การเติบโตของ Zack Tabudlo จากเด็กเก็บตัว สู่ศิลปินที่เข้าหาคนทั่วโลกด้วยดนตรีและภาษาฟิลิปปินส์

แซค ทาบุโดโล (Zack Tabudlo) คือศิลปินชื่อดังของฟิลิปปินส์ ที่สามารถทำให้คนไทยอกหักทิพย์กับเพลง ‘Pano’ ด้วยภาษาฟิลิปปินส์ได้ทั่วทั้งเมือง

เขาเริ่มต้นเส้นทางดนตรีตั้งแต่อายุ 12 ปี จากการประกวดในรายการ ‘The Voice Kids Philippines’ และทุ่มเทเวลาช่วงวัยรุ่นไปกับการแต่งเพลงอยู่ในห้องนอน จนปี 2021 เขาใช้ดนตรีเป็นสะพานข้ามพรมแดนไปหาผู้คนทั่วโลก ด้วยเพลงอกหักที่แต่งมาจากประสบการณ์ส่วนตัว อย่างเพลง Pano ที่มียอดสตรีมมิงทะลุ  1.3 ล้านครั้งไปแล้ว

เพลงของเขาไม่ใช่เพลงล้ำสมัยหรือมีเทคนิคแพรวพราวที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน แต่เป็นเพลงเนื้อหาจริงใจ เวลารักก็สุดจะคลั่ง จนพูดว่า “I want you to know. I love you the most.” ออกมาได้เต็มปาก อย่างเพลง Give Me Your Forever หรือถ้าจะเศร้าก็เจ็บจนต้องร้องขอชีวิต อย่างเพลง Pano “แล้วฉันล่ ะ คนที่ตกหลุมรักเธอแล้ว เธอจะปล่อยฉันไว้แบบนี้เหรอ ฉันไม่มีความหมายกับเธอเลยเหรอ” 

ไม่ว่าจะเป็นเพลงภาษาฟิลิปปินส์หรือภาษาอังกฤษเขาก็ถ่ายทอดมาได้ดีพอกัน รวมถึงมีคนให้ความสนใจเขามากมายแทบจะได้ยินผ่านหูทุกโซเชียลมีเดีย ทั้งหมดนี้ทำให้ในที่สุดชื่อของเขาก็กลายเป็นที่คุ้นเคยของคนทั่วโลก 

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่เราได้เจอกับแซค

ครั้งแรก เราเจอเขาในงาน Music is Universal ที่สิงคโปร์ แม้จะเป็นการแสดงนอกประเทศบ้านเกิดของตัวเอง แต่เขาก็พาผู้คนในฮอลล์สนุกไปดนตรีที่เขามอบให้

ส่วนครั้งที่สอง แซคเดินทางมาโปรโมตที่ไทย พร้อมถ่าย MV เพลงล่าสุด ‘Turn Back Time’ เพลงเศร้าจนใจเจ็บที่ครั้งนี้ได้ วี-วิโอเลต วอเทียร์ มาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวครั้งนี้ด้วย 

ไหนๆ ก็มาถึงไทยแล้ว เราไม่พลาดที่จะชวนเขามาพูดคุยอีกครั้งกับเบื้องหลังที่ว่า เขาทำเพลงที่เข้าถึงผู้คนทั่วโลกได้อย่างไร 

นอกจากจะพูดคุยถึงการทำงานกับเพื่อนคนไทย อย่าง วิโอเลต วอเทียร์ แล้ว เรายังชวนเขาพูดคุยถึงชีวิตวัยเด็กที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเด็กเก็บตัว แต่งเพลงจนแทบไม่ค่อยมีเพื่อน การรับมือกับความดังในช่วงอายุ 21 และอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน

พูดถึงการมาไทยครั้งนี้ มันพิเศษสำหรับคุณยังไง

นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้ว ครั้งแรกผมไม่ได้เจออะไรมากมาย ครั้งนั้นผมมาทำงานไปพร้อมๆ กับพักผ่อนไปด้วย ผมไม่ได้หยุดทำงานเพราะมีสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จตามเดดไลน์เยอะมาก จนกระทั่งมีเวลาว่างจากงานในสตูดิโอผมก็ได้ออกไปเจอศิลปินหลายๆ คน อย่าง PUN (สรณวรรธ พิชัยรณรงค์สงคราม) หรือ ไอซ์ พาริส ผมก็ออกไปดูคอนเสิร์ต วี วิโอเลต กับเขาตอนที่มาไทยครั้งแรก 

ส่วนครั้งนี้มีความชิลกว่าครั้งแรกเยอะ ในแง่ของการมาซึมซับบรรยากาศและวัฒนธรรม ผมรู้สึกอบอุ่นมาก ครั้งนี้ได้ไปเที่ยวหลายๆ ที่ และได้ทำการแสดงให้กับคนไทยเมื่อสองคืนที่ผ่านมา มันเยี่ยมมากเลยครับ

เล่าให้ฟังหน่อยว่าบรรยากาศในโชว์เคสครั้งแรกในไทยของคุณเป็นยังไง

ตอนที่ได้ยินว่ามีคนลงทะเบียนมาดู Exclusive Show สำหรับผมมันแบบบ้ามากจริงๆ  เพราะมีคนมาดูที่สยามกว่า 1,000 คน หรือมากกว่านั้น มันสุดยอดมากๆ เราไม่คาดคิดว่าจะได้มาแสดงที่นี่ให้แฟนไทยดูเป็นครั้งแรก แฟนๆ ชาวไทยก็เจ๋งมากเหมือนกัน ผมได้ไปเจอพวกเขาด้วยในงานมีตติ้ง แล้วในงานก็มีเข็มกลัด กระเป๋าผ้า ของเล็กๆ น้อยๆ สนุกมากครับ

คุณประทับใจอะไรในแฟนๆ ชาวไทย

ผมรู้สึกว่าแฟนๆ ชาวไทยอบอุ่นมาก และในแง่ของการแสดง เขามีรสนิยมการฟังเพลงที่ดีนะ นั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกได้ว่าคนไทยชอบฟังเพลง พวกเขาจะมีส่วนที่ชอบในแต่ละเพลงและอยากได้ยินสิ่งนั้น อีกอย่างผมรู้สึกถึงเอเนอร์จีของผู้คนที่มาดูผมแสดง รู้เลยว่าทำไมศิลปินต่างชาติถึงชอบมาแสดงที่นี่ แฟนๆ ดูเอ็นจอยมาก อาจจะเพราะวัฒนธรรมการฟังเพลงของที่นี่ดีมากด้วยแหละ

ได้ยินว่าเจอกับ วี วิโอเลต มาหลายครั้งแล้ว แตกต่างจากการเจอครั้งก่อนๆ ไหม

ผมไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นการทำงานเลย พอได้มาทำเพลงนี้กับวิโอเลต ผมรู้สึกว่าเรากำลังหาเรื่องสนุกๆ ทำกันอยู่ ซึ่งนั่นก็คือการทำดนตรี คือเราเป็นเพื่อนกันมาสักพักแล้วครับ เราส่งข้อความหากัน เราเจอกันครั้งแรกที่สิงคโปร์ แล้วก็ไปสังสรรค์กันนิดหน่อยที่นั่น เพราะเรามีแสดงในงานเดียวกัน คือ ‘Music is Universal’ กับศิลปินคนอื่นๆ ด้วย อย่าง lullaboy, Hay และ Youngblood  

ผมเลยรู้สึกดีที่ได้มาเจอกับวิโอเลตอีกครั้ง เธอเป็นคนที่ชอบออกไปสังสรรค์ซึ่งก็สนุกดีครับ แค่คราวนี้เราได้คุยเรื่องที่จริงจังขึ้น (Deep Talk) และลึกกว่าครั้งอื่นๆ เหมือนครั้งแรกก็จะแค่ เฮ้ เป็นไงบ้าง แต่ตอนนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวมากขึ้น เธอเป็นเพื่อนที่ดีครับ

เล่าเกี่ยวกับเพลง Turn Back Time หน่อย

เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมทำประมาณเดือนที่แล้ว มาจากตอนที่ทำงานอยู่เวียดนาม ช่วงที่ผมกำลังทำเพลงหนึ่งอยู่ ตอนนั้นอยากทำเพลงให้วิโอเลต เพราะเธอเคยสัมภาษณ์ในอินสตราแกรมว่าถ้าเกิดได้ร่วมงานกับศิลปินสักคนหนึ่งคนนั้นจะเป็นใคร แล้ววิโอเลตก็พูดถึงผม เธอโคฟเวอร์เพลง ‘Pano’ ด้วย

ผมเลยนึกภาพออก ถ้าจะต้องทำเพลง Pano ในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษและมีเสียงของวิโอเลตด้วยในแบบฉบับที่เป็นเพลงเศร้า นั่นก็เลยเป็นเป้าหมายในเพลงนี้ของผมที่จะทำเพลงแบบ Pano อีก ซึ่งผมได้วิโอเลตมาอยู่ในเพลง และหลังจากได้ฟังเพลงของเธอทั้งหมดมาแล้วก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกว่าดนตรีเข้ากับได้เพลงที่ผมทำพอดี เพราะงั้นตอนที่ผมส่งเดโมให้เธอ เธอก็ชอบเพลงนั้นนะ แล้วหลังจากนั้นเราก็มาทำเพลงด้วยกัน

การถ่าย MV เพลงใหม่เป็นไงบ้าง

เราเพิ่งถ่าย MV เมื่อคืน มันเจ๋งสุดๆ จริงๆ มันถูกเขียนขึ้นไม่กี่สัปดาห์ก่อน ก่อนที่เราจะสรุปอะไรหลายอย่างให้เรียบร้อย เพราะผมกับวิโอเลตค่อนข้างยุ่งกับตารางงานด้วย แต่มันก็ออกมาตามแผนนะ เราได้มาทำงานด้วยกัน ผมได้เจอกับวิโอเลตเมื่อประมาณสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ก่อนถ่ายทำ แล้ววิโอเลตส่งเสียงที่ร้องมาคืนนั้น จากนั้นเราก็ถ่ายมิวสิกวิดีโอด้วยกัน ซึ่งสนุกมากๆ 

แล้วผมก็ได้เจอกับไบร์ท (วชิรวิชญ์ ชีวอารี) ครั้งแรกที่ไทย แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยไปที่คอนเสิร์ตของวิโอเลตด้วย การได้ทำงานกับพวกเขาสุดยอดมากครับ ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวอีกหลายที่กับพวกเขาด้วย ถึงจะเป็นการถ่ายทำที่ยาวนานแต่ก็สนุกมากๆ

ย้อนกลับไป การเป็นศิลปินเป็นสิ่งที่คุณคิดว่าจะทำตั้งแต่แรกเลยไหม

ผมอยากทำเพลงและทำการแสดงเพื่อเพื่อนและคนอื่นมาตลอด แต่การแสดงในฐานะศิลปินไม่เคยอยู่ในเป้าหมายของผมเลย 

ผมทำเพลงเป็นงานอดิเรกที่ชอบ แค่ฟังเพลงและคัฟเวอร์ลงยูทูป นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้พอกลายเป็นศิลปินแล้วมันต้องจริงจังกว่าที่ผ่านมา ผมต้องโตและมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในแง่ของการทำดนตรีและการต้องทำงานกับคนอื่นๆ อย่างตอนทัวร์ทั่วอาเซียนหรือตอนทัวร์ที่สหรัฐอเมริกา 

สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมค่อยๆ เข้าใจว่าการเป็นศิลปินมันต้องทำอะไรมากมายขนาดไหน เมื่อคุณต้องทำดนตรีและเมื่อคุณต้องเทใจทั้งหมดให้มัน ก่อนหน้านี้มันแค่ทำไปสนุกๆ แต่ตอนนี้มันต้องจริงจังกับมันมากขึ้น

เหตุการณ์ไหนที่ทำให้คุณตัดสินใจเป็นนักร้อง

มันไม่มีเหตุการณ์ไหนจริงๆ ที่ผมจะรู้ว่าการเป็นศิลปินจะไปได้สวย เพราะมันเหมือนว่าถ้าคุณทำเพลง ยังไงคุณก็ต้องทำสิ่งนี้ อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่ามันเป็นงานอดิเรก แล้วก็ใช้เวลาหลายปีที่จะทำมันเป็นอาชีพจริงจัง ผมทำงานอย่างหนักตลอด 10 ปี และมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ผมแค่มีแรงจูงใจ 

ดังนั้นผมก็เลยแค่ทำมันต่อไปเรื่อยๆ เพราะถ้าผมทำและชอบมันจริงๆ อย่างน้อยมันไม่ว่ายังไงมันก็จะมีทางของมัน หมายถึงการเป็นศิลปินนะ แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่เคยคาดคิดจริงๆ ว่าจะทำสิ่งนี้อย่างจริงจังและมีแฟนทั่วโลกแบบนี้ เกินคาดสุดๆ ไปเลย

รู้สึกยังไงเวลามีคนบอกว่าคุณเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จแล้วด้วยอายุเท่านี้

มันบ้ามาก (หัวเราะ) ผมไม่รู้จริงๆ ผมไม่รู้จะยอมรับความรู้สึกที่ท่วมท้นแบบนี้ยังไงดี เพราะทุกที่ที่ผมไปสัมภาษณ์ ผมจะตอบว่าไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้มาที่ไทย และได้ร้องเพลงให้แฟนๆ แถมผมยังมีแฟนชาวไทยด้วย มันแค่รู้สึกว่าบ้าสุดๆ ไปเลย ที่อยู่ๆ ก็บินไปแสดงทั่วโลกและได้ทำสิ่งที่ผมรัก 

ผมเลยไม่รู้จะพูดยังไงกับการที่อายุ 21 และได้เติบโตในช่วงเริ่มต้นของชีวิต มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากๆ และเป็นความรับผิดชอบที่หนักอีกด้วยเหมือนกัน ดังนั้นตอนนี้ผมเลยแค่เอ็นจอยไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผมก็ตาม สุดท้ายแล้วผมก็แค่สนุกไปกับดนตรีจนถึงตอนนี้ก็พอ

ในวัยเด็กคุณนิยามตัวเองว่าเป็นเด็กประเภทไหน

สมัยมัธยม ผมเป็นเด็กแปลกๆ ครับ (หัวเราะ) โดยพื้นฐานแล้วก็เป็นเด็กเนิร์ดๆ ผมจะมีเป้าหมายอยู่ในใจตลอดว่าอยากเข้ากับคนอื่นๆ ได้ เพราะผมเติบโตมาในบ้านที่เรามักจะอยู่ติดบ้าน ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เช่น ดูทีวีในบ้าน เพราะงั้นตอนมัธยมผมก็จะมีมุมมองของเด็กที่มักจะอยู่ในบ้านเป็นส่วนใหญ่ มันค่อนข้างจะเป็นพื้นที่แปลกๆ สำหรับผมในช่วงนั้น 

ขณะเดียวกันผมก็ทำเพลงไปด้วย ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เหมือนกับทุกคนช่วงม.ปลาย คุณก็เป็นแค่เด็กธรรมดาที่แต่งเพลง แล้วก็ไม่ได้มีคนซัพพอร์ตคุณมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นช่วงมัธยมที่คนรุ่นเดียวกันก็ทำอะไรแบบนี้ เด็กคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะหันไปเล่นพวกกีฬา อาจจะเป็นบาสเกตบอล หรืออาจจะเป็นกิจกรรมอะไรเท่ๆ แต่ของผมจะแปลกแยกออกไป แค่อยากทำเพลงอยู่ในห้องของตัวเอง 

แล้วก็เหมือนคนอื่นๆ ที่อกหักครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งจริงๆ ก็เกือบตลอดนั่นแหละ ย้อนกลับไปสมัยเรียน ผมไม่ค่อยสมหวังเท่าไหร่พอเป็นเรื่องของความรัก ประมาณนั้นครับ ปกติก็แค่ทำเพลงและก็ไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่

เพลงของคุณดังมากบนสตรีมมิงแพลตฟอร์ม คนที่ฟังเพลงของคุณจึงไม่ใช่แค่คนที่เข้าใจภาษาฟิลิปปินส์เท่านั้น ตอนที่คุณทำเพลงได้คิดถึงคนอื่นที่ไม่เข้าใจภาษาฟิลิปปินส์ด้วยไหม

แน่นอนครับ ตอนเริ่มทำเพลงผมคิดว่าทำเพื่อคนฟิลิปปินส์ ดังนั้นมันเลยไม่ได้เป็นเป้าหมายของผมเท่าไหร่ที่จะทำให้คนนอกประเทศที่ไม่ใช่คนฟิลิปปินส์รู้จัก มันแทบไม่ได้อยู่ในความความคิดของผมเลย ผมจะทำเพลงให้คนในประเทศฟังและเอ็นจอยกับการทำเพลงมากกว่า 

แต่ตอนนี้มีคนต่างประเทศร้องเพลงภาษาตากาล็อกหรือภาษาฟิลิปปินส์ด้วย มันเลยกลายเป็นเป้าหมายของผมที่อยากจะทำเพลงในภาษาที่พวกเขาเข้าใจได้ด้วย เพราะงั้นผมเลยเริ่มเขียนเพลงเป็นภาษาอังกฤษแล้วก็ฟิลิปปินส์ แล้วก็พบว่ามันง่ายกว่ามากที่จะเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งทำให้ทุกคนเข้าใจเพลงได้ด้วย เพราะภาษาอังกฤษก็เป็นภาษาที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ

คุณคิดว่าทำไมคนถึงชอบเพลงของคุณ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ภาษาอังกฤษ

ผมไม่รู้เลยว่าจะตอบคำถามนี้ยังไง แม้กระทั่งผมและทีมเองก็ตกใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน ที่คนต่างชาติร้องเพลงภาษาฟิลิปปินส์ได้ เหมือนกับเพลง Pano ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้ตั้งใจว่าแบบโอเค จะเขียนอะไรที่คนอื่นร้องได้ แต่มันเหมือนปกติแล้วเวลาที่เขียนเพลงในภาษาหนึ่ง มันจะมีกำแพงภาษา คนที่จะร้องเพลงนั้นได้ก็อาจจะเป็นแค่คนที่ใช้ภาษานั้น ดังนั้นการเขียนเพลงแล้วมันสามารถไปไกลได้ถึงต่างประเทศเนี่ย มันแปลกมากจริงๆ ครับ

แต่มันก็เจ๋งมากเหมือนกันที่ทุกคนร้องได้ ในโชว์เคสได้มาแสดงทุกคนก็ร้องภาษาฟิลิปินส์นะ (หัวเราะ) เขาพยายามกันมาก มันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดมาก แล้วก็ทำให้เห็นถึงพลังของดนตรีด้วยว่ามันเป็นสากลยังไง ไม่ว่าคนนั้นจะใช้ภาษาไหน ตราบใดที่เป็นดนตรี เราก็จะเชื่อมโยงถึงกันได้

ได้ยินว่าคุณก็เป็นคนอ่อนไหว และหลายเพลงของคุณมักสื่อถึงอารมณ์เศร้า สิ่งนี้เข้ามาช่วยในการเขียนเพลงของคุณยังไงบ้าง

ความเปราะบางเป็นสิ่งที่คุณต้องอยู่กับมันตลอดครับ ในแง่ของการเติบโตกับดนตรี การเป็นคนอ่อนไหวทำให้คุณเขียนเพลงที่แตกต่างได้ โดยเฉพาะเมื่อคุณเพิ่งเริ่มต้น ผมใส่ความเปราะบางลงไปในเพลงเมื่อ 2 ปีก่อน แล้วนั่นก็ทำให้ผมกลายเป็นศิลปินอย่างทุกวันนี้ 

ความรู้สึกแบบนั้นแหละทำให้ผมจริงใจกับเพลง เพราะคนฟังเขาสามารถรับรู้ได้ว่าคุณจริงใจกับสิ่งที่คุณรู้สึกมากแค่ไหน ดังนั้นผมจะนึกถึงคนฟังมากๆ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ในทางตรงกันข้ามผมก็ทำให้คนมาเข้าใจผมด้วยเหมือนกัน 

แต่มันก็ยากนะ กับการที่จะเข้าใจสิ่งนั้นได้จริงๆ แต่ตอนนี้ผมเขียนสิ่งเหล่านั้นลงในเพลงของตัวเองได้แล้ว การซื่อตรงกับความเปราะบางของตัวเอง มันทำให้ผมได้รับความรักหรือข้อความจากคนทั่วโลกเขียนเล่าถึงสิ่งที่พวกเขาเจอมา มันเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากๆ เลยครับ

ได้ยินมาว่าพ่อของคุณเป็นแรงบันดาลใจในการทำเพลงของคุณด้วย

พ่อจะอยู่ข้างผมเสมอ ไม่ว่าผมจะทำอะไร เพราะงั้นผมเลยเติบโตมากับพ่อและมีคนในครอบครัวเป็นเบื้องหลังตลอด พวกเขามีส่วนในเพลงของผม อย่างพ่อ เขาเคยตั้งวงตอนเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนแม่ก็เป็นนักร้อง ทุกคนในครอบครัวต่างก็ร้องเพลงกัน แต่พ่อเป็นคนเดียวที่คอยผลักดัน และทำให้ผมรู้สึกไม่โดดเดี่ยว 

แต่จริงๆ ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าคุณยายผมก็เป็นอีกคนที่ผลักดันมาตั้งแต่แรก เพราะก่อนหน้านี้พ่อจะเป็นคนต่อต้านทุกอย่างที่เกี่ยวกับดนตรี เพราะเขาโตมากับสภาพแวดล้อมของวงดนตรีร็อก ยาเสพติด เขาเลยไม่ค่อยชอบที่จะให้ลูกเดินทางสายนี้ 

แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เห็นว่าสังคมก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ทุกวันนี้วงการเพลงก็โตขึ้นมากกว่าเดิม เวลาผ่านไปเขาก็เลยเป็นคนที่คอยอยู่เคียงข้าง ผลักดัน และเชื่อมั่นในตัวผม แล้วก็เป็นแรงบันดาลใจให้ผมทำเพลงต่อไป

เรามักเห็นคุณปล่อยเพลงใหม่ๆ ตลอด แต่ละครั้งก็ให้อารมณ์ที่แตกต่างออกไป คุณทำยังไงถึงปล่อยเพลงออกมาได้บ่อยขนาดนี้

มีคนถามคำถามนี้เยอะมากๆ ว่าผมทำยังไงให้มีเพลงมากขนาดนี้ ผมรู้สึกว่ามันเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างทีมผมที่ฟิลิปปินส์ เพราะพวกเขาคอยซัพพอร์ตเพลงที่ผมทำตลอด ทั้งทีม Universal Music และทีม Universal Music Philippines ที่ตกลงเอาด้วยกับไอเดียของผม ดังนั้นทุกครั้งที่ผมทำเพลง ผมจะรู้ว่าไม่ว่าเพลงที่ถูกปล่อยออกมาจะดีหรือไม่ดี พวกเขาก็ยังเชื่อมั่นในมุมมองของผมเสมอ มันก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงปล่อยเพลงออกมาได้บ่อย 

ต้องขอบคุณที่เขาชอบสิ่งที่ผมทำและทำให้การทำเพลงมันง่ายขนาดนี้ ทุกครั้งที่ปล่อยเพลงผมจะรู้สึกว่า โอเค มันจะต้องออกมาดี เพราะมีหลายๆ คนเกี่ยวข้องกับงานนี้ ดังนั้นมันก็เลยเป็นเรื่องที่เกิดพร้อมกันเสมอเวลาผมทำเพลงใหม่ ถ้าวันนั้นอารมณ์ดีแล้วเขียนเพลง ผมก็ส่งให้เขาเลย แล้วทีมก็จะคอย approve ว่าได้ไหม ถ้าได้ ก็เอาเลย วิธีทำงานก็เป็นประมาณนี้ครับ

การทำเพลงเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณเหรอ

ผมอาจจะเป็นคนที่ฝึกอะไรแบบนี้อย่างน้อย 10 ปีจนคล่องแล้ว ผมพยายามหาว่าเพลงแบบไหนที่เหมาะกับตัวเองและสามารถเล่นอะไรกับดนตรีได้บ้าง 

อย่างที่บอกว่าตอนมัธยมผมมักจะทำเพลง แต่มันก็เป็นเพลงห่วยๆ ไม่ได้เพราะเท่าไหร่ ออกจะแย่ซะมากกว่า แต่ถ้าคุณมาถึงจุดนั้นได้ คุณก็จะค่อยๆ เติบโตขึ้น ผมเลยฝึกเขียน เขียน และเขียนเพลงให้มากขึ้น ค้นหาเทคนิคการโปรดิวซ์ และอะไรก็ตามที่ทำให้ดนตรีของผมดีขึ้น อย่างการฝึกเล่นดนตรี จนมาถึงจุดที่ผมไม่รู้สึกว่าการทำเพลงเป็นเรื่องยากอีกแล้ว กลับกันผมมองว่ามันเป็นเรื่องสนุกมากกว่า ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ท้าทายคือการทำสิ่งที่แตกต่างจากเพลงที่ปล่อยไปแล้วก่อนหน้านี้ 

แล้วตอนนี้มีเพลงแบบไหนที่คุณรู้สึกว่าทำได้ยากบ้างไหม

ขึ้นอยู่กับเพลงครับ ผมรู้สึกว่าจะมีความยากก็ต่อเมื่อเราทำงานกับศิลปินคนอื่น เพราะที่ผ่านมาคุณอาจจะรู้สึกสบายใจเวลาทำเพลงของตัวเอง แต่ไม่ใช่เวลาต้องทำงานกับคนอื่นๆ ผมจะไม่ใช้คำว่ายาก แต่มันมีความท้าทายมากกว่าและมันก็เป็นส่วนที่สนุกด้วย เพราะคุณได้ดำดิ่งลงไปในที่ที่ไม่คุ้นเคย

อย่างการทำเพลงเราไม่ได้ไปทำกับเพื่อนเฉยๆ แต่คุณได้อยู่ในคอมฟอร์ตโซนที่จะได้ทำความรู้จักกับคนนั้นจริงๆ นอกเหนือไปจากเรื่องดนตรีอย่าง วิโอเลต เป็นต้น นั่นก็เลยทำให้ความสัมพันธ์ของคนที่ทำงานด้วยก็สำคัญเหมือนกัน 

เพราะฉะนั้นสำหรับผมมันคือความท้าทายที่จะได้เข้าไปอยู่ในเพลงหรือโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่คุณต้องปรับตัวเองให้เข้ากับงานนั้น แล้วต้องปรับตัวเองให้รู้จักกับคนๆ นั้นด้วย 

ถึงจะบอกว่ายาก แต่คุณก็มีเพลงที่ได้ไป Feat. กับคนอื่นมากมายนะ

นั่นก็เป็นความแตกต่างระหว่างทำเพลงของตัวเองและต้องเอาตัวเองไปอยู่เพลงของศิลปินคนอื่นๆ เพราะเวลาที่คุณทำเพลงของตัวเอง คุณจะมีสิ่งที่อยากใส่เข้าไป ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็คงเป็นวิโอเลตอีกนั่นแหละ ผมเป็นคนทำเพลงเอง มีทุกอย่างที่เสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วค่อยเอาใครสักคนมาอยู่ในเพลง สิ่งนี้มันท้าทายมาก 

แต่การที่ต้องใส่รสชาติของตัวเองลงในเพลงของคนอื่นมันง่ายกว่าครับ แต่ละอย่างก็มีความท้าทายของตัวเอง แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดีมากๆ เหมือนกัน

งั้นคุณจะเลือกอะไรระหว่างทำเพลงของตัวเองหรือไปทำเพลงกับคนอื่น

การร้องเพลงที่ตัวเองแต่งเองเป็นคอมฟอร์ตโซนที่ใหญ่มากๆ ของผมเลย โดยเฉพาะการต้องโตมากับการเขียนเพลงด้วยตัวเองมาตลอด พอเทียบกับการเข้าไปอยู่ในเพลงของคนอื่นมันก็เจ๋งเหมือนกัน เพราะคุณจะได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป เช่น ประเภทของเพลง ซึ่งมีวัฒนธรรมอยู่ในนั้นด้วย อย่างที่ผมเคยเข้าไปอยู่ในเพลงของนักร้องจากอังกฤษ ไทย หรืออินโดนีเซีย ซึ่งแต่ละเพลงก็มีดนตรีที่แตกต่างกัน เพราะศิลปินทุกคนต่างมีโลกของตัวเองที่สุดยอดมากๆ ทำให้บางครั้งการทำเพลงเองมันก็ออกจะน่าเบื่ออยู่เหมือนกัน เมื่อคุณต้องทำแบบนี้มาเป็นปีๆ (หัวเราะ)

สำหรับคุณ จำเป็นไหมที่ต้องมีช่วงพัก เพื่อหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ทำเพลง

แน่นอนครับ จริงๆ แล้วผมก็มีช่วงเบิร์นเอาต์เหมือนกัน จากการทัวร์และทำงานเกือบตลอด พอเป็นเรื่องดนตรี บางทีมันก็ดูดพลังงานไปเหมือนกัน ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติครับ แล้วก็ถึงจุดที่คุณต้องการจะหยุดคิดและพักผ่อนบ้าง 

สิ่งนี้มักเกิดขึ้นเป็นปกติกับโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงที่จะเกิดอาการหัวไม่แล่น โดยเฉพาะเวลาที่คุณหมดแรงเค้นไอเดียทั้งหมดที่มี แต่ในกรณีของผมก็จะถอยออกมาจากเพลง บางครั้งก็หยุดพักสัก 1-2 สัปดาห์ หรือ 1-2 เดือน แล้วค่อยกลับมา แต่หลังจากนั้นร่างกายก็จะกลับมาปกติครับ

คุณทำอะไรตอนที่ต้องพัก

ปกติแล้วก็จะไปเที่ยวกับเพื่อน เราจะออกไปขับมอเตอร์ไซต์กันรอบๆ เมือง ผมเป็นคนรักบิ๊กไบค์มาก ผมกับเพื่อนมักจะไปขี่ด้วยกันแล้วค่อยกลับบ้าน ทริปหนึ่งก็ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ขึ้นไปบนเขาแล้วก็มองพระอาทิตย์ตกหรือรอให้พระอาทิตย์ขึ้น แล้วก็ทานอาหารดีๆ กันก่อนค่อยกลับบ้าน

ถ้าย้อนกลับไปบอกกับตัวเองในอดีตได้ คุณอยากจะพูดว่าอะไร

จะบอกว่า ทำมันต่อไปนะ คือเด็กคนนั้นผ่านอะไรมาค่อนข้างเยอะ ในด้านความรัก อย่างการตกหลุมรักแล้วก็อกหัก ผ่านการสงสัยในตัวเอง ว่าสิ่งที่เขาชอบทำคืออะไร แต่ถ้าบอกกับเขาได้ ผมรู้สึกว่าเขาคงอยากจะก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้น แล้วมาอยู่ในจุดที่ผมอยู่ตอนนี้ ผมเลยอยากบอกเขาว่า ให้ทำมันต่อไป หวังว่างั้นนะ

ทุกครั้งที่คุณปล่อยเพลง คุณจะคาดหวังอะไร

ตอนนี้ผมคาดหวังมากขึ้นกว่าเดิมว่า อยากจะเข้าถึงหัวใจคนฟังได้จริงๆ ผมจะพูดเสมอตอนที่คุณเริ่มทำเพลง คุณจะเข้าสู่โซนที่เป็นพื้นที่ของคุณเท่านั้น แต่ตอนนี้คุณทำเพลงและมีคนฟังอยู่ทั่วโลก คุณมีคนฟังที่คอยให้แรงบันดาลใจ คุณจะเข้าสู่โซนที่คุณต้องทำเพลงที่ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เป็นคนอื่นแล้ว ซึ่งจริงๆ ก็เพื่อตัวเองด้วยนั่นแหละ 

ดังนั้นเป้าหมายและความคาดหวังของผม คือการที่สามารถคว้าใจคนฟังและทำให้เขารู้สึกว่าผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ทุกเพลงที่ผมทำ ผมหวังว่ามันจะเข้าไปสู่ใจคนฟังและทำให้นึกถึงประสบการณ์ของเขาได้ เพื่อบอกว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก อกหัก หรือความยากในชีวิตก็ตาม ผมเองก็เป็นมนุษย์ที่ต้องผ่านเรื่องแบบนี้เหมือนกัน ผมคาดหวังเรื่องเหล่านี้ครับ  

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

Cozy Cream

ไม่ใช่โซดา อย่ามาซ่ากับพี่