเราในที่สุดก็ได้รับการยอมรับแล้ว” อนุพงศ์ยิ้มอย่างภูมิใจ

AUTHOR