วางแปรงแต่งหน้า ปล่อยมือเปื้อนดิน สุขซุกซนในธรรมชาติแบบ ‘แพรี่พาย’

ลิปสติกสีชมพูนม รองพื้นบางเบา เผยหน้าใสกิ๊งแบบหัวใจ 4 ดวงของบรรดานางเอกเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ภาพคุ้นตาจากโทรทัศน์ส่งให้ผู้หญิงหลายคนมีสไตล์คล้ายกันทั้งการแต่งหน้าและแต่งตัว 

แต่ถ้าเกิดว่ามีคนแหวกกระแสล่ะ ฉันจะทาลิปสีม่วง เปลือกตาโปรยกากเพชร เสื้อผ้าสีจัด พร้อมอัดคลิปวิดีโอลงยูทูบเพื่อเป็นพื้นที่สนับสนุนว่า “ทุกคน มาเป็นตัวเองกันเถอะ!” สาวน้อยใจกล้าวัย 20 ต้นๆ ที่เล่นสนุกอยู่กับการแต่งหน้า กะพริบตาอีกทีเธอก็จับแปรงอยู่ในวงการช่างแต่งหน้าระดับโลกแล้ว! เธอคือ ‘แพร-อมตา จิตตะเสนีย์’ aka ‘แพรี่พาย’ 

หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้ร่วม 10 ปี เธอก็ตัดสินใจวางมือ ผันตัวเองมาทำสวนดาดฟ้า เปิดเวิร์กชอปเชื้อเชิญให้คนเข้าไปสัมผัสธรรมชาติที่เธอตั้งใจสร้างขึ้น และหันหน้าเข้าป่าอย่างจริงจัง จนกลายเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนพื้นที่สีเขียวไปโดยปริยาย 

ด้วยความสงสัยว่าทำไมเธอถึงหยุดทำในสิ่งที่ใจรักมาแสนนาน หรือนี่อาจเป็นอีกเวอร์ชันหนึ่งที่เพิ่งกะเทาะเปลือกออกมาได้ในอายุใกล้เลขสี่ และเพราะอะไรธรรมชาติที่ดูห่างไกลวิถีคนเมืองเช่น แพรี่พาย กลับมีแรงดึงดูดมหาศาลต่อเธอได้มากขนาดนี้ ไปฟังคำตอบพร้อมกัน

วางแปรงแต่งหน้าลง

“งานที่เราทำมันถูกทำซ้ำๆ มาเกือบ 10 ปี กลายเป็นว่าเราเหงาลึกๆ เพราะได้คุยกับคนแค่ผิวเผิน เดินทางเยอะ เหมือนตัวตนของเรามันบินไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงไหน” 

หากจะกล่าวว่าแพรเป็นดาวค้างฟ้าของวงการเมกอัปก็ไม่ผิดนัก เธอไม่เพียงปรากฏตัวอยู่บนรันเวย์ระดับโลกอย่าง London Fashion Week แต่ยังสร้างปรากฏการณ์เทรนด์การแต่งหน้าใหม่ๆ อยู่เสมอ 

สำหรับเธอแล้วการต้องหมุนตามโลกให้ทันก็ทำเวียนหัวอยู่ไม่น้อย ปัญหาสุขภาพกายและใจที่ไม่ทันได้ระแวดระวังก็ถาโถมเข้ามา จนเธอต้องหยุดฟังเสียงภายในที่มันร้องดัง และนั่นคือจุดเปลี่ยน

เริ่มหันมาเข้าสู่ธรรมชาติตอนไหน

ช่วงหลังๆ เรารู้ตัวเองว่าสิ่งที่ทำมันไม่ได้ออกมาจากใจ เราต้องขุดพลังตัวเองออกมาเพื่อแลกกับอะไรก็ไม่รู้ เหมือนพื้นที่ที่ยืนอยู่ไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเราแล้ว มันไม่เห็นปลายทางที่มั่นคง เห็นแค่ว่าจะต้องทำไปเรื่อยๆ 

ตอนนั้นรู้สึกว่าต้องจัดการอะไรสักอย่างกับตัวเอง มันก็ดีนะที่เรากล้าเปิดใจกับตัวเองว่ามีหลุมดำอยู่ข้างใน เป็นประตูหนึ่งที่ทำให้ได้ Explore กับตัวเอง จากที่เคยเดินห้าง นั่งเครื่องบิน First class มีคนส่งของมาให้เหมือนทุกวันเป็นวันคริสต์มาส ก็ค่อยๆ เข้าหาธรรมชาติทีละนิด 

สิ่งที่เยียวยาให้เรามาเป็นเราในทุกวันนี้ก็คือธรรมชาติ คนในชุมชนที่ได้มีโอกาสคุยกับเขา คำถามที่น่ารักแบบใสๆ แพรอยากกินอะไร หิวมั้ยลูก คือกินจนอ้วนอะ มันเป็นความรู้สึกที่เราหาไม่ได้จากในเมืองหลวงที่ทุกคนคิดอยากจะเอาจากเราอย่างเดียว 

ปิดรันเวย์เก่า เปิดรันเวย์ใหม่

“เราเก็บความรู้สึกไว้คนเดียวนานมากว่าจะบอกน้องๆ ทีมงาน จะบอกแฟนๆ ยังไงดีว่าไม่อยากทำแล้ว ถ้าไม่ทำสิ่งนี้แล้วจะทำอะไร เพราะตัวเราเองก็ไม่แน่ใจว่ามีความสามารถอย่างอื่นอีกมั้ย” 

คำตอบที่ทำเอารู้สึกหน่วงท้องไปด้วย เมื่อเราถามแพรว่าครั้งต้องลาวงการแต่งหน้า เธอบอกแฟนเพจยังไง เพราะผู้ติดตามเฟซบุ๊ก ‘Pearypie’ ที่มากกว่า 1 ล้านคน บรรดากำลังใจในยูทูบที่สะสมมาตั้งแต่ยุคเริ่มเล่นอินเทอร์เน็ต พวกเขากำลังเห็นคอนเทนต์ต่างออกไปจากเดิม และไม่ใช่แค่เหล่าแฟนคลับ แต่ทีมงานในกองที่ร่วมฝันกันมาก็อาจรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงนั้นเช่นกัน

ตอนตัดสินใจบอกคนอื่นว่าไม่ทำเรื่องแต่งหน้าแล้ว ผลตอบรับเป็นยังไงบ้าง

เราว่าทุกคนก็แอบเซนส์ได้แหละ เพราะเกือบ 1 ปีที่เห็นเราเหมือนเป็นดอกไม้เหี่ยว แต่เราไม่ได้ตัดฉึบกับทีมงานเลยนะ ต้องดูว่าแต่ละคนจะไปรอดในแบบของตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน คิดว่าทุกคนไม่ได้ช็อก แต่อาจจะไม่สามารถทำใจได้ เพราะสิ่งที่เราสร้างกันมามันคือ ‘แพรี่พาย’ เราทรีตเขาเหมือนครอบครัว 

ตอนนั้นถามตัวเองก่อนว่าถ้าไม่อยากทำงานแต่งหน้าต่อ กล้าที่จะหยุดมั้ย สุดท้ายก็ตัดสินใจหยุด เปิดการเดินทางในแช็ปเตอร์ใหม่ เรียนรู้อาหารพื้นบ้าน ผ้าไทย ธรรมชาติ เรารู้สึกสนุกเพราะไม่เคยทำมาก่อน จากที่ต้องรีบกินอาหารในกองกลายเป็นค่อยๆ สังเกตสิ่งรอบข้างมากขึ้น ต้นถั่วต้นนี้สวยนะเนี่ย หรือเรื่องเบสิกนี่เราก็ไม่รู้อะไรเลย เพราะเราเป็นคน Maximal มาโดยตลอด 

บทเรียนหลายอย่างเป็นบทเรียนนอกห้อง การ Survive ที่ช่วยฮีลเรา เปลี่ยนทัศนคติเรา จากคนที่ต้องกินยานอนหลับก็ไม่ต้องกินแล้ว หรือไม่กินเยอะเพราะกลัวไม่สวยก็ไม่ห่วงแล้ว คนที่ได้เจอในบทเรียนหนังสือเล่มใหม่ เขาสอนให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น อาจจะยังชั่วบางที แต่เราได้เป็น Better Version of Myself 

เราไม่ได้ประกาศลงเพจแบบ Official แค่หายไปเลยหนึ่งปี เรารู้สึกว่าตัวเองจะไม่สามารถดูแลผู้ติดตามได้เลยถ้าเรายังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ยิ่งช่วงโควิดก็ทำให้เป็น Mental Illness อยู่พักหนึ่ง เลิกกับแฟนแล้วร้องไห้เป็นบ้าไปเลย แต่ก็เพราะธรรมชาติที่ทำให้รู้สึกว่าไม่มีแฟนแล้วกัน อยู่กับต้นไม้ ดอกไม้ก็ได้

พอมาอยู่กับธรรมชาติแล้ว เราหันหน้าหนีให้กับวงการเครื่องสำอางเลยไหม

เรามาถึงจุดที่รู้สึกว่าฉันไม่สามารถโปรโมทเครื่องสำอางที่เป็นแบรนด์แมสได้ ถ้าฉันอยากปกป้องธรรมชาติ เรารู้สึกว่าการที่จะทำอะไรสักอย่างเราต้องลึก และเชื่อมั่นกับมัน สมมติเราไปนำเสนอสิ่งที่มี Fast-Fashioned มันก็ไม่ได้ เพราะเรามีโอกาสได้ไปดูภูเขาขยะที่เกาะเต่า ไปลงพื้นที่กับองค์กร วิธีการจัดการทรัพยากร เราก็หักดิบไปที่ช่วงหนึ่งไม่แต่งหน้าเลย

เพื่อนเข้าป่า

“การที่เราได้ลงพื้นที่เจอคนหลากหลายชาติพันธุ์ เราสอนเขา เขาสอนเรา เป็นการที่เราได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตแบบพึ่งพากันและกัน ไม่เหมือนในกรุงเทพที่ฉันจะต้อง On top หรือเวลามันมีดรามาอะไรสักอย่างก็จะเหยียบกันจนน่าสงสาร” 

ก่อนหน้านี้แพรไม่เคยได้มีโอกาสเข้าป่า ชีวิตเธอผูกอยู่กับเมือง หรือไม่ก็ขึ้นลงเครื่องบินหกระเหินไปประเทศโน้นประเทศนี้ กระทั่งชีวิตเปลี่ยนเส้นทางเดิน 

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้โดดเดี่ยวไปซะทีเดียว เพราะมี พี่มล-จิราวรรณ คำซาว เป็นเพื่อนซี้ในการเข้าป่า เธอเป็นผู้นำกลุ่ม ‘ถิ่นนิยม’ ที่เชียงดาว จ.เชียงใหม่ กลุ่มชนผู้มีใจรักในถิ่นของตัวเอง พยายามดึงศักยภาพท้องที่ออกมาให้มากที่สุด และก่อตั้งห้องเรียนธรรมชาติที่พาให้คนได้กลับมาเชื่อมโยงกับตัวเองอีกครั้ง 

เมื่อเพื่อนซี้ของแพรก็อยู่ตรงหน้าเรา จึงอดไม่ได้ที่จะคุยด้วยสักหน่อย

First Impression ที่มีต่อแพรเป็นยังไงบ้าง

เราโตมากับป่ากับเขา สิ่งที่ต้องดิ้นรนหา คือเงินกับอาชีพแค่นั้น อย่างแพร คือชื่อเสียงเงินทองเขาครบ แต่เรื่องอื่นเขาไม่มี มีดใช้ไม่เป็น เราบอกเขาว่ามียุงนะ ต้องเดินโคลนด้วย แล้วเขากล้าที่จะไป ก็ยังแปลกใจกับการตัดสินใจของเขา เราไม่ได้ทรีตเขาเป็นดารา เราอยู่อย่างเท่ากัน ยิ่งเขาเป็นคนชอบความงาม และได้เข้าป่าไปเห็นธรรมชาติสวยๆ ก็ตื่นเต้นจนลืมยุงกัดไปเลย

หลังจากครั้งแรกก็นึกว่าเขาจะไม่มาแล้ว แต่เขามาอีกเรื่อยๆ ป่ากลายเป็นเซฟโซนของเขาที่ได้เปิดเผยตัวตนจริงๆ ออกมา ได้เชื่อมโยงตัวเองเข้ากับธรรมชาติ ได้เรียนรู้การอยู่กับคนในชุมชน หลังจากนั้นก็เริ่มฝึกเป็นครูสอนในคลาสรูม

ไม่ว่าจะเป็นการพาเดินเก็บเห็ด เก็บน้ำผึ้ง เรียนรู้ระบบนิเวศผ่านศิลปะ เปิดสัมผัสทั้ง 5 ด้วยการฟังเสียงนก เสียงไม้ ถอดรองเท้าเข้าไปสัมผัสดิน พี่มลขับเคลื่อนพลังเล็กๆ เหล่านี้มาหลายปี และการที่แพรได้ค้นพบก็ทำให้เธอตกหลุมรักธรรมชาติเข้าอย่างจัง ถ้าสนใจก็เข้าไปดูในเพจเฟซบุ๊ก ‘ถิ่นนิยมเชียงดาว’ ได้นะ! 

เข้าสู่โลกพฤกษศาสตร์เต็มตัว

แพรเข้าเรียนต่อระดับปริญญาเอก ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาความหลากหลายทางชีวภาพและชีววิทยาชาติพันธุ์ (หลักสูตรนานาชาติ) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อย่างจริงจัง แม้อาจารย์จะตั้งคำถามว่าเธอจะเรียนไหวหรือเปล่า และคำตอบของแพร คือ “เดี๋ยวจะมีป้ายนักเรียนดีเด่นแปะให้ดูเลย”

ตั้งใจเรียนเพื่อเอาไปต่อยอดอะไรกับชีวิต

อยากจะสมัครเรียนป.เอกด้วยแหละ บวกกับเข้าป่าจนติดใจ มันดีตรงที่ถ้าเรียนวิชานี้เราจะมีทักษะการเอาตัวรอด ถ้าติดอยู่ในป่าก็จะรู้ว่ากินอะไรได้ ไม่ได้ เรื่องโลกของพืชก็จะมีพืชที่ให้สี เข้าทางที่เราชอบแต่งตัวอยู่แล้ว อย่างเมื่อก่อนราชวงศ์จีนก็ชอบเอาดอกเทียนมาตำแล้วหมักเล็บ หรือมะคำดีควาย เอามาถูแล้วจะเป็นฟอง ใช้สระผมได้ เรารู้สึกว่าสนุกจังเลย มีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะมาก ซึ่งหาไม่ได้ในห้างสรรพสินค้าที่เราเคยเข้าบ่อยจนปิดตาเดินยังได้เลย เราตื่นเต้นกับตลาดชุมชนมากว่ามันมีผักแบบนี้ด้วยเหรอ ดูเป็นอะไรที่ง่ายๆ แต่ทำให้ประกายเรากลับมาอีกครั้งหนึ่ง

พอเราได้คลุกคลีกับเพื่อนใหม่ ทำให้เราย้อนกลับไปที่คำว่า ‘คุณค่า’ ที่เคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าเกิดมาทำไมด้วยซ้ำ ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เราได้เห็นคุณค่าในตัวเองมากกว่าสวยไปสวยมาแบบเมื่อก่อน ตอนนี้อาจจะยังไม่รู้หรอกว่าเกิดมาทำไม แต่มีเป้าหมายมากกว่าเมื่อก่อน และช่วยรีเทิร์นให้กับคนอื่นได้

ชอบวิชาไหนมากที่สุด

วิชาพฤกษศาสตร์ พื้นฐานคือต้องรู้จักพืช เช่น กะเพราเป็นญาติกับโหระพา แต่ DNA ก็จะใกล้เคียงกับต้นสักซึ่งมันคนละไซส์กันเลย เราต้องเข้าแลบ เอาดอกไม้มาผ่ากลาง ดูรังไข่ เกสรสนุกมาก เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กมหาลัย 

ขุดดินสร้างสวนดาดฟ้า

“สวนดาดฟ้าถอดแบบมาจาก ‘ถิ่นนิยมคลาสรูม’ อยากให้ที่นี่เป็นที่ปลอดภัย ให้คนมานั่งพูดคุยกันที่สวนหย่อม จะพูดอะไรก็ได้และจะมีคนฟัง บางคนก็บินมาจากอเมริกา นั่งรถมาจากจังหวัดตาก มันอบอุ่นมากเลย เราได้เห็นความตั้งใจที่อยากมาของทุกคน” 

ไม่ว่าจะแฟนคลับหน้าใหม่ หรือหน้าเก่า หากยังติดตามแพรอยู่ เราเชื่อว่านอกจากจะได้เห็นคอนเทนต์ที่เปลี่ยนไป ผู้เป็นเจ้าของคอนเทนต์ก็ไม่ต่างกัน แพรเคยเปรียบว่าตัวเองเป็นดอกไม้เหี่ยวเฉาที่วันนี้กลับมาบานสะพรั่งอีกครั้ง การได้เริ่มขุดดินตั้งแต่ผักแปลงแรกและเห็นมันออกผลเต็มสวน เป็นแรงบันดาลใจในการลืมตาตื่นเช้าของแพร 

ระหว่างที่เธอพาเดินชมสวนดาดฟ้า เรารู้เลยว่าไม่เพียงแต่ความรู้เกี่ยวกับพืชที่อัดแน่นเต็มหัว แต่ความรักที่เธอมีให้เจ้าสวนนี้ก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน

จุดเริ่มต้นของสวนดาดฟ้ามายังไง

เป็นพื้นที่สวนหย่อมของคอนโดที่บ้าน ช่วงโควิดเราก็เปลี่ยนมาเป็นสวนหย่อมที่ปลูกผัก ทดลองทำผิด ทำถูกกันไปจนเริ่มเข้าที่ ตอนนั้นเราไปเชียงดาวช่วงโควิดก็คิดว่าทำไมที่นี่ไม่เห็นเดือดร้อนเรื่องการกินเลย เพราะที่นี่มีข้าว มีป่า สมุนไพร หมูก็มี อะไรที่เคยเห็นในเชียงดาวก็อยากให้ที่นี่มีบ้าง

เน้นปลูกพืชตามฤดูกาล ปีนี้ปลูกยากมาก ไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นฤดูร้อน หรือฝน อย่างกะหล่ำดอกก็เป็นพืชฤดูหนาว ช่วงนี้จะโตไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีมะเขือเทศ ไม้เลื้อยอย่างบวบ เมล่อน ฟักทอง ดินก็ใช้เศษพืช เศษผักเพิ่มลงไปแทนการรื้อ หรือซื้อมาเติม มีน้องชันโรงเป็นผึ้งช่วยผสมเกสร เก็บน้องไว้ในกล่องไม้ ที่เลือกผึ้งชนิดนี้เพราะน้องไม่เลือกดอก สมมติว่าตัวอื่นมาบินตอมแล้ว น้องก็ผสมต่อให้ พอเลี้ยงเขาแล้วก็ต้องมีแปลงดอกไม้เป็นอาหาร มีนกมาทำรังอยู่ มีดอกไม้กินได้ ดอกไม้ให้สีเอาไปทำลายเสื้อ หรือใช้ทาเป็นลิปสติก สับปะรดจากวันไหว้เจ้าก็เอามาเพาะแล้วมันก็ขึ้นเด่นมาอยู่หนึ่งลูก รอดบ้างไม่รอดบ้าง 

การได้กลับมาอยู่กับธรรมชาติทำให้ได้อะไรบ้าง

เราว่าธรรมชาติเขาไม่เคยเรียกร้อง แค่ทำสวนก็หัวโล่งแล้ว มันสอนให้เราปล่อยวาง เพราะไม่ว่าเราจะทะนุถนอมต้นนี้แค่ไหน แต่มันก็ตายได้ ธรรมชาติทำให้เห็นความจริง มันเห็นสัจธรรม และสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันคือมันเร็ว เรารับข้อมูลกันเยอะ จนบางทีต้องวางทิ้งไว้ ก็ถือเป็น Mindfulness อย่างหนึ่ง   

สเตปต่อไปคืออะไร

ตอนนี้กำลังปลูกบ้านที่เชียงดาว เราอยากขยายความรู้จากสวนดาดฟ้าที่นี่ไปสู่แวดล้อมที่มันธรรมชาติ อยากดึงองค์ความรู้ ภูมิปัญญาไทยที่มันกำลังสูญหายให้กลับมา 

แล้วชอบเวอร์ชันไหนของตัวเองมากที่สุด

เราว่าทุกเวอร์ชันสอนเราในรูปแบบที่แตกต่างกัน ตอนเป็นช่างแต่งหน้าก็คิดว่าเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดแล้ว เพราะเรามีความสุข แต่สุดท้ายแล้วมันไม่ยั่งยืนกับร่างกาย ตอนนี้เป็นเวอร์ชันที่มาอยู่กับดอกไม้ สีสันธรรมชาติ มันต่างที่เรารับสภาพความจริงของตัวเองได้ ไม่ต้องเครียดกับการไดเอต หรือต้องแต่งหน้าตรงมาตรฐานความสวยของสังคมตลอดเวลา 

อีก 10 ปีอาจจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้ อาจจะไปสายธรรมะเลยก็ได้ ถามว่าจะกลับไปเป็นช่างแต่งหน้าอีกมั้ย ก็ไม่แน่ เพราะสิ่งที่เรียนอยู่มันก็มีที่เกี่ยวกับพืชที่ให้ความสวยงาม

ก่อนพระอาทิตย์ใกล้จะหมดแสง เราถามแพรว่าอยากให้คนจดจำเธอได้ว่าเป็น ‘แพร’ หรือ ‘แพรี่พาย’ เธอตอบด้วยสีหน้ายิ้มสบายๆ ว่าอะไรก็ได้ไม่ติดเลย เพราะหลังจากเธอผันตัวมาเป็นผู้รักธรรมชาติตัวน้อย และมีคอนเทนต์ผ่านตาให้ได้เห็นบ้าง ก็มีคนมากมายที่เข้ามาคอมเมนต์ว่าติดตามเธอมานาน บ้างก็บอกว่าตามมาตั้งแต่อายุยังน้อย พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอได้ทบทวน และจำได้ว่าตัวเองเคยเป็นใคร

“อยากให้คนจำแพรี่พายว่าเขาเป็นคนที่ดีในทุกเวอร์ชัน และปรับตัวเก่งเหมือนพืชพันธุ์ มีวิวัฒนาการอยู่เสมอเท่านั้นเอง” พี่มลที่ยืนอยู่ข้างแพรไม่ห่างพูดทั้งยิ้ม ส่งให้เรายิ้มตามไปด้วย ไม่แค่ความสัมพันธ์แบบเพื่อนซี้ร่วมป่าที่เหนียวแน่น แต่ความรักธรรมชาติในตัวพวกเขาก็เช่นกัน

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

นอยบอย

ช่างภาพที่ชอบนอยเพราะน้ำตาลตก 🥲