ลัดเลาะตามถนนประวัติศาสตร์ สำรวจความเชื่อและวัฒนธรรมที่ผสมผสาน ผ่านเมืองและย่านใน ‘มาเก๊า’

มาเก๊าเป็นเมืองที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ในวัฒนธรรมลูกผสม มีเส้นถนนที่เต็มไปด้วยเรื่องราว มีสถาปัตยกรรมที่คงความดั้งเดิมเอาไว้ได้อย่างดี มีเรื่องเล่าขานอันศักดิ์สิทธิ์ และมีแมวอ้วนให้แวะจกพุงเล่นระหว่างทาง

เรื่องราวที่เราหยิบมาเล่าต่อจากนี้คือนิยามของคำว่า ‘เสน่ห์’ ที่เราได้ค้นพบจากการลัดเลาะไปตามซอกซอยในย่านเมืองเก่าของมาเก๊า เมืองที่หลายคนได้ยินแล้วอาจจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจนัก แต่ในความจริงแล้วกลับเต็มไปด้วยเรื่องราว ‘พิเศษ’ ที่ซ่อนอยู่ในทุกรายละเอียด ซึ่งไม่อาจเห็นได้เลยหากเรามอง ‘มาเก๊า’ เพียงมิติที่ผิวเผินและไม่ได้ลงไปสัมผัสเมืองนี้อย่างลึกซึ้ง 

‘มาเก๊า’ เมืองเก่า เคล้าวัฒนธรรม
ทำความรู้จัก ‘มาเก๊า’ ผู้ดีมีเทสต์แห่งเอเชีย

สารภาพเลยว่าก่อนการเดินทางในครั้งนี้เรารู้เพียงแค่ว่า ‘มาเก๊า’ เป็นอีกเมืองซึ่งเป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย อีกทั้งยังมีหลักการปกครองแบบ ‘1 ประเทศ 2 ระบบ’ และเป็นเขตปกครองพิเศษของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งถูกส่งคืนจากประเทศเจ้าอาณานิคมอย่าง ‘โปรตุเกส’ มานานกว่า 25 ปีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ผู้คนที่นี่ก็ยังมีวิถีชีวิตและมีการใช้กฎหมายบางอย่างที่ไม่ได้เปลี่ยนไปจากสมัยอาณานิคมมากนัก

สำหรับเราแล้ว หากต้องเปรียบเทียบมาเก๊าเป็นคนคนหนึ่ง เขาก็คงเป็นผู้ดีมีเงิน คลั่งไคล้ในศิลปะ แถมยังชอบสะสมของเก่าไว้ในบ้าน หากรู้จักแค่เพียงผิวเผินอาจจะดูเข้าถึงยาก แต่หากได้ทำความรู้จักเขาอย่างจริงจัง จะรู้ว่าเขาเป็นคนที่มีเสน่ห์มากๆ เลยล่ะ

ครั้งนี้เราเดินทางด้วยสายการบินแอร์มาเก๊า ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมง โดยบินตรงมายังเมืองที่ดูเหมือนเกาะ และมีพื้นที่เพียง 33.3 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น หากนึกไม่ออกว่ามาเก๊ามีขนาดกะทัดรัดแค่ไหน เราอยากให้ลองนึกถึงจังหวัดภูเก็ตบ้านเรา ซึ่งแน่นอนว่ามาเก๊านี้มีขนาดเล็กกว่าเสียอีก

ถึงแม้ว่าเมืองนี้จะมีเนื้อที่ไม่มากนัก แต่ขอบอกเลยว่าจากที่เราได้สัมผัสมาตลอดระยะเวลากว่าค่อนสัปดาห์ เมืองนี้เขาอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวเล่าขานในทุกตารางนิ้วเลยจริงๆ เพราะตลอดทางที่เราได้ท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ของเมืองนี้ พี่ดาว ไกด์ผู้ชำนาญการของเรามักจะเล่าเรื่องราวสนุกๆ ได้แบบไม่หยุดหย่อน จนทำเราเข้าใจคำพูดที่หลายคนมักพูดกันว่า เรื่องเล่าคือสิ่งที่ทำให้เมืองน่าสนใจและน่าค้นหามากขึ้น แน่นอนว่าเรื่องราวของมาเก๊าก็ซื้อเราได้แบบอยู่หมัดเลยทีเดียว

a day มาเยือนมาเก๊าทั้งที เราก็ไม่พลาดที่จะคัดเรื่องราวและสถานที่ในเสน่ห์ ‘ที่ชอบ’ ของเมืองนี้มาเล่าสู่กันฟัง เผื่อว่าใครที่กำลังแอบเล็งหรืออยากแวะมาดูเจ้าเมืองเล็กๆ แห่งนี้อยู่ ก็อยากให้รู้ว่ามาเก๊าเขามีของดีรออยู่เพียบ

หากพร้อมแล้วก็เก็บกระเป๋า ใส่รองเท้า แล้วไปเที่ยวกัน!

ก้อนหินก้อนนั้น…

พิกัดแรกที่เราอยากพาทุกคนเปิดประตูสู่มาเก๊าคือวัดเก่าอย่าง ‘วัดลินฟง’ แต่ก่อนที่จะเข้าไปสักการะเทพเจ้าที่รออยู่ด้านใน เราหยุดชะงักกับเจ้าหินก้อนนี้ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร ก่อนที่จะเปลี่ยนความคิดเมื่อได้ฟังเรื่องราวของมัน

หินก้อนนี้ไม่ใช่หินธรรมดาที่วางไว้เพียงเพื่อประดับตกแต่งพื้นที่หน้าวัดแต่อย่างใด แต่มีตำแหน่งเป็นถึงอนุสรณ์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ หากใครมีโอกาสได้ไปเยือน ลองสังเกตบนก้อนหินจะเห็นว่ามีการจารึกวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 1849 ไว้ นั่นคือวันที่ผู้ว่าการ João Maria Ferreira do Amaral ถูกลอบสังหาร ณ พื้นที่บริเวณนี้

เรื่องราวมีอยู่ว่า เจ้าหินก้อนนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงผู้ว่าการ João Maria Ferreira do Amaral หรือ Ferreira do Amaral เจ้าพนักงานชาวโปรตุเกส ผู้มีบทบาทสำคัญในการขยายเขตแดนของมาเก๊าในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง โดยเขาได้ทำการขยายพื้นที่จากป้อมปราการ Monte ไปจนถึงบริเวณป้ายทางเข้าด่านชายแดนในปัจจุบัน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผู้ว่าชาวฝรั่งท่านนี้ถูกลอบสังหารเกิดจากนโยบายของเขาที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างอำนาจของโปรตุเกสในดินแดนนี้มากเกินไป จนได้สร้างความขัดแย้งกับคนจีนท้องถิ่นในยุคนั้น และนำไปสู่การลอบสังหารที่กลายเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของมาเก๊าเลยทีเดียว

อย่างที่บอกว่าเจ้าก้อนหินนี้ไม่ธรรมดา เพราะมันถือเป็นจุดที่เชื่อมโยงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างโปรตุเกสและจีนในยุคล่าอาณานิคม อีกทั้งยังเป็นอนุสรณ์ที่ตั้งเอาไว้เตือนใจ และสร้างความตระหนักในการอยู่ร่วมกันของทั้งสองชนชาติในแผ่นดินนี้

จุดธูปไหว้เทพ ขอพรให้อุ่นใจ ณ วัดเก่าของชาวมาเก๊า

หลังจากยืนสงบนิ่งอยู่หน้าก้อนหินก้อนนั้นได้สักพักก็ได้เวลาที่เราจะได้ก้าวเข้ามาในวัดลินฟงอย่างเป็นทางการ

‘วัดลินฟง’ (Lin Fung Temple) หรือ ‘วัดดอกบัว’ จัดเป็น 1 ใน 3 ของวัดที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1592 ราวสมัยราชวงศ์หมิง และถือเป็นอีกหนึ่งวัดที่ได้รับการปฏิสังขรณ์บ่อยครั้งที่หนึ่งในมาเก๊า

นอกจากวัดลินฟงจะถูกซ่อมแซมอยู่หลายต่อหลายครั้งแล้ว วัดแห่งนี้ยังถือเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในมาเก๊า ซึ่งแทรกตัวอยู่ในย่านที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังมีความโดดเด่นในแง่ของสถาปัตยกรรมที่นำเอาแนวคิดปรัชญาหยิน-หยาง มาใช้ในการออกแบบวัด รวมถึงมีการตกแต่งด้านหน้าอาคารด้วยดินเหนียวแกะสลักแบบนูนต่ำ ซึ่งแสดงภาพประวัติศาสตร์และตำนานอันเกี่ยวเนื่องกับความเชื่อในลัทธิเต๋าอีกด้วย 

ผู้ที่แวะเวียนมายังวัดแห่งนี้ มักจะนิยมไหว้สักการะเทพประธานของวัดทั้ง 2 องค์ ได้แก่ ‘องค์เจ้าแม่ทับทิม’ หรือ ‘องค์อาม่า’ ที่ชาวมาเก๊าเชื่อว่าสามารถขอพรท่านได้ทุกอย่าง และ ‘องค์เจ้าแม่กวนอิม’ หรือ ‘พระโพธิสัตว์กวนอิม’ ซึ่งมีศักดิ์สูงกว่าเจ้าแม่ทับทิม แต่ชาวมาเก๊าก็เชื่อว่าสามารถอธิษฐานขอพรท่านได้ทุกอย่างเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ภายในวัดยังเป็นพื้นที่ให้เราได้สักการะเทพองค์อื่นๆ ตามความเชื่อและการให้พรที่เฉพาะเจาะจงไปในแต่ละด้านอีกหลายองค์ ไม่ว่าจะเป็น ‘เทพอี่เหล็ง’ หรือ ‘เทพเจ้าแห่งการแพทย์’ ซึ่งผู้คนนิยมขอพรในเรื่องของสุขภาพ และโรคภัยไข้เจ็บ หรือเทพอีกองค์อย่าง ‘เทพกวนอู’ ซึ่งมักให้โชคให้ลาภในหน้าที่การงาน และเทพองค์อื่นๆ อีกเพียบ เรียกได้ว่ามาวัดนี้วัดเดียวก็สามารถขอพรจากเทพได้ในทุกด้านเลยทีเดียว

สำหรับเราแล้ว วัดลินฟงถือเป็นวัดที่เงียบสงบ ผู้คนไม่จอแจวุ่นวาย มีคนเข้ามาสักการะเทพอยู่บ้าง เมื่อได้เข้าไปยังวัดก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเบาสบาย ด้านหน้าวัดปลอดโปร่งและมีลมพัด อีกทั้งด้านในวัดยังตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นธูปที่อยู่เหนือศีรษะ การได้แวะมาขอพรเหล่าทวยเทพ ณ วัดแห่งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเดินทางมาทำความรู้จักกับมาเก๊าเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากเราจะได้อิ่มบุญ สบายใจไปทั้งทริป เรายังได้สัมผัสกับความเชื่อดั้งเดิมของคนจีนท้องถิ่นในมาเก๊าอีกด้วย 

ตึกแถววินเทจ และเสน่ห์ตามซอกซอย

หลังจากอิ่มบุญกันเป็นที่เรียบร้อย ระหว่างทางไปยังอีกหนึ่งสถานที่ เราได้เดินผ่านทั้งย่านการค้า ตรอกซอย และถนนเส้นสำคัญหลากหลายเส้นในย่านเมืองเก่า แต่สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาเราทุกครั้งคือตึกแถวระฟ้าที่เรียงรายกันเป็นทอดๆ ซึ่งจากการสอบถามก็ทราบมาว่าเจ้าตึกเหล่านี้เป็นทั้งที่อยู่อาศัยของผู้คน และด้านล่างก็เปิดเป็นกิจการร้านรวงในเวลาเดียวกัน

ตึกเหล่านี้ให้ความรู้สึกคล้ายกับฮ่องกง แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว อาจเพราะข้อจำกัดในพื้นที่ซึ่งทำให้การสร้างตึกสูงนั้นเป็นไปได้ง่ายกว่าการถมทะเลเพื่อเพิ่มพื้นที่ (ถึงตอนนี้มาเก๊ากำลังถมทะเลอยู่ก็เถอะ) แต่ซอกซอย และตึกอาคารในย่านเมืองเก่าเหล่านี้ สะท้อนให้เราเห็นถึงการจัดการเมืองของมาเก๊าที่ต้องรองรับประชากรหลายล้านคนในพื้นที่อันมีจำกัด แต่ในฐานะนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่ได้เดินผ่าน เรามองว่าตึกแถววินเทจเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ทำให้เมืองดูมีชีวิต เป็นเมืองที่ทำให้รู้ว่ามีผู้คนอยู่อาศัยและใช้ชีวิตจริงๆ เป็นความดิบที่มีเสน่ห์ในเวลาเดียวกัน ซึ่งแน่นอนว่าเราก็ไม่พลาดที่จะแวะบันทึกภาพไว้เสียหน่อยก่อนที่จะต้องเคลื่อนตัวไปยังจุดหมายต่อไปของการเดินทางในครั้งนี้  

จัตุรัสเซนาโด ยูเนสโกการันตี

หลังจากที่เดินลัดเข้าซอยนู้นออกซอยนี้ เราก็มาถึงบริเวณด้านหน้าโรงแรม Hotel Central ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจุดหมายปลายทางต่อไปของเราอย่าง ‘จัตุรัสเซนาโด’ (Senado Square) อีกหนึ่งพิกัดในมาเก๊าที่เป็นทั้งแลนด์มาร์ก และมรดกทางวัฒนธรรม หากไม่แวะเดินเล่นสักหน่อย อาจถือได้ว่ายังมาไม่ถึงมาเก๊าแบบออริจินอลของจริง 

‘จัตุรัสเซนาโด’ ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมมเมื่อปี 2005 หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ UNESCO World Heritage ซึ่งแน่นอนว่าพื้นที่บริเวณนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ย่านการค้าธรรมดา แต่ยังเป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่โชว์ลวดลายของสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของมาเก๊า

นอกจากพื้นที่บริเวณจัตุรัสจะประกอบไปด้วยตึกอาคารที่ผสมผสานระหว่างสิ่งปลูกสร้างแบบจีนและตะวันตกไว้ด้วยกันแล้ว จัตุรัสแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของโบสถ์สำคัญของเมือง และเป็นที่ตั้งของอีกหนึ่งแลนด์มาร์กในมาเก๊าอย่าง ‘ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล’ ซึ่งถือเป็นศาสนสถานเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอาณานิคมโปรตุเกสที่ยังคงถูกอนุรักษ์เอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้แวะมาเยี่ยมชม

นอกจากนี้อาคารสไตล์นีโอคลาสสิก (Neo-classic) โดยรอบจัตุรัสเองก็ถูกดูแลอย่างดีด้วยเช่นกัน โดยมีการทำข้อตกลงร่วมกันว่าไม่ให้ร้านต่างๆ ตกแต่งผนังด้านหน้าตึกเอง หากต้องการปรับเปลี่ยนต้องแจ้งเจ้าหน้าที่รัฐก่อน จึงทำให้แม้แต่ตึกร้านค้าต่างๆ ที่ไม่ใช่ของรัฐบาล ก็ยังคงสภาพแบบดั้งเดิมเอาไว้ได้ 

ความน่าสนใจอีกอย่างคือ ถึงแม้ตัวอาคารจะเป็นสไตล์ยุโรป แต่ตัวอักษรที่แสดงความเป็นร้านค้าก็ยังเป็นตัวอักษรจีน ขายของโดยคนจีนมาเก๊า ซึ่งส่วนมากก็เป็นอาหารจีนเสียด้วย 

เส้นทางคดเคี้ยวระหว่างทางที่จะเดินไปยังซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล เราพบกับร้านรวงต่างๆ มากมายที่เรียกลูกค้าให้มาลองแวะชิมหมูแผ่น ซึ่งดูจะเป็นของขึ้นชื่อที่ขายกันในบริเวณนี้ เรียกได้ว่าเห็นร้านขายของแบบเดียวกันนี้ไม่ต่ำกว่า 7 – 8 ร้านเลยทีเดียว 

นอกจากอาหาร พื้นที่บริเวณจัตุรัสเซนาโดก็เป็นที่ตั้งของร้านค้าแบรนด์ดังมากมาย ทั้งสินค้าแฟชั่น แบรนด์อาร์ตทอยชื่อดัง รวมถึงร้านขายของฝาก ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีสีสัน อัดแน่นไปด้วยผู้คน ผสมปนเปกันทั้งนักท่องเที่ยว รวมถึงคนมาเก๊าเอง ก็ดูมากิน มาช็อปที่นี่ด้วยเหมือนกัน 

ซากประตูวิหารเซนต์ปอล ร่องรอยที่เหลือจากกองเพลิง

เมื่อเดินมาจนสุดทางของจัตุรัสเซนาโด เราจะพบกับซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล อีกหนึ่งแลนด์มาร์กชิ้นสำคัญที่เราน่าจะเห็นกันบ่อยที่สุดผ่านโซเชียลมีเดีย มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และถือเป็นสัญลักษณ์ประจำมาเก๊าเลยทีเดียว

‘ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล’ (Ruins of St.Paul’s) คือส่วนหน้าของโบสถ์มาแตร์เดอิที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 17 ในช่วงปี ค.ศ. 1602 – 1640 โดยในอดีตวิหารเซนต์ปอลเคยเป็นศูนย์กลางทางศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ในยุคที่มาเก๊าเป็นเมืองท่าเชื่อมระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เมื่อในปี ค.ศ. 1835 ได้เกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ได้เผาทำลายวิหารจนเหลือเพียงส่วนหน้าของอาคารเท่านั้น 

อย่างไรก็ตาม แม้จะเหลือแต่เพียงซากประตูด้านหน้า แต่ความงดงามในสถาปัตยกรรมของวิหารหลังนี้ก็ยังคงเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของผู้มาเยือน หากมองให้ลึกลงไปถึงรายละเอียดจะพบว่า ซากประตูที่หลงเหลืออยู่ ถูกประดับประดาด้วยรูปแกะสลักที่มีความงดงามและแฝงด้วยความหมายทางศาสนา เช่น รูปพระเยซู พระแม่มารี และภาพสัญลักษณ์ของคริสต์ศาสนา รวมถึงลวดลายที่สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและจีนอันเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของเมืองลูกครึ่งอย่างมาเก๊า

ดังนั้น ซากประตูวิหารเซนต์ปอลจึงไม่ได้เป็นเพียงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์ไฟไหม้ หรือแลนด์มาร์กที่ถ่ายรูปสวยเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของมาเก๊าในฐานะจุดบรรจบของ 2 วัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย 

ศาสตร์ดั้งเดิมในเมืองใหม่

ก่อนจะโบกมือลาซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล เมื่อได้ลองหันหลังมองออกไป เราจะพบว่าตึกสูงซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่ มักมีการประดับหรือออกแบบยอดตึก ในลักษณะที่มีความพิเศษและเฉพาะ อาจเนื่องมาจากมาเก๊าเป็นเมืองซึ่งมีความเชื่อเรื่อง ‘ฮวงจุ้ย’ (Feng Shui) อย่างเข้มข้นไม่ต่างจากเกาะข้างๆ อย่างฮ่องกง

‘ฮวงจุ้ย’ คือศาสตร์ของชาวจีนที่ทั้งคนมาเก๊าและฮ่องกงเชื่อและปฏิบัติกันอย่างจริงจัง ฮวงจุ้ยคือศิลปะในการสร้างสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ เป็นการจัดการพลังงานหยิน-หยาง เพื่อก่อให้เกิดความสมดุล แม้ศาสตร์ฮวงจุ้ย จะดูเป็นสิ่งที่สวนทางกับเมืองที่อยากจะเจริญไปเป็นมหานครซึ่งเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายิ่งคนมาเก๊าให้ความสำคัญกับความมั่งคั่งร่ำรวยมากเท่าไหร่ พวกเขายิ่งให้ความสำคัญกับฮวงจุ้ยมากเท่านั้น

แม้มาเก๊าจะถือเป็นพื้นที่ซึ่งเรียกได้ว่ามีฮวงจุ้ยดีอยู่แล้ว จากการมีภูมิประเทศที่ติดกับทั้งภูเขา และทะเล แต่การออกแบบฮวงจุ้ยให้เสริมกับสิ่งที่มีอยู่ ก็เป็นสิ่งที่มักจะทำกันทุกพื้นที่ในมาเก๊าเช่นกัน โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งเป็นตึกอาคารสมัยใหม่ที่ใช้ประกอบธุรกิจ โรงแรม ธนาคาร และอื่นๆ เพื่อเป็นอีกศาสตร์ที่เสริมกำลังให้กับความมั่งคั่งของพวกเขานั่นเอง  

ลิตเติ้ลยุโรปแห่งมาเก๊า

ถ้าได้ลองเดินลัดเลาะไปตามสถานที่ใกล้เคียงกับแลนด์มาร์กในมาเก๊า เราอาจพบกับถนนสักเส้นที่เต็มไปด้วยตึกสไตล์ยุโรปที่ทั้งสวย ขลัง และโอจีแบบสุดๆ ก็ได้

ใกล้ๆ กับบริเวณซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล เราเดินมาเจอกับถนนเส้นหนึ่งที่เรียงรายไปด้วยอาคารเก่าในสไตล์โคโลเนียล ซึ่งใจกลางของถนนเส้นนี้คือโบสถ์เซนต์ลาซารุส (St.Lazarus) เป็น 1 ใน 3 ของโบสถ์โรมันคาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1570 เพื่อให้บริการทางศาสนาแก่ชาวคาทอลิกและดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อนในอดีต อีกทั้งสถาปัตยกรรมของโบสถ์นี้ยังถือเป็นการออกแบบอาคารในสไตล์โปรตุเกสแบบดั้งเดิมอีกด้วย 

แม้จะอยู่ใกล้ตัวเมืองและแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม แต่ย่านนี้กลับให้ความรู้สึกเงียบสงบ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอดีต ระหว่างทางที่เดินบนถนนสายนี้ เราเจอทั้งผู้คนที่ออกมาเดินถ่ายรูป ศิลปินมายืนวาดภาพสตรีต รวมถึงนักท่องเที่ยวแบบเราที่มาสอดส่องประวัติศาสตร์ของพื้นที่ตรงนี้ด้วย

ย่านนี้เป็นเหมือนแหล่งรวมของแกลเลอรี คาเฟ่เล็กๆ ร้านอาหารโปรตุเกส รวมทั้งเป็นสถานที่จัดนิทรรศการศิลปะ และงานเทศกาลทางวัฒนธรรมที่หลากหลายอีกด้วย

ละแวกนี้เป็นเหมือนกับพื้นที่ทางศิลปะและวัฒนธรรมของมาเก๊า ในขณะเดียวกันก็เป็นย่านประวัติศาสตร์ที่ยังคงไว้ซึ่งร่องรอยของอาณานิคมได้อย่างสมบูรณ์ ผ่านทั้งสถาปัตยกรรม และวิถีชีวิตของผู้คนเช่นกัน 

ตำนานเล่าขานแห่งวัดอาม่า

ก่อนจบทริปเราอยากพาทุกคนมาปิดท้ายด้วยความสิริมงคล และแวะฟังเรื่องราวเล่าขานจากอีกหนึ่ง Unseen ที่พลาดไม่ได้ในมาเก๊าอย่าง ‘วัดอาม่า’

‘วัดอาม่า’  หรือศาลเจ้าแม่ทับทิม เป็นวัดในลัทธิเต๋าที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1488  เพื่ออุทิศแด่เทพธิดาผู้พิทักษ์ท้องทะเลและชาวประมง โดยมีตำนานเล่าว่าหญิงสาวชาวฝูเจี้ยน ชื่อหลิงม่า ได้ข้ามเรือจากฝั่งมายัง ‘อ้าวเหมิน’ หรือมาเก๊าในปัจจุบัน แต่ในขณะที่เดินทางได้เกิดพายุ ทำให้เรือลำอื่นๆ ที่ข้ามฝั่งมาด้วยกันได้อับปางลง มีเพียงแต่เรือชาวประมงที่หลิงม่าข้ามมา ที่รอดจากพายุนั้นได้เพียงลำเดียว และทันทีที่นางได้ก้าวเท้าขึ้นฝั่งก็ได้เกิดปฏิหาริย์ โดยร่างของเธอได้ลอยขึ้นฟ้าและหายวับไปเบื้องหน้าชาวประมง

เรื่องราวปาฏิหาริย์นี้ถูกเล่าขานสืบต่อกันมา โดยชาวประมงเชื่อว่า ‘หลิงม่า’ คือเทพธิดาที่มาช่วยคุ้มครองชาวเรือให้รอดพ้นจากภัยอันตราย วัดแห่งนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออุทิศให้กับนาง และนับแต่นั้นมาบริเวณนี้ก็ได้ถูกขานนามว่า ‘อ่าวอาม่า’ หรือ (A Ma Gao) โดยผู้คนส่วนมากที่แวะเวียนมาที่นี่นิยมมาขอพรเรื่องหน้าที่การงาน ความสำเร็จ และที่สำคัญคือเรื่องการเงินที่เรียกได้ว่าหากได้มาขอที่วัดนี้จะได้บินกลับบ้านไปพร้อมโชคลาภอย่างแน่นอน 

เคล็ดไม่ลับในการขอพรที่เราอยากเอามาแชร์ให้ทุกคนได้ลองไปทำกัน อย่างแรกคือ หินสำเภาที่ตั้งอยู่ภายในวัด ว่ากันว่าเป็นจุดที่เรือของหลิงม่าได้ขึ้นมาเทียบท่าบริเวณนี้ ซึ่งบริเวณนี้เองก็เป็นจุดที่หากใครๆ ได้แวะมาวัดอาม่าจะต้องพับธนบัตร 10 ปาตาการ์เป็นรูปทรงสามเหลี่ยมและวาดมือไปตามเค้าโครงของเรือสำเภาที่สลักอยู่บนหิน พร้อมขอพรกับอาม่าในใจ เมื่อสิ้นสุดปลายเรือให้รีบเก็บเงินใส่กระเป๋า เชื่อกันว่าหากขอพรด้วยวิธีนี้จะทำให้มีเงินใช้ไม่ขาดสายตลอดทั้งปีเลยทีเดียว  

ใกล้ๆ กับวัดอาม่า เราได้เดินผ่านเส้นถนนที่สงบ เรียบง่าย แต่ก็เต็มไปด้วยเสน่ห์สถาปัตยกรรมที่ผสมกันทั้งแบบจีนและตะวันตก แม้วัดอาม่าจะเป็นวัดดังที่ทั้งคนมาเก๊าและนักท่องเที่ยวแห่มาไหว้พระขอพร แต่ย่านนี้กลับไม่ได้วุ่นวายอย่างที่คิด แถมยังเป็นย่านที่ยังคงมีผู้คนใช้ชีวิตกันตามปกติ 

อีกทั้งระหว่างทางเรายังเจอเข้ากับร้านค้าเล็กๆ ที่ตกแต่งอย่างน่ารัก สะดุดตากับสตรีตอาร์ตที่เล่าเรื่องราวของคนท้องถิ่น 

เอาเป็นว่าการมาแถวนี้นอกจากจะได้แวะมาสักการะองค์อาม่าแล้ว เรายังได้สัมผัสกับบรรยากาศสบายๆ ระหว่างทาง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่เราในฐานะนักเดินทางไม่ได้คาดหวัง แต่เมื่อได้เจอแล้วกลับเติมเต็มความรู้สึกอิ่มเอมในการท่องเที่ยวได้อย่างดีไม่แพ้สถานที่ Unseen ที่ได้แวะไปเยี่ยมชมก่อนหน้านี้เลย

แม้เป็นเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่มาเก๊าเป็นอีกเมืองที่เราอยากกลับมาอีกครั้งให้ได้ อยากลองไปในสถานที่ที่ยังไม่ได้ไป หรือแม้เป็นที่ที่ไปแล้วก็อยากไปซ้ำให้รู้จักมากขึ้น 

มาเก๊าไม่ได้มีเพียงแค่เมืองสีทองสไตล์ยุโรปที่เหมาะกับการท่องเที่ยวในยามราตรี หรือสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรมหรู แต่มาเก๊าเองก็มีเมืองเก่าที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ทางวัฒนธรรม มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม มีผู้คนที่หลากหลาย มีอาหารที่อร่อย มีเรื่องเล่าที่ไม่รู้จบ หากได้ลองมาทำความรู้จักกับเมืองนี้อย่างลึกซึ้งสักครั้ง เราว่าใครหลายคนอาจหลงรักในความพิเศษที่ซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางเมืองนี้อย่างแน่นอน

อ้างอิง
https://www.culturalheritage.mo/en/detail/99985?AspxAutoDetectCookieSupport=1
https://mgronline.com/travel/detail/9580000115703
https://www.macaotourism.gov.mo/th/sightseeing/macao-world-heritage/ruins-of-st-pauls

AUTHOR