‘If friends make gifts, gifts make friends–Marshall Sahlins’
ช่วงปลายปีแบบนี้ กิจกรรม ‘การเลือกของขวัญ’ ดูจะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เราทั้งสนุกกับการได้เลือกสรร ซื้อหาข้าวของที่เหมาะสม สนุกไปกับการคิดหาวิธีการห่อให้สวยงาม ได้นึกภาพว่าการที่ของที่เราคิดมาเป็นอย่างดีนี้ไปอยู่ในมือของอีกฝ่ายหนึ่ง เขาจะรู้สึกยังไงนะ จะชอบหรือเปล่า
แต่ในทางกลับกัน การซื้อของขวัญก็ดูจะประกอบขึ้นด้วย ‘ความหนักใจ’ บางอย่าง การเลือกของขวัญลึกๆ เต็มไปด้วยความยากเย็น เราซื้ออะไรถึงจะเหมาะ หลายครั้งที่เราประสบปัญหาว่า ซื้อของขวัญอะไรดีนะ ในหัวของเราจะเต็มไปด้วยการคิดคำนวณ การประเมินถึงหลายๆ อย่างที่แสนจะซับซ้อนเกินกว่าแค่ตัวเลข ของขวัญชิ้นนี้มันจะแสดงถึงความสัมพันธ์ของเราไหมนะ เขาเคยให้อะไรเราหรือเปล่า สถานะของเราและผู้รับเป็นยังไง ของขวัญชิ้นนี้จะต้องเป็นทั้งตัวแทนของตัวเรา ในขณะที่ก็ต้องเหมาะสมกับอีกฝ่ายด้วย
ฟังดูอาจจะเวอร์ไปหน่อย แต่เชื่อเถอะว่า แทบทุกครั้งการซื้อของขวัญให้คนอื่นยากเย็นกว่าการซื้อของใช้เองหลายเท่านัก
ไอ้เจ้าการแลกเปลี่ยนของขวัญที่ดูจะเป็นกิจกรรมสามัญนี้ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่แสนสำคัญ เก่าแก่และซับซ้อนของมนุษยชาติ นักมานุษยวิทยาบางคนมองว่าการแลกเปลี่ยนของขวัญเป็นกระบวนการสำคัญที่ทำให้มนุษย์เรารักษาและถักสานความสัมพันธ์ตั้งแต่ระดับบุคคล ยั่งยืนจนเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมของเรา
ของขวัญกับธุรกรรมของสัญญาใจ
คำว่าของขวัญ หรือ gift ด้วยตัวมันเองเป็นคำที่ค่อนข้างพิเศษ แต่เดิมในยุคโบราณมักสื่อถึงความสัมพันธ์พิเศษต่างๆ ที่มี ‘ของขวัญ’ เป็นสื่อกลาง เช่นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้าที่มักมีเครื่องเซ่นสังเวยและของขวัญจากเบื้องบนเป็นสื่อกลาง ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักร ระหว่างชนเผ่าต่อชนเผ่า กระทั่งระหว่างตระกูลต่อตระกูลก็มักจะมีการให้และแลกเปลี่ยนของขวัญเป็นพิธีกรรมสำคัญ
Marcel Mauss เป็นหนึ่งในนักมานุษยวิทยาที่สนใจการให้ของขวัญ และมองการให้ของขวัญระบบเศรษฐกิจที่พิเศษขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง คือเวลาเรานึกถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์ เราจะนึกถึงระบบตลาด การแลกเปลี่ยนซื้อ-ขายที่มีการกำหนดราคา แลกเปลี่ยนมูลค่า ซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนตามข้อตกลงแล้วก็จบ แต่ระบบของขวัญเป็นอีกรูปแบบการแลกเปลี่ยนของมนุษย์ที่มีสัญญาใจเป็นที่ตั้ง และสัญญาใจนี้ก็นำไปสู่การสานความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ
ในงานเขียนสำคัญ The Gift: The Form and Reason for Exchange in Archaic Societies ในปี 1952 เขาอธิบายว่าระบบของขวัญไม่ได้ประกอบขึ้นแค่การแลกเปลี่ยนธรรมดาสามัญเท่านั้นแต่การให้ของขวัญยังมีนัยของการตอบแทนซึ่งกันและกัน และเป็นพันธะสัญญา การแลกเปลี่ยนของขวัญเป็นการแลกเปลี่ยนเชิงสัญลักษณ์ว่าเรามีการพึ่งพาตอบแทนซึ่งกันและกันที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่ทรัพย์สมบัติเพียงอย่างเดียว เช่นการแลกเปลี่ยนของสังเวยแลกกับความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า การให้เสบียงหรือข้าวของบางอย่างเพื่อแลกกับความคุ้มครองหรือความมั่นคงจากชนเผ่าที่แข็งแรงกว่า
ฟังดูอาจจะรู้สึกยี้ว่า เอ๊ะ การให้ของขวัญมันจะเป็นเรื่องของการตอบแทน หรือคาดหวังการตอบแทนไม่งามสิ แต่จริงๆ แล้ว การต่างตอบแทน (reciprocity) เป็นสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ในทุกระดับดำเนินต่อไปผ่านการแลกเปลี่ยนของขวัญซึ่งกันและกัน มันเหมือนกับว่าตราบใดที่เรายังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เราเองก็ยังจะให้และคาดหวังของขวัญแลกเปลี่ยนกันต่อไปเรื่อยๆ และกำไรของการแลกเปลี่ยนของขวัญก็คือการเพิ่มพูนในมิติทางสังคม เป็นกำไรที่ซับซ้อนไปกว่าตัวเงิน
กำไรของการไม่มีกำไร และศิลปะของสัญญาใจ
เรื่องของขวัญ การให้และการรับในฐานะวัฒนธรรมของมนุษย์เป็นสิ่งที่นักคิดและนักทฤษฎีแสนจะหลงใหล โดยเฉพาะเจ้าคำว่าต่างตอบแทนที่ว่ามันมีความลึกลับซับซ้อนในการให้เพื่อรักษาสถานะกันอีท่าไหน ในปี 1965 มาร์แชล ซาห์ลินส์ เจ้าของประโยคเปิดตัวว่าถ้าเรามอบของขวัญให้เพื่อน ของขวัญนั้นจะนำไปสู่มิตรภาพเสนอข้อสังเกตเรื่องการตอบแทนและการให้ของขวัญของเราไว้
แกอธิบายหนึ่งในการให้ของขวัญแบบทั่วไป generalized reciprocity หมายถึงการให้ของขวัญทั่วๆ ไป เช่น ให้ของขวัญวันเกิด หรือการซื้อของให้ในวาระพิเศษและไม่พิเศษต่างๆ ก่อนอื่นเขาบอกว่า เราก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์เนอะ (ขนาดพระโพธิ์สัตว์ยังหวังโพธิญาณเลย) การที่เราให้อะไรใคร ลึกๆ แล้วก็หวังการตอบแทนเสมอ แต่สิ่งสำคัญของการให้นั้นคือเราหวังการตอบแทน ‘ในอนาคต’ เช่นถ้าเราซื้อขนมเลี้ยงเพื่อนในตอนนี้ แล้วเพื่อนจะซื้อของคืนเรากลับในทันที เราก็จะรู้สึกว่า เฮ้ย มันไม่ใช่ แถมทำร้ายน้ำใจกันอีก แต่เราจะคาดหวังปฏิสัมพันธ์หรือการให้ในครั้งต่อๆ ไปว่าจะเกิดการให้กลับในอนาคต ในทำนองเดียวกันกับการให้ของขวัญวันเกิด ที่ถ้าเราเป็นผู้รับ เราก็คิดคำนึงว่า เอ้อ คราวหน้าเราต้องให้กลับเนอะ ให้อะไรดีนะถึงจะเหมาะสม
การห้ามไม่ให้ตอบแทนโดยทันที ถ้าอธิบายโดยนักคิดยุคต่อมานามว่า Pierre Bourdieu เราเรียกว่าคือการกลบเกลื่อนผลประโยชน์ (disinterest) หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการประวิงเวลาในการตอบแทน และอย่างที่บอกว่าการให้และการรับมันคือการแลกเปลี่ยน ดังนั้นความสนุกซับซ้อนของการให้และคืนของขวัญจึงเป็นการคิดคำนวณและวางกลยุทธ์ในการตอบแทนและเพื่อรักษาสมดุลและความสัมพันธ์อยู่เสมอ เช่นว่า เราได้มาตอนนี้แล้ว สักกี่นานเราถึงจะให้คืนดีนะ แล้วเราให้อะไรถึงจะเสมอกับบริบทอีกสารพัดสารพัน
นอกจากการให้ของขวัญโดยทั่วไปแล้ว การแลกของขวัญในโอกาสพิเศษ เช่นช่วงคริสต์มาสก็ยังอยู่ในข่ายความคิดเรื่องการแลกและรักษาความสุขความสัมพันธ์ของผู้คนเหมือนกันอยู่ดี เราอาจจะล่วงจากยุคที่การแลกเปลี่ยนนำไปสู่อะไรที่เป็นรูปธรรม เช่นเอาปลาไปแลกกองทัพ เอางาช้างไปแลกสถานะทางสังคม แต่ในทุกวันนี้การเลือกและให้ของขวัญก็ยังคงเป็นกิจกรรมที่เราได้เล่นสนุกไปกับโลกสมัยใหม่ และการแลกเปลี่ยนของขวัญซึ่งกันและกันก็แน่ล่ะว่ายังคงเป็นการรักษาความสัมพันธ์
เรามอบสิ่งที่ทำให้เรายังคงคิดถึงกัน เรายังมีความสุขกับการเอาเงินไปแลกของ และเอาของไปแลกของที่คาดว่าอีกฝ่ายน่าจะชอบ เป็นของที่สื่อว่าเรามีความสัมพันธ์และรู้จักอีกฝ่ายดีแค่ไหน เพื่อนเราคนนี้ชอบของแบบนี้ ชีวิตตอนนี้เป็นยังไง อยากได้อะไร
ของขวัญที่เราบรรจงเลือกมาให้ต่างเป็นของที่ขอบคุณในความสัมพันธ์ที่เรายังคงมีกันและกันในชีวิตอยู่เสมอมา
รู้แบบนี้แล้ว ใครอยากจะเลือกซื้อของขวัญให้ถูกใจคนรับและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกัน และถ้าอยากบรรจงเลือกของขวัญให้กันละกัน ช่วงปีใหม่นี้ขอแนะนำให้ลองมาเลือกของขวัญกันได้ที่ เดอะมอลล์ ดีพาร์ทเมนต์สโตร์ สาขาบางแค บริเวณโซน Ladies’ Hall ชั้น 1 มีงาน Happy Go ‘Round Market ซูเปอร์มาร์เก็ตที่รวบรวมของขวัญปีใหม่ที่ทุกคนสามารถไปเลือกของขวัญได้เพื่อขอบคุณในความสัมพันธ์ที่ยังคงมีกันละกันได้ใน 6 โซนสุดสร้างสรรค์ ที่ เดอะมอลล์ ดีพาร์ทเมนต์สโตร์ สาขาบางแค บริเวณโซน Ladies’ Hall ชั้น 1 ได้แก่ โซน Cleaning Supplies อุปกรณ์ขจัดความวุ่นวาย, โซน Fresh สดใหม่ไม่ซ้ำใคร, โซน Frozen แช่แข็งความสวย, โซน Bakery อบ…อุ่น, โซน Import นำเข้าความสนุก และโซน Grab & Go ของมันต้องมี
ไปช้อปปิ้ง และ #ช้อปสนุกสุขAround กันให้จุใจได้แล้วตั้งแต่วันนี้ – 5 มกราคม 2563 เท่านั้นนะ
อ้างอิง
academia.edu/9502471/SOCIAL_ANTHROPOLOGY_GIFT_EXCHANGE
britannica.com/topic/gift-exchange
newworldencyclopedia.org/entry/Gift_economy