พาซ้อน Vespa เที่ยวเมืองฮานอย ตามไปดูโรงงานผลิตแห่งใหม่ในดินแดนสองล้อ

หากมองไปบนท้องถนนในเวียดนามที่มีมอเตอร์ไซค์วิ่งกันขวักไขว่ เสียงที่จะได้ยินอย่างไม่ขาดสายก็คือเสียงบีบแตรที่ดังกึกก้องไปจนทั่วเมือง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครหลายคนจะมีภาพจำเวียดนามและให้ฉายาว่าเป็น ‘ดินแดนแห่งมอเตอร์ไซค์’

ยานพาหนะคู่ใจหลบหนีการจราจรที่ติดขัด บวกกับการขับขี่ที่สะดวกสบายและราคาถูกกว่ารถยนต์ ทำให้ตลาดมอเตอร์ไซค์ของประเทศเวียดนามยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความนิยมก็คงหนีไม่พ้นแบรนด์สกูตเตอร์ระดับไอคอนทุกยุคทุกสมัยอย่าง Vespa 

เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้เดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานผลิต Vespa ที่เมืองหวิงฟุก ประเทศเวียดนาม แน่นอนว่ามาถึงดินแดนแห่งมอเตอร์ไซค์ทั้งที เราก็ไม่พลาดเก็บบรรยากาศซ้อน Vespa ทัวร์เมืองฮานอย ที่เรียกได้ว่าเป็นการเปิดประสบการณ์มิติใหม่ที่ทั้งหวาดเสียวและสนุกไปพร้อมๆ กัน 

Factory of Emotional        

โรงงานผลิต Vespa เรียกตัวเองว่า ‘Factory of Emotional’

ที่นี่แตกต่างจากโรงงานผลิตรถทั่วไปอย่างไร นั่นคือคำถามที่เรากำลังจะพบคำตอบ

เบื้องหน้าเราตอนนี้คือโรงงานที่ใหญ่สุดลูกหูลูกตา 

โรงงานการผลิตของ Piaggio Group แห่งใหม่นี้ ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดหวิงฟุก ประเทศเวียดนาม ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 165 ไร่ หรือประมาณ 265,000 ตารางเมตร ที่นี่ถือเป็น 1 ใน 12 โรงงานจากทั่วโลกที่มีเทคโนโลยีและเครื่องจักรในการผลิตที่ทันสมัย    

โรงงานผลิตแห่งนี้เริ่มต้นโปรเจ็กต์ในปี 2007 และเริ่มสร้างในช่วงต้นปี 2008 ถ้านับดูแล้วเป็นระยะเวลากว่า 15 ปีที่โรงงานได้ผลิตผลงานไปแล้วหลายแสนคัน 

เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโรงงานแห่งนี้ถึงมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เพราะที่นี่ไม่เพียงแค่ครอบคลุมการผลิตที่ครบวงจรเท่านั้น แต่ยังมีส่วนวิจัยและพัฒนา (R&D) สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และมีสนามทดสอบภายในโรงงานอีกด้วย ซึ่งเป็นอีกฮับการผลิตสำคัญที่มีมาตรฐานการผลิตเดียวกันกับทุกโรงงานของ Vespa ทั่วโลกเลย 

แน่นอนว่าโรงงานแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่แบรนด์ Vespa เท่านั้น แต่ยังมีแบรนด์ Aprilia และ Moto Guzzi โดยแต่ละแบรนด์ต่างมีดีเอ็นเอและคาแรกเตอร์เฉพาะตัว ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่หลากหลายและยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างความสุขและความสนุกสนานสำหรับผู้ใช้งานเรื่อยมา

ทันทีที่เราได้ก้าวเข้าไปในส่วนไลน์ผลิตโรงงาน เราสัมผัสได้ถึงความใส่ใจในทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการเชื่อมถังด้วยแรงงานคน ที่ใช้โครงสร้างเหล็กขึ้นรูปเป็นส่วนหนึ่งของตัวถัง 

อย่างที่รู้กันว่า Vespa เกิดขึ้นที่ประเทศอิตาลีในยุคที่ประเทศเพิ่งแพ้สงครามโลกครั้งที่สองได้ไม่นาน ทำให้ชาวอิตาลีหลายคนพยายามฟื้นฟูอุตสาหกรรมของประเทศ หนึ่งในนั้นคือ คอร์ราดิโน ดาสคานิโอ (Corradino D’Ascanio) วิศวกรผู้สร้างสรรค์เครื่องบินผู้อยากออกแบบนวัตกรรมใหม่ที่นำชิ้นส่วนของเครื่องบินมาดัดแปลงเป็นยานพาหนะที่สะดวกสบาย และมีดีไซน์ที่พิเศษกว่ามอเตอร์ไซค์หรือจักรยานทั่วไป 

ด้วยความที่โปรดักต์ตัวแรกสุดของ Piaggio คือเครื่องบิน ดังนั้น Vespa จึงนำหลักการเจาะรูและการเชื่อมตัวเครื่องบินมาใช้กับตัวบอดี้ของสกูตเตอร์เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับตัวโครงสร้างมากยิ่งขึ้น ซึ่งการเจาะรูและเชื่อมตามจุดนี้ถือเป็นเทคโนโลยีที่ยังคงไว้เป็นเอกลักษณ์ของ Vespa มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

นอกจากโครงสร้างข้างในที่มีการเชื่อมจุดติดกันอย่างแข็งแรงแล้ว จุดเด่นอีกอย่างของเทคโนโลยีของ Vespa คือความสวยงามโครงสร้างรูปร่าง ยังคงยึดดีไซน์หลักจากสกูตเตอร์ในยุคคลาสสิกแบบเดิมไว้เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสความเป็น Vespa พร้อมแต่งแต้มสีสันให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานให้ได้มากที่สุด 

หลังจากเชื่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว โครงสร้างจะถูกส่งต่อตามไลน์การผลิตเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนลงสารเคมีเพื่อที่จะรักษาตัวคุณภาพของโลหะ ด้วยการเคลือบกันสนิมด้วยปฏิกริยาทางไฟฟ้า ก่อนจะนำเข้าเตาอบทำให้แห้งและเข้าสู่กระบวนการพ่นสี 

ความน่าสนใจของการพ่นสีของโรงงานที่นี่คือใช้วิธีการพ่นสีด้วยมือ เพราะพวกเขามองว่าการใช้แรงงานคนจะมีความใส่ใจและมีความละเอียดกว่าการผลิตในรูปแบบที่ใช้เครื่องจักร เมื่อทำการพ่นสีเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นจึงจะถูกส่งเข้าสู่ไลน์การประกอบชิ้นส่วนต่างๆ ก่อนที่จะเข้าสู่ห้องตรวจสอบคุณภาพในขั้นตอนสุดท้าย 

จากการเยี่ยมชมโรงงานตลอดทั้งวัน ขอบอกเลยว่าคุณภาพของโรงงานแห่งนี้นอกจากมีรายละเอียดในการประกอบอย่างใส่ใจและเป็นโรงงานที่มีมาตรฐาน พวกเขายังเป็นเหมือนผู้รักษาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเอาไว้ จึงไม่แปลกใจว่าทำไม Vespa ถึงกลายเป็นความภูมิใจแห่งชาติที่ต้องสืบทอดและส่งต่อไปเรื่อยๆ 

อีกหนึ่งเบื้องหลังความสําเร็จที่สำคัญคือผู้คน เพราะ Piaggio Group มีวัฒนธรรมองค์กรในการสนับสนุนให้พนักงานแต่ละคนสามารถเป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าพวกเขาจะมีอายุเท่าไหร่หรือบุคลิกภาพยังไงก็ตาม พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเสนอไอเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบความสวยงาม สีสันต่างๆ ไปจนถึงกระบวนการผลิต นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ Vespa กลายเป็นยานพาหนะที่สามารถเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนได้ทุกเพศทุกวัย

Enjoy Life

Vespa ไม่ใช่แค่ยานพาหนะ แต่เป็นความสนุกและไลฟ์สไตล์

นอกจากจะได้ไปเยี่ยมชมโรงงานแล้ว เราก็ได้มีโอกาสซ้อน Vespa ชมเมืองฮานอยในกิจกรรม Vespa City Tour รวมรถ Vespa หลากหลายสไตล์ มีทั้งรุ่นหายากและรุ่นคลาสสิกกว่า 50 คัน โดยงานนี้จะมีคนขับรถพาเราไปเที่ยวชมวิวและดูวิถีชีวิตตามย่านต่างๆ ทั่วเมือง

ฮานอยเป็นเมืองที่มีทะเลสาบจากธรรมชาติเยอะมาก จุดแรกที่เราแวะชมวิวคือ ‘ทะเลสาบตะวันตก’ ซึ่งถือเป็นทะเลสาบที่ใหญ่สุดของเมืองฮานอย บรรยากาศเย็นสบายเหมาะกับการมาพักผ่อน ถ้ามีเวลาทั้งวันเราคงอยู่ที่นี่ได้ยาวๆ เลย

ด้วยความที่เวียดนามเคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสมาก่อน เมื่อเดินทางไปเรื่อยๆ เราจะมองเห็นตึกสไตล์ฝรั่งเศสตลอดสองข้างทาง รวมไปถึงสถาปัตยกรรมอย่าง ‘โรงละครฮานอย’ ที่ตั้งอยู่ในกลางเมืองแห่งนี้ที่ได้รับอิทธิพลมาจากโรงละครโอเปราที่เก่าแก่ที่สุดของปารีส

จุดชมวิวสุดท้ายของค่ำคืนนี้มาจบกันที่หอคอยเต่า ตั้งอยู่กลางทะเลสาบคืนดาบ สวนสาธารณะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเวียดนาม และฝั่งตรงข้ามก็จะมี ‘อนุสาวรีย์ Ly Thai To’ กษัตริย์ผู้แต่งตั้งเมืองฮานอยที่ผู้คนมักจะมากราบไหว้และแวะถ่ายรูปกัน 

ถึงแม้ว่าวันที่เราไปฝนตกทำให้พื้นถนนค่อนข้างลื่น ต่างคนต่างหาจังหวะแทรกกันไปมา แต่ก็เป็นการเปิดประสบการณ์มิติใหม่ที่ทั้งหวาดเสียวและสนุกไปพร้อมๆ กัน การจราจรและการขับขี่ในเวียดนามที่ขึ้นชื่อว่าปราบเซียนมากๆ แต่ Vespa ก็มีความคล่องตัวในการใช้งานโดยไม่มีเรื่องกระทบกระทั่งใด​ๆ​ เราจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Vespa ถึงได้ครองใจใครต่อใครมาจนถึงทุกวันนี้