“เอ่อ พี่ ผมหมดไฟ ขอแรงบันดาลใจหน่อย”
“มึงจะซึมอะไรวะ อย่ากระจอก! โลกนี้มันสำหรับคนแข็งแกร่งเว้ย”
เรากำลังคุยกับตากล้องมือทองที่เมื่อพูดชื่อเป็นอันรู้กัน เขาไม่ได้หนาหูคนในเรื่องสายอาชีพเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่เปล่งเสียงมันทั้งดังจนแสบแก้วหูบาดไปถึงขั้วหัวใจ หากเพราะคมคาย แต่ด้วยคำสุดจะเชือดเฉือน
กระแสตีกลับสู่ตัวเขามาเนิ่นนาน และยังยาวจนถึงปัจจุบัน
“เมื่อก่อนบอกไม่ศรัทธาในแบรนด์ แต่ตอนนี้สร้างแบรนด์”
“จ้ะ พ่อโยคีมีแอร์”
“ฟังหูไว้หู เรื่องดีแกก็พอมีนำมาปรับใช้ แต่บางเรื่องก็ใช้วิจารณญาณ”
และผู้เขียนเห็นด้วยกับความเห็นสุดท้าย
หนึ่งในสัจธรรมที่ไม่อาจเลี่ยงได้ เมื่อมีคนรักย่อมมีคนเกลียด บทสนทนาเหล่านี้จะไม่โน้มน้าวให้คุณรู้สึกรักเขา เพราะนั่นไม่ใช่แกนหลัก ประการเดียวที่อยากบอกเล่า (ขออนุญาตอิงจากอาจารย์แดงเล็กน้อย) คือ “ธรรมะแท้ไม่มีคำปลอบใจ แต่เมื่อธรรมะแท้เข้าไปอยู่ในใจ คนๆ นั้นจะเป็นอย่างไร นี่ต่างหากที่สำคัญ”
กางเกงยีนส์สองส่วนขาดวิ่น เสื้อยืดสีดำแบรนด์ ‘Truly’ ชายหน้าฉกาจใต้แว่นกรอบหนาเปิดประตูเชื้อเชิญให้เราเข้าไปในแหล่งขลุกตัวของเขา
Welcome to the real world of ‘แอ๊ะ – ชาติฉกาจ ไวกวี’
สกิญฺจนํ ปสฺส วิหญฺญมานํ
คนมีห่วงกังวล ย่อมวุ่นวายอยู่
เราโคตรจะงงว่าทำไมในห้องมีแค่ฟูกที่ไร้หมอน! ไม่มีสิ่งบันเทิงอย่างโทรทัศน์ไว้นอนดูเน็ตฟลิกซ์ ครั้นถามหาสัญญาณไวไฟก็บอกว่าไม่ได้ติด มองไล่ต่ำตามผนังกลับหาเต้าเสียบไม่เจอสักรู อย่างกับอะพาร์ตเมนต์โล่งที่กำลังจะปล่อยเช่า ประหลาดที่สุดคือไอ้ที่นอนแมวกลมๆ ขนาดเท่าก้นตรงมุมมืดของห้อง แอ๊ะว่าเขาใช้เป็นที่นั่งสมาธิ

“ห้องนอนไม่จำเป็นต้องมีปลั๊กไฟ ไอ้สัตว์! จะไปทำอะไรให้กระแสไฟมันเข้าตัวตอนกลางคืนวะ ไม่มีที่ชาร์จแบตด้วย เพราะกลับมากูก็จะต้องนั่งคุยงานจนจบ ไม่ได้นอนสักที” จากปากคำของผู้เป็นเจ้าของก็แจ่มแจ้งดี ทว่าออกจากห้องนอนไป สภาพแวดล้อมกลับปลอดโปร่ง ระเบียงเต็มไปด้วยต้นไม้เขียว ใบฟูฟ่องที่มองแล้วรู้ว่าคนปลูกเอาใจใส่ แม้ไม่มีเต้าเสียบ และสัญญาณอินเทอร์เน็ตก็ดูน่าอยู่ขึ้นมาไม่น้อย ทั้งเขาอวดว่ามีนกมาทำรังจนออกไข่หลายใบ เป็นการสวมสายสะพายว่าที่นี่ช่างสงบ
“ความน่ากลัวที่สุด คือคนคิดว่าพอฝึกสติ ฝึกธรรมะ แล้วจะต้องเป็นคนดี ซึ่งเราคิดว่าคนละแบบ เราใช้มันเพื่อดำเนินชีวิตอย่างไม่ทุกข์มากกว่า เราก็ยังเป็นคนที่ตั้งใจจะทำอะไรส้นตีนๆ อยู่เหมือนเดิม แต่เราไม่ทุกข์แล้ว ผมไม่ด่าคนหน้าเฟซบุ๊กมา 3 ปี จากคนที่เคยด่าวันละ 5 ครั้ง ผมว่านั่นคือการเปลี่ยนแปลงมากๆ เลย ใครมีดรามาอะไรผมไม่ไปพ่วงด้วย ผมโดนแขวนก็อยู่เฉยๆ ไม่ตอบ รู้สึกว่าโอ้! พอเราผ่านวันมาได้มันก็ไม่มีอะไรนี่ พูดไปวันนี้เขาก็จะหมั่นไส้ร่างใหม่ผม แต่แล้วไง ผมไม่อ่านคอมเมนต์”
แอ๊ะจั่วคำตอบแรกออกมา หลังจากที่เราถามว่าเห็นในสัมภาษณ์เก่าๆ บอกไม่โกรธคนนาน 3 ปีเป็นเรื่องจริงไหม จากเดือดพล่านกลายเป็นนิ่งขนาดนี้ได้ยังไง มันทั้งน่าแปลก และน่าค้นดูให้ลึกว่าเขาไปพบเจออะไรก่อนจะแปลงกายเป็นร่างนี้ เพราะย้อนกลับไปเขาเคยเป็นชาติฉกาจที่โคตรฉกาจจริงๆ ไปทางไหนก็ไปสุดราวว่าไม่กลัวตายด้วยซ้ำ ทั้งพยายามตะโกนดังเพื่อให้ทุกคนได้ยินว่าเขาอยู่ตรงนี้ และมีปากมีเสียงที่กังวานไม่แพ้ใคร

ทำไมเมื่อก่อนถึงต้องตะโกนออกไปแบบนั้น
“เด็กๆ พ่อแม่ผมติดคุก มีครอบครัวรับมาเลี้ยง เหมือนโตมาคนเดียว ไม่เคยถูกถามว่าเรียนเป็นยังไงบ้าง ข้าวอร่อยมั้ย สิ่งเดียวที่จะทำให้มีตัวตนได้ คือต้องมีความสามารถ เป็นเด็กเรียน แต่พอเป็นวัยรุ่นมันยากไปที่จะเรียนให้เก่ง ตะโกนบอกดิ เร็วกว่า ถึงกลายเป็น ‘แอ๊ะ Around Me’ เป็นแก๊งเฟ็ดเฟ่ มีทั้งคนที่ชอบให้เราตะโกนกับคนที่ไม่ชอบ แต่พอมาเป็นตอนนี้ธุรกิจผมดี ชีวิตสงบ ไม่ต้องต่อสู้กับใคร ไม่มีสาเหตุที่ต้องตะโกนแล้ว ตอนแรกก็เหมือนขาดอะไรไปนะ แต่สุดท้ายก็อ๋อ ร่างใหม่ของผมเปลี่ยนจากคนตะโกนเป็นคนรับฟังคนตะโกน เราเจอคนแล้วได้เปล่งพลังออกไปว่าเฮ้ย! สู้นะเว้ย ชีวิตมันห่วยก็จริงแต่ว่ามึงต้องสู้นะเว้ย”
ด.ช.แอ๊ะมีนิสัยยังไง
“ไม่มีปาก ไม่มีเสียง ขี้กลัว แล้วก็ไม่สู้กับใครเลย เป็นปมว่าตอนโตกูมีเงินแล้ว มีทีมแล้ว กูซ่า กูซัดมึงไม่เลี้ยงเลย เพราะกูเคยโดนพวกมึงข่ม ไอ้พวกคนที่เกิดมาพื้นฐานดี เราตะโกนเพื่อบอกว่ากูสู้มาขนาดนี้แล้วช่วยเห็นกูด้วยว่าจริงๆ แล้วมึงกับกูก็เท่ากันว่ะ”
“ผมเองพยายามลืมวัยเด็กมากๆ นะ เพราะมันเจ็บปวด แต่พอไปหาฮีลเลอร์มาเยอะ กลายเป็นเขาพยายามให้เรานึกถึงเด็กคนนั้น เพื่อที่สุดท้ายเราจะได้แบบ เฮ้ย! แอ๊ะ นายทำดีแล้ว ไม่ต้องรู้สึกผิดเวลานี้ ขอบคุณมาก ถ้าไม่มีนายวันนั้น ต้องไม่มีเราวันนี้แน่เลย แต่เราต้องจากกันแล้วล่ะ ผมว่าคนเราไม่กล้าเปลี่ยนตัวเอง เพราะกลัวการจากลาของเราคนเดิม”

กตสฺส นตฺถิ ปฏิการํ.
สิ่งที่ทำแล้ว ทำคืนไม่ได้
แอ๊ะถีบตัวเองขึ้นมา และใช้ปากกัดคนที่เคยข่มเขา จนกลายเป็นช่างภาพแนวหน้าระดับประเทศ หันหลังกลับไปบอกคนเหล่านั้นว่าเขาไม่ได้กระจอก แต่ท้ายที่สุดพอถึงจุดหนึ่ง การมีทุกอย่างกลับไม่ใช่ที่สุดของชีวิต กลายเป็นความเวิ้งว้างว่างเปล่าเหมือนหลุมดำในใจจนทำให้เขาคิดฆ่าตัวตาย เราย้อนถามถึงสาเหตุลึกๆ ว่าอะไรที่ทำให้คิดแบบนั้น
“รวยมาก สำเร็จมาก ทุกข์มากเลยอยากฆ่าตัวตาย ทุกข์หนึ่งของผมก็คือการอยู่ในวงการครีเอทิฟ เพราะมันต้องคอยดันอัตตาว่ามึงต้องเชื่อกู เราถูกโรงเรียนสอนว่าจงคิดของให้แตกต่าง แล้วเราก็เจ็บปวดกับคนที่ไม่ยอมรับเรา อยู่กับคำว่าผมแตกต่าง ไม่เหมือนใคร เอาจริงๆ แล้วเรามีอะไรแตกต่างกันบ้างวะ ไปออฟฟิศแล้วแบบกูมันแค่คนปั๊มเงินให้คนอื่นเหรอ ทางด้านภาพถ่ายผมว่ามันก็ใกล้จุดสูงสุดที่คนๆ หนึ่งทำได้แล้ว ไม่มีหนี้สิน มีของนอกกายเยอะพอที่จะเบื่อจนไม่ต้องการมันแล้ว แต่เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับชีวิตต่อไปก็คิดว่าถ้าหายไปน่าจะจบเร็วกว่าการที่ค่อยๆ แก่ตาย ไม่รู้ด้วยว่าจะเป็นอัมพาต หรือเป็นภาระใครหรือเปล่า”
หลังจากวางแผนว่าจะอันตรธานจากโลกไปได้ยังไงก็เริ่มบอกลาคนรอบตัว กระทั่งถูกรุ่นพี่คนหนึ่งตบกบาลเข้าเบาๆ มึงไปโกเอ็นก้าก่อนจะโบกมือแล้วกัน ไปเอากุญแจมา แต่ไม่ใช่เพื่อนำไปสู่ทางออกนะ มันเป็นแค่กุญแจไขประตูบานหนึ่ง เข้าไปแล้วแค่หลับตา ปล่อยให้เขาจูงอย่างเดียว
ถึงจะงุนงงว่ามันคืออะไร แต่แอ๊ะก็ตัดสินใจไป และ ‘โกเอ็นก้า’ แหล่งปฏิบัติธรรมได้กลายเป็นจุดเปลี่ยน หรือจะเรียกว่าจุดเกิดใหม่ก็ไม่ผิดนัก

จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ.
จิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้
สิ่งที่ต้องเจอเมื่อเข้าไปในโกเอ็นก้าคืออะไร
“ปิดวาจาไม่ให้พูด เพราะมันก็มีแต่เรื่องฉัน ไม่ก็เรื่องเธอ แล้วก็มีแต่เรื่องเพิ่ม ไม่ให้อ่าน ฟัง กินมังสวิรัติวันละมื้อสองมื้อ ตื่นตี 4 นอน 4 ทุ่ม นั่งหลับตาวันละ 16 ชั่วโมง ครั้งแรกๆ ผมก็ทรมานนะ ร้องไห้บอกอาจารย์ว่าขอกลับ เขาก็ไม่ให้กลับ มันอึดอัดไปหมดเลย อยากจะหนีออกมาแต่มันหนีไม่ได้”
“วันที่ 1-3 ฝึก ‘อานาปานสติ’ เป็นการฝึกความอดทนของเรา ให้อยู่กับลมหายใจอย่างเดียว มนุษย์ปกติที่ไม่ฝึกสติจะยึดติดเรื่องเบสิกอย่างอดีต เช่น ไอ้เหี้ยนี่แซะกู มันเลยมีตัวแทน ในอนาคตแต่งบทละครให้ว่ากูจะไปเอาคืนยังไง หัวก็ทุกข์ก็เจ็บอยู่กับการเอาคืน แต่ไอ้ตรงหน้าไม่ได้อยู่เลยพัง เราเป็นผลพวงของสิ่งนั้น ถ้ายังไม่เกิดก็ทำตรงนี้ให้ดีก่อน เราควบคุมตรงนี้ได้ แค่นี้เอง”
“ผมไม่อยากให้คิดว่าการไปทำเรื่องพวกนี้แล้วจะเป็นคนดี เป็นคนวิเศษ ตอนผมออกมาแรกๆ ก็บ้าก็หลุดอยู่ประมาณครึ่งปีนะ หลงใหลในฌาน อภิญญา (ความรู้พิเศษที่เกิดจากการอบรมจิต) นั่งเพ่งศีล เล่นฤทธิ์ระดับหนึ่งเลย มันเป็นคนโง่อะ คนที่มีปัญญาจริงๆ ไม่เอาเรื่องแบบนี้ใส่ตัวหรอก เขาไม่คิดว่าจะทำอะไรเกินธรรมชาติได้”

แล้วอะไรที่ทำให้เลิกบ้า
“ผมไปเจอคนที่ทำแบบนั้นแล้วเขาดูไม่โง่เท่าผมอะ (หัวเราะ) การมีคนรอบกายที่แจ๋วเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีด้วย ออกจากโกเอ็นก้ามาแล้วทำให้คนที่ไม่ควรอยู่หลุดไป แล้วก็ได้เจอคนใหม่เช่นกัน”
การปฏิบัติธรรมในโกเอ็นก้านี่ถูกจริตที่สุดเหรอ
“เป็นวิธีที่พังก์สุดมั้ง เราคิดว่าสมัยก่อนเราร็อกด้วยการตะโกนแรง คนชอบบอกว่าพี่แอ๊ะแม่งเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง แต่ผมว่าไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ผมยังเหมือนเดิม พังก์กว่าเดิมด้วย แค่กำลังเดินทางไปอีกโลกหนึ่ง แต่คนยังเห็นผมอยู่ในโลกใบเก่า เหมือนพี่ป๊อดที่ทุกคนยังอยากให้เล่นเพลงบุษบา แต่ช่วยฟังเพลงใหม่กูด้วยว่ามันไปถึงโลกไหนแล้ว”
“ผมเคยถูกเพื่อนแซะว่าถ้าหนังสือจะสัมภาษณ์คนแบบนี้ ก็ช่วยดูประวัติมันด้วยว่ามันเคยทำเหี้ยมาขนาดไหน ถ้าเป็นแต่ก่อนคงด่าแขวนมันไปแล้ว แต่ผมคิดแค่ เออ เขาทุกข์มากเลยเนอะที่ยังจดจำเราคนเดิม ทำไมเขาไม่คิดว่าทุกคนอยากจะเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีขึ้น คุณจำแค่เรื่องไม่ดีของคนๆ หนึ่งเอาไว้ แต่ผมก็ได้ชดใช้มันไปแล้วด้วยความทุกข์ในใจผม ผมว่าเวลาเราไปชกหน้าใคร หรือถุยน้ำลายใส่ เราก็มีความเจ็บของเรากลับบ้านไปครึ่งหนึ่ง คุณโคตรทุกข์เลยที่คุณบังคับให้ผมเป็นคนเดิมในชีวิตคุณ ถ้าไปดูคนที่เคยฮาร์ดคอร์ เคยพังก์นะ พอย่างเข้า 50 ทุกคนแม่งเป็นวีแกน ปลูกฟาร์มกันหมดแล้ว ผมว่านี่อาจเป็นจุดที่โหวกเหวก และรุนแรงที่สุดของความเป็นมนุษย์ คือมึงแม่งมันส์กับความสงบได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ”
“การไปโกเอ็นก้าไม่ได้มีอะไรที่มันแจ๋วเลย แต่ที่นั่นจำลอง ‘โลกที่เป็นสุข’ ให้คุณได้รู้ว่าที่ที่คนมีศีล ที่ที่ไม่มีคนเสือกกัน มีกฎแบบไม่มีใครสั่งมันรื่นรมย์ขนาดไหน จำลองเหตุการณ์ว่าคุณชอบไหมความสงบสุขแบบนี้ สิ่งสำคัญ คือตอนเราออกมาจากโกเอ็นก้า แล้วต้องกลับไปเจอเรื่องปลุกเร้าอีกครั้ง มีดที่ถูกลับมาให้คม มันคมจริงหรือเปล่า”

หลังออกมาจากโกเอ็นก้าแล้วมันเปลี่ยนวิถีชีวิตไปยังไงบ้าง
“เปลี่ยนเยอะเลย นั่งสมาธิเช้า เย็น ก่อนนอนไม่ขาด เป็นมังสวิรัติ แต่ก็กินเนื้อบ้างเวลาเข้าสังคม เพราะเริ่มรู้แล้วว่ามันตึงเกินไปทำให้เป็นบ้า กลัวจะไม่เฟี้ยวไง เดี๋ยวกูจะไม่ใช่คนเท่ในอุดมคติ การอยู่ในระเบียบเคร่งครัดมันแจ๋วว่ะ สุดท้ายก็เข้าใจ พระอานนท์แม่งเคร่งจัดเลย แต่เขาบรรลุได้เพราะชิลอะ แบบกูไม่เอาแล้ว พระพุทธเจ้าให้กูทำงานเยอะเกิน กูนอนแม่งเลย บรรลุเฉย ผมก็เออ ดอกนี้กูชอบว่ะ”
ชอบธรรมะอยู่แล้วหรือเปล่า
“ชอบตลอดนะครับ ผมถูกสอนให้กลัวในบาป แล้วก็ชอบเข้าวัดไปดูศิลปะในวัด แต่จะไม่ชอบธรรมะที่ถูกบังคับให้เป็นคนดี ไม่เข้าวัดเป็นคนไม่ดี สวดมนต์บาลียาวๆ เพราะรู้ว่าเราก็จำมันไม่ได้หรอก จะไปช่วยอะไรให้ชีวิตดีขึ้นวะ”
“ผมรู้สึกว่าธรรมะน่าสงสารตรงที่ถูกพุทธศาสนาเคลม พุทธเหมารวมว่าธรรมะเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว แต่จริงๆ แล้วธรรมะเป็นของมนุษยชาติทุกคน แล้วคำว่าคนที่ถูกเหมาว่าสำเร็จบรรลุธรรมได้ก็ต้องใส่ยูนิฟอร์มเหลืองหัวเหม่งอย่างเดียว ซึ่งเรารู้สึกว่ามนุษย์ธรรมดาก็เป็นโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลได้ แล้วคนก็จะคิดว่าสูงศักดิ์ มีอภินิหาร มีแสงส่องลงมา แต่ไม่เลย เขากินนอนปกติ”
“ความบ้าที่สุด คือทำไมเรานับถือศาสนาได้ศาสนาเดียว ศาสดาทั้งหมดก็อาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้ปะวะ เขาอาจจะเคยแฮงก์เอาต์กันอะ”

ทุกวันนี้มีรูปแบบฝึกเจริญสติอย่างไรบ้าง
“เยอะมากเลย ผมไม่ได้ไปแค่โกเอ็นก้านะ อีกที่ที่อยากแนะนำ คือปิยโปฎกธรรมสถาน จังหวัดลำพูน วิทยาศาสตร์สัตว์ๆ เลย เกี่ยวกับการเพ่งจิต มันใช้ได้จริง ช่วงนี้สันดานของผมมันอยู่กับเรื่องแค่นี้ ผมไม่โอเคกับการที่ชีวิตได้ทำหนังดี แต่ต้องขลุกในห้องตัด 2 เดือนแล้วไม่ได้นอน ผมอยากนอน ตื่นมาแช่น้ำ เล่นน้ำตก”
“ประเทศที่ดีควรจะให้เด็กเข้าใจ Mindfulness ตั้งแต่เนิ่นๆ เรามัวให้เด็กจำอะไรไม่รู้ ต้องเรียน สอบได้ที่หนึ่ง เราควรจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเพื่อมาสอนเด็กสิ คุณคิดดูว่าโลกเรามันวุ่นวายขนาดไหน เราจะให้เขามาอยู่กับความส้นตีนที่เราทำลายไว้ แล้วให้เขามารับมรดกต่อไปเพื่ออะไร เรากำลังสร้างให้เขาเกิดมาซวยอะ”

สทตฺถปสุโต สิยา
พึงขวนขวายในเป้าหมายของตน
เครื่องยืนยันได้ดีว่าแอ๊ะชอบธรรมะเป็นทุนเดิม คือชั้นหนังสือที่มีแต่หมวดศาสนา และมุมนั่งสมาธิ เบาะแมวใบหนึ่งที่กลายเป็นคนใช้ถูกวางไว้ในตู้เสื้อผ้าโล่งโจ้ง แอ๊ะจำลองการนั่งสมาธิที่ถูกวิธีให้เราดู ผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ ระหว่างนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดแหย่ว่าเขาดูเหมือนคนเผยแผ่ธรรมะมากกว่าตากล้องไปเสียแล้ว เขาสวนกลับทันทีว่าแล้วแต่คนจะคิด หากสิ่งที่พูดเป็นประโยชน์ก็ยินดี และดีใจด้วยที่มีคนไปโกเอ็นก้าเพราะคำบอกเล่าจากปากเขา
ภายในห้องยังมีสิ่งบ่งชี้อื่นที่หน้าตาเป็นแพตเทิร์นเดียวกันไปเสียหมด ทั้งเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ที่ปรากฎแบรนด์ Truly (ธุลี) ในฐานะที่เราอ่านเขียนวิชาพุทธศาสนามาก็จำได้ว่าธรรมะควรมาพร้อมกับการลดละกิเลส แต่หากชายผู้ซึ้งในรสพระธรรมตรงหน้าดันสร้างธุรกิจแบรนด์หนึ่งขึ้นมาล่ะ ถึงเป็นอันต้องถามเขาว่ามันดูจะสวนทางกันหรือเปล่า
“ผมกำลังเนิร์ดกับเรื่องว่าจะบาลันซ์สมดุลระหว่างทุนกับธรรมยังไง วิธีไหนที่รวยได้แบบไม่ละโมบวะ รู้ว่าตัวเลขเท่าไหร่รวยพอสำหรับคุณ ตอนเรียนปริญญาโทเขาว่าศิลปินต้องไม่ทำงานพาณิชย์ มันขายวิญญาณ แต่จริงๆ แล้วศิลปินดังทุกคนแม่งผ่านระบบการเงิน งานศิลปะแพงๆ ของประเทศไทยถูกกลุ่มพ่อค้าซื้อเพื่อเป็นการฟอกเงินบริษัทไม่ใช่เหรอ”

“อีกอย่างมันจำเป็นต้องแปะแบรนด์ว่านี่คือยี่ห้ออะไร ผมอยากทำ Truly ให้เป็นเครื่องนุ่งห่มที่คุณภาพดี เช่น ซับเหงื่อ ทรงสวย กระเป๋าทน เพื่อที่คุณจะเอาไปสู้กับชีวิตประจำวันในประเทศที่มีโครงสร้างห่วยๆ ได้ ไม่คิดว่าเป็นเจ้าของแบรนด์เลยต้องใส่ แต่เราทำของที่ดีที่สุดให้คนอื่น เพราะฉะนั้นถ้าเราใส่มันก็ต้องเป็นของที่ดีที่สุดกับเราเหมือนกัน”
“เป้าหมายของ Truly ไม่ใช่แบรนด์ แต่เป็นคอมมิวนิตี เป็นคัลเชอร์ของคนที่เขาเห็นว่าถ้าใช้อันนี้แล้วจะเป็นเพื่อนกันโดยอัตโนมัติ ผมรู้ว่าตัวเองเคยสร้างคัลเชอร์ของคนตะโกนชูนิ้วกลางกันในม็อบ พอวันหนึ่งกลับบอกว่ามานั่งสมาธิ กินผักกันเถอะ มันก็สะเทือนเหมือนกันแหละ แต่การที่เราได้คนเหล่านี้มาอยู่เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ เราชวนพังก์ ชวนคนขี้ยามาวิ่ง หรือปั่นจักรยานได้ ผมก็รู้สึกเฮ้ย! เจ๋งดิ การเปลี่ยนวงเหล้าเป็นปั่นจักรยาน นอนค้างคืนที่แคมป์ อาจจะไม่ใช่การกระทำที่เป็นคนดีอะไร แต่หน้าที่คือชวนว่ามาเป็นโยคีกันเถอะ”
“อย่างพอออกจากโกเอ็นก้าก็ทำกระเป๋ารุ่นใหม่ชื่อ ‘วาง’ เป็นกระเป๋าที่ไม่มีฟังก์ชันอะไรเลย เบามาก ใส่อะไรไม่ได้ เพราะไม่มีช่อง คือคุณต้องว่างก่อน คุณถึงจะวางได้ ถูกคิดด้วยคอนเซปต์ทางด้านความเข้าใจโลกแบบโยคี”

นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ.
ความรักอื่น เสมอด้วยตน ย่อมไม่มี
จะว่าไปแล้วนอกจากเรื่องอาชีพของแอ๊ะ หรือประวัติที่เคยไปโกเอ็นก้า ก็ยังไม่เคยได้ยินมุมมองอื่น นอกจากความขบถและคำพูดเถรตรง อดสงสัยไม่ได้เลยว่าเขากับเรื่องความรักจะเป็นคนยังไง เมื่อต่อมอยากรู้ทำงาน ปากก็เลยกระซิบถาม
มีวิธีบาลานซ์รักในแบบธรรมะที่เรียนรู้มาไหม
“คำว่า ‘เข้าใจ’ ที่แปลว่าเข้าไปอยู่ในใจเขา ถ้ารู้สิ่งนี้ได้ก็เคลียร์ทุกอย่างในจักรวาลได้ เพิ่งถูกนักบำบัดบอกว่าในงานคุณดุมาก คุณควรจะประนีประนอม และมีความสุข ส่วนชีวิตจริงคุณยอมหมด ก็ควรจะเอาความดุไปใช้”
แล้วหน้าตาความรักที่แท้จริงของแอ๊ะเป็นยังไง
“ความรักจริงๆ สำหรับผม คือการเห็นคนที่รักมีความสุขโดยที่เขาไม่ต้องมีเราก็ได้ นั่นคือความยิ่งใหญ่ และเฟี้ยวสัสๆ ถ้าคุณทำได้จริงนะ ผมว่าความร่ำรวยของผมในวัยนี้ คือมีความสัมพันธ์ที่ดี สุขภาพดี มีคนท็อกซิกศูนย์คนในชีวิต สิ่งที่แจ๋วที่สุด คือหลับเร็ว หลับลึก และตื่นมาสดใส”
ดูเป็นคนน่ารักนะ
“ครับ ผมเป็นคนน่ารักมาก แบบงับ ได้งับ คุยกับผู้บริหารก็ตอบได้เลยงับ แต่ส่วนใหญ่คนที่มาคุยชอบจั่วหัวดราม่า ผมก็ทำได้ไง ถ้าอยากได้แบบนั้น”
แอ๊ะชอบตัวเองในตอนนี้ไหม
“ชอบสิ ผมสร้างเขามาให้ผมรักเขา”
คงตอบไม่ได้หรอกว่าเนื้อแท้ของชาติฉกาจเป็นยังไง เพราะต้องทำความรู้จักกันมากกว่านี้อีก หรือไม่แน่อนาคตเขาอาจจะเปลี่ยนไปอีกก็ได้ใครจะรู้ ทว่าช่วงเวลานี้อาจเป็นการค่อยๆ แสวงหาตัวตน เดินบนวิถีของความมีสติอยู่ ชายที่ฉกาจฉกรรจ์ผนวกขี้เล่นนิดๆ กำลังนั่งชันเข่าท่าทางสบายได้ทิ้งทวนบทสนทนาไว้
“เราถูกระบบตัวหนังสือเท่ๆ มาครอบงำ คุณต้องไม่เปลี่ยน ต้องแน่วแน่ เอ้า! ก็กูเดินทางตรงแล้วเจอแยกมันน่าแวะ กูก็แวะดิ พรุ่งนี้ผมอาจจะบอกว่าไม่ชอบธรรมะแล้วก็ได้”
คุณอ่านบทสนทนาของแอ๊ะมาถึงตรงนี้ แล้วจะเอ๊ะหรือเปล่าเราไม่รู้ แต่ยังไงก็ตาม
สูดหายใจเข้าลึกๆ คนมีสติต้องอยู่กับลมหายใจ – ชาติฉกาจ ไวกวี
