‘ถ้าเปรียบ Three Man Down เป็นเกม พวกเราเพิ่งเจอบอสตัวแรก’
นี่คือประโยคที่อธิบายการเดินทางของวงดนตรีป็อปร็อกที่เล่นเกมเป็นงานหลัก เล่นคอนเสิร์ตเป็นงานรองได้ดีที่สุด
a day มีโอกาสได้คุยกับ Three Man Down ไปแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน ปัจจุบันมีสมาชิก 4 คนด้วยกัน กิต–กฤตย์ จีรพัฒนานุวงศ์ (นักร้องนำ), ตูน–พีรพล เอี่ยมจำรัส (กีตาร์), เต–เตธนันท์ วงศ์ปรีชาโชค (กลอง) และ เส็ง–วิศรุต ปฐมสิริไพศาล (ซินธิไซเซอร์)
ถ้านับเวลาในการเป็นเพื่อนร่วมวงตอนนี้ เป็นเวลากว่า 11 ปีแล้วที่ Three Man Down ใช้ชีวิตบนเส้นทางดนตรีที่ประกอบไปด้วยความผิดหวังและความสมหวังมาด้วยกัน ผ่านการเติบโตมาหลายต่อหลายครั้ง
จากวงดนตรีของเด็กมหาวิทยาลัยสู่เวทีประกวดมากมาย จนในที่สุดก็ได้ก้าวเข้ามาเป็นศิลปินเต็มตัวในค่าย Gene Lab พวกเขาค่อยๆ สร้างตัวตนด้วยการทำเพลงและการเขียนเนื้อร้อง ทั้งหมดล้วนเป็นความตั้งใจที่อยากสื่อสารความเป็นตัวเอง บวกกับประสบการณ์ที่มีแต่มากขึ้น ทำให้การถ่ายทอดความเป็นพวกเขายิ่งเด่นชัดมากขึ้นตามกาลเวลา
แต่สิ่งที่ยังมั่นคงอยู่ในตัวพวกเขาคือมิตรภาพและความผูกพัน
ในแง่ของวาระ ‘เด็กเกินไป’ คือเพลงช้าเพลงแรกในอัลบั้มที่สองของ Three Man Down หลังจากที่วงปล่อยเพลงเร็วและดุเดือดออกมาให้เป็นที่รู้จักกันมาก่อนหน้านี้แล้วอย่าง ‘ปล่อยให้เวลา’ ‘น้อง’ และ ‘ไหนบอกเลิกแล้ว’ โดย ‘เด็กเกินไป’ คว้ายอดผู้ชม 3 ล้านกว่าวิว หลังเพิ่งปล่อยเพลงออกมาได้ไม่นาน
แต่ในแง่การเติบโต ‘เด็กเกินไป’ ได้พาผู้ฟังย้อนความทรงจำไปในตอนเด็กในวันที่เรายังไม่โตพอจะเข้าใจเรื่องต่างๆ ในชีวิต พวกเขาเขียนเพลงนี้ขึ้นจากประสบการณ์ของตัวเอง ผสมกับความรู้สึกที่มีทั้งผู้ใหญ่และเด็กในทุกๆ วินาที
ทั้งหมดนี้เองคือสิ่งที่เราตั้งใจชวน Three Man Down คุยในวันนี้ ในแง่ของตัวตนและการเติบโต รวมไปถึงสิ่งสำคัญที่ทำให้พวกเขาเลือกทำแบบที่ทำอยู่ทุกวันนี้
คำถามแรกไม่ถามไม่ได้ ชีวิตนี้ขาดเกมได้ไหม
กิต: ตายยยยยย เป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่เล่นเกมผมขอไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ดีกว่า การดำรงชีวิตของผมแม่งคือการเล่นเกม ผมเคยคิดว่าสักช่วงชีวิตหนึ่งผมไม่เล่นเกมก็คงอยู่ได้ ล่าสุดแขนหักเล่นเกมไม่ได้ ผมตาย ตอนนี้ผมเพิ่งเกิดใหม่ (หัวเราะ)
เต: ถ้าไม่เล่นเกมก็ดูคลิปเกม หาข้อมูลเกี่ยวกับเกม
เส็ง: แต่ก็จะไม่มีความสุขเท่าเล่นเกมนะ เล่นเกมมีความสุขกว่า
แล้วถ้าไม่เล่นเกม พวกคุณทำอะไร
เต: ถ้าไม่เล่นเกม เชี่ยเอ้ย คือมันไม่มี
กิต: มืดแปดด้าน ขนาดเมื่อกี้มึงยังชวนกูขึ้นเกมใหม่อยู่เลย (หัวเราะ)
รู้สึกยังไงกับที่บางคนพูดว่า ‘โตแล้วนะ ยังเล่นเกมอยู่อีกเหรอ’
เต: คุณจะรู้ได้ไงว่าคุณโตแล้วในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง วันนี้ผมเป็นนักดนตรี อาจจะเป็นผู้ใหญ่ในวงการดนตรีแล้ว แต่วงการเกม ทำอาหาร หรือวาดรูปผมอาจจะเป็นเด็กก็ได้
เส็ง: ไม่อยากให้มองว่าอันนี้คือเด็กหรือผู้ใหญ่ เพราะสุดท้ายแล้วคนที่อายุน้อยกว่าเราก็อาจจะเล่นเกมเก่งกว่าก็ได้ อันนี้เรียกว่าเป็นผู้ใหญ่สำหรับเราเหรอ เราเป็นเด็กนะถ้าเราเข้าวงการนั้น
ไหนๆ เพลงใหม่ของ Three Man Down ก็พูดถึง ‘เด็กเกินไป’ คำนี้ในความหมายของพวกคุณคืออะไร
เต: คำว่า ‘เด็กเกินไป’ ในเพลงมันอาจจะหมายถึงความรักหรือช่วงอายุ แต่จริงๆ แล้วการเป็นเด็กมันไม่ได้หมายถึงอายุ มันอาจจะหมายถึงวุฒิภาวะหรือประสบการณ์ที่เรามีไม่เท่ากัน ถ้าประสบการณ์คุณมากกว่าผม แต่คุณอายุน้อยกว่าผม นั่นผมจะบอกว่าคุณเด็กเกินไปไม่ได้นะ
กิต: เรื่องนี้มันต่อยอดไปสู่คำว่าอาบน้ำร้อนมาก่อน แล้วก็ต่อยอดไปสู่การดูแลบ้านเมืองหรือสังคมที่คนมองว่าไม่ควรให้เด็กขึ้นมาเกี่ยวข้อง
เส็ง: ผมมองว่ามีแค่ประเทศนี้รึเปล่าวะที่ใช้คำๆ นี้
กิต: ใช่ เพราะว่าในต่างประเทศบางครั้งมันจะมี TED talks ให้เด็กขึ้นไปพูดในเรื่องสิทธิเสรีภาพของเด็กด้วยซ้ำ แล้วผู้ใหญ่ควรจะฟังว่าเด็กเขาก็มีวิธีคิด หนึ่ง เราควรจะไม่ไป jugde ว่าคุณแม่งเป็นเด็กไร้สาระ ไม่ฟัง
เต: ซึ่งในวันที่เด็กคนนั้นพูด คุณอาจจะลืมไปแล้วก็ได้นะว่าตอนที่คุณเป็นเด็ก คุณก็อาจจะคิดแบบนี้ ความเป็นเด็กในตัวคุณมันได้หายไปแล้ว แต่คุณกลับไปบอกว่าเด็กคนนั้นว่ามันยังเด็กเกินไป เด็กคนนี้แม่งไม่เข้าใจหรอกว่าผู้ใหญ่คิดอะไร แต่ผู้ใหญ่คนนั้นก็ไม่มีทางเข้าใจว่าเด็กคิดอะไรเหมือนกัน
เพลงนี้แตกต่างจากเพลงอื่นๆ ที่เคยทำยังไงบ้าง
ตูน: อัลบั้มนี้เราพยายามจะพูดถึงเรื่องที่มันไม่ค่อยมีคนพูดถึง คอนเซ็ปต์คือเราจะทำทุกอย่างที่เราไม่เคยทำ ซึ่งเพลงนี้ผมก็จะพูดถึงคำที่เรามักจะได้ยินบ่อยๆ ตั้งแต่เด็กคือ ‘เดี๋ยวโตขึ้นไปก็เข้าใจเองแหละ’ คำๆ นี้มันติดอยู่ในใจผมมานานแล้ว แล้วผมก็รู้สึกว่ามันเป็นพอยต์ที่น่าสนใจที่จะเอามาแตกประเด็นเป็นเพลงได้
กิต: ตอนแรกมันก็คล้ายๆ เพลงที่พูดถึงความรักครั้งแรกที่มันเจ็บปวด ทุกคนมันก็ต้องเคยมีรักครั้งแรกที่ไม่ได้สวยงาม รักครั้งแรกมันยากมากที่จะเป็นรักครั้งสุดท้าย ซึ่งมันก็อาจจะเป็นความรักที่ดูเด็กๆ แต่ว่าด้วยตัวเอ็มวีมันก็เข้ามาขยายเพลงให้มันโตขึ้นด้วยการพูดถึงครอบครัว
เต: จริงๆ แล้วรักครั้งแรกของคนเราคือครอบครัว การที่เรารักครอบครัวมาถึงในช่วงอายุหนึ่ง เราก็ไม่ได้แฮปปี้ขนาดนั้น ในครอบครัวเราก็มีอาจจะมีปัญหามากมายเกิดขึ้น ตัวเอ็มวีมันอธิบายว่าจริงๆ แล้วครอบครัวมันก็สามารถทำให้เราเจ็บปวดได้เหมือนกัน เหมือนที่ครอบครัวบอกเราว่าเรื่องของผู้ใหญ่โตแล้วจะเข้าใจ
เส็ง: ผมชอบที่ผู้กำกับเขาตีความว่าไม่มีสิ่งไหนที่เราจะรู้ไปซะทุกเรื่อง สมมติว่าเราอายุ 20 ก็อาจจะไม่รู้ในหลายๆ เรื่อง พอเราอายุ 80 ก็มีเรื่องที่เราไม่สามารถรู้ได้อีก ในหนึ่งชีวิตคนมันจะมีเรื่องที่เราไม่รู้ไปเรื่อยๆ ไม่มีทางที่เราจะโตไปแล้วสามารถเข้าใจได้ทุกอย่าง
คิดยังไงกับประโยคที่บอกว่า ‘เพราะเป็นวัยรุ่นถึงเจ็บปวด’
กิต: ผมมองว่าวัยรุ่นมันเป็นแค่ช่วงที่มีโอกาสเจ็บปวดอย่างเป็นรูปธรรมได้ชัดเจนมากที่สุดแค่นั้นเอง แล้วความเจ็บปวดที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดในวัยรุ่นแม่งคือความรัก ช่วงนี้มันเป็นเปอร์เซ็นต์ที่มีโอกาสเยอะเพราะมันเป็นช่วงค้นหา พอเรายิ่งค้นหาเยอะโอกาสเสี่ยงก็ยิ่งเยอะ มันก็เลยดูเป็นช่วงที่เจ็บปวดเยอะจัง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกช่วงอายุมีความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเสมอ เมื่อคุณโตไปมีครอบครัว วันหนึ่งเราอาจจะต้องลาจากกัน ความเจ็บปวดที่จะสูญเสียโอกาสมันน้อยกว่าแต่แม่งก็เจ็บปวดเหมือนกัน การตายของคนมันอาจจะเกิดขึ้นได้ยากกว่าอกหักแค่นั้นเอง
ซึ่งตอนที่ปล่อย teaser มีคอมเมนต์หนึ่งน่าสนใจมาก เขาพยายามจะบอกว่าการที่คุณตั้งชื่อเพลงว่าเด็กเกินไป เพราะพวกคุณแม่งยังเด็กเกินไปจริงๆ รักครั้งแรกแม่งไม่เจ็บหรอก รักครั้งสุดท้ายเจ็บกว่า ซึ่งผมมองว่าความเจ็บปวดแม่งไม่มีดีกรีบอก ตอนเด็กต่อให้เป็นเรื่องเล็กๆ แต่แม่งก็เจ็บปวด ตอนนี้ให้ย้อนกลับไปตอนนั้นคุณก็ยังจะเจ็บปวดเหมือนเดิม
สมมติว่าคุณอายุ 30 แล้วมองว่า เห้ย ตอนนั้นไม่เห็นเจ็บเลย ผมว่าคนละเรื่องกัน เด็กๆ เขาอาจจะมองว่าที่คุณเครียดเรื่องงานแม่งไม่เห็นเครียดก็ได้ ผมเลยมองว่าเรื่องนี้มันอยู่ที่ personal ล้วนๆ เราไม่สามารถไป judge ใครได้ว่าอกหักแค่นี้เอง ธรรมดา เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เราไม่มีทางเข้าใจ เพราะฉะนั้นแล้วเราอย่าเอาความเจ็บปวดของเราไปตัดสินความเจ็บปวดของคนอื่น
คิดว่าช่วงไหนของวงที่เข้าใกล้คำว่า ‘เด็กเกินไป’ ที่สุด
เต: ช่วงที่ผมอยากมีเงินร้อยล้าน แล้วผมก็รู้ว่ามันเป็นไปได้ยาก (หัวเราะ)
กิต: เอาจริงๆ ทุกช่วงมันมีคำนี้ recall มาในชีวิตเสมอเลย มันมักจะมาตอนที่เรารู้สึกไม่เข้าใจ suffer ในบริบทหนึ่งของชีวิต ช่วงที่วงไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร มันจะรู้สึกว่าเรารู้น้อยไป เราไม่เก่ง
มันจะมีช่วงที่วงอยากจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งโดยที่ไม่ได้อยากจะเข้าใจหรือสนใจคนรอบตัวเลย เราไม่ได้เข้าใจการทำงาน ไม่ได้เข้าใจห่าอะไรเลย ผมอยากทำแบบนี้ทำไมพี่ไม่ทำให้ผมวะ ผมอยากได้เวทีแบบใหญ่ ผมอยากมีคอสตูมแบบเท่ ผมอยากดังอะพี่ ในเชิงบริบทสังคมผมว่าอันนี้อะเด็ก ช่วงที่เข้า Gene Lab ใหม่ๆ คิดว่าเรามาอยู่ในองค์ระดับมหาชน เขาจะต้องทำให้เราทุกอย่าง แต่ไม่ใช่
เต: คือในตัวเราทุกวันนี้มันมีทั้งผู้ใหญ่และเด็กในทุกๆ วินาที ตอนนี้ผมตอบด้วยความเป็นผู้ใหญ่ แต่เดี๋ยวจบสัมภาษณ์นี้ผมไปเล่นเกม ผมก็รู้สึกว่าผมเป็นเด็กอยู่ ทุกๆ หนึ่งวันจะมีความเป็นเด็กและผู้ใหญ่ผสมกัน ปนกันจนมันแยกยาก
กิต: มันยากแยก
เต: รักเธอเป็นคนแรก ถ้าจะแยกมันคงยาก (หัวเราะ) เห็นไหม เมื่อกี้ผู้ใหญ่ ตอนนี้เด็กแล้ว ดังนั้นถ้าถามช่วงไหนที่เด็กที่สุด ผมว่ามันตอบยาก เพราะมันคือทุกช่วงขณะที่ผมหลุดไปเป็นเด็ก
ตอนเด็กมีความทรงจำอะไรบ้างที่เราไม่เคยเข้าใจ พอโตขึ้นถึงเข้าใจ
เต: ตอนเด็กผมไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ไม่ซื้อแตงโมให้ อาจจะกลัวเม็ดติดคอ ผมยังจำได้เลยว่าผมไปมุดอยู่ใต้โต๊ะริมชายหาดพัทยาแล้วก็ร้องไห้เอาหัวโขกโต๊ะ เพราะแม่ไม่ยอมซื้อแตงโมให้กิน
กิต: ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเมื่อก่อนผมต้องทะเลาะกับพี่ชายเรื่องเล่นคอม แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว เพราะมันมีคอมเครื่องเดียว (หัวเราะ)
เส็ง: ผมไม่เข้าใจตั้งแต่เด็กจนถึงทุกวันนี้ว่าทำไมเวลาเราเดินเตะโต๊ะเนี่ยมันต้องเป็นนิ้วก้อยเสมอเลย ทั้งๆ ที่นิ้วโป้งมันยาวที่สุด แล้วนิ้วโป้งก็ใหญ่กว่านิ้วก้อยด้วย
ตูน: ผมไม่เข้าใจเรื่องวัฒนธรรม ไปโรงเรียนทำไมต้องใส่ชุดที่มันเรียบร้อย ทำไมไม่ใส่ชุดสบายๆ เพราะไปทีไรแม่งร้อนทุกที ผมเป็นคนขี้ร้อนมาก แล้วเวลาต้องใส่ชุดลูกเสือแล้วผมต้องแอบเอาชุดไปเปลี่ยน ตอนเช้าเข้าแถวใส่ชุดลูกเสือ สักพักค่อยเอาชุดพละมาใส่
กิต: ตอนตัดผมก็เหมือนกัน ทำไมตอนตัดผมอาจารย์ต้องบอกว่า เดี๋ยวเธอโตไปเธอก็เข้าใจเองว่าทำไมนักเรียนต้องตัดผม ทุกวันนี้กูยังไม่เข้าใจเลย (หัวเราะ)
ช่วงที่รวมตัวกันครั้งแรกสมัยมหาวิทยาลัย มองย้อนกลับไปตอนนั้นคิดว่าตัวเองโตแล้วหรือยัง
กิต: ในช่วงอายุเท่านั้นผมเป็นคนที่มีทัศนคติหรือเป็นคนมีที่อีโก้ ผมก็คงคิดว่าตัวเองโตแล้ว เข้ามหาลัยแล้ว เก่งกล้ามากขึ้นระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้พวกเราได้รีแคปชีวิตกันใหม่ตอนทำอัลบั้มที่สอง เรารู้สึกว่าในความเป็นจริงเราจะไม่บอกหรอกว่าเราโตแล้ว เราอยากจะบอกแค่ว่าตอนนี้เราคิดอะไร เพราะคำว่าเด็กไปหรือโตไปผมว่ามัน jugde ไปหน่อย ผมจะไม่พูดว่าผมโตแล้วนะ ผมจะบอกแค่ว่าตอนนี้ผมอายุเท่านี้อยากพูดเรื่องนี้ แต่ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้นผมเดาว่าตัวเองน่าจะยังคิดไม่ได้ถึงขนาดนี้
ตูน: ตอนนั้นผมคิดว่าตัวเองเด็ก ตอนนี้ก็ยังเด็กอยู่ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองโตเลย ผมรู้สึกว่าจะเด็กจะโตมันก็ใช้ชีวิตได้เหมือนกัน ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยโฟกัสเรื่องอายุหรือเรื่องความรับผิดชอบอะไรเท่าไหร่ ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ผมก็ยังคิดเหมือนเดิม
เส็ง: เราก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม ปัญญาอ่อนเหมือนเดิม เล่นเกมเหมือนเดิม เราก็เลยไม่รู้ว่าอันนี้เรียกว่าเราโตแล้วหรือยัง แต่เอาจริงๆ แล้ว สังคมเราไม่น่าจะมองการโตเป็นเรื่องของอายุ เพราะบางคนที่อาจจะเด็กกว่าเรา เขาอาจจะมีความคิดในเชิงพัฒนามากกว่าเราก็ได้ อย่างเด็กรุ่นใหม่ที่เรารู้สึกว่าทำไมตอนเราอายุเท่าเขา เราแม่งไม่ได้เก่งเหมือนเขาในตอนนี้
ตอนนั้นคิดไหมว่าวันหนึ่งเราจะเป็น Three Man Down แบบทุกวันนี้
เต: ถ้าวันนั้นเราคิดว่าเราอยากเป็น Three Man Down แบบทุกวันนี้เราคงไม่ได้เป็น วันนี้จะไม่มี Three Man Down แน่นอน เราคงรู้สึกว่าแม่งยากว่ะ ถ้าผมรู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่า 6-7 ปีกว่าจะมีคนรู้จักนะเว้ย ผมเลิกไปแล้ว ผมไปเตะบอลดีกว่า (หัวเราะ)
ดังนั้นผมคิดว่า ไม่ว่าจะทำอะไรมันคือการที่เราทำซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ จนมันตกผลึก แล้ววันหนึ่งคนจะเข้ามารู้จักเรา ผมตอบไม่ได้ว่าทั้งหมดเกิดขึ้นจากตัวเราเอง มันอาจจะเป็นเรื่องของโชคชะตาด้วย อาจจะเกิดขึ้นจากอะไรหลายๆ อย่าง
กิต: โควิด ยูทูบ อัลกอรึทึมเอ๋อ รันเพลงฝนตกไหมให้คนทั้งประเทศ อาจจะมีร้านก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่งเปิดวิทยุมีดีเจเปิดเพลงฝนตกไหมพอดี แล้วคนที่กินก๋วยเตี๋ยวอยู่เป็นนักฟังเพลงระดับโลก เอาไปแชร์ต่อในเฟสบุ๊ก เต๋อ นวพล เข้ามาเห็นกดแชร์ แล้วป๋าเต็ดเข้ามาดูก็ได้ (หัวเราะ)
ช่วงแรกเริ่มมีความฝันไหมว่าอยากไปถึงจุดไหน
กิต: โอ้โห ดาวอังคาร ไปเล่นดนตรีให้เอเลี่ยนดู (หัวเราะ) ไม่ใช่! ความฝันที่อยากทำมากที่สุดในระยะสั้น คือผมอยากไปร้องเพลงหน้าอาจารย์ปกครอง
เต: ถ้าเป็นตอนนี้เราอยากจัดคอนเสิร์ตใหญ่ให้ดี อยากมีอัลบั้มที่สองที่ดี ส่วนความฝันระยะสั้นของเราเหมือนกัน คือผมอยากกลับไปเล่นที่โรงเรียนตัวเอง ราชวินิตบางแก้ว แล้วบอกอาจารย์พวกนั้นว่า ผมคือ Three Man Down ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก บ๊ายบาย
พูดถึงคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของ Three Man Down เคยจินตนาการไว้ไหมว่าอยากให้เป็นแบบไหน
กิต: ถ้าในหัวเลยนะ ผมอยากจัดคอนเสิร์ตที่เป็นการสร้างประสบการณ์ที่สื่อสารได้ตรงกับเพลงมากที่สุด มีการควบคุม environment ตามในแบบที่วงต้องการมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วเป็นการบอกว่านี่ไม่ใช่จุดจบของวง นี่คือจุดเริ่มต้นของ Three Man Down นี่คือ EP. 1 ด้วยซ้ำ รอดูต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้น สรุปโดนตัดงบอีพีแรก จบเลย (หัวเราะ)
เต: ผมรู้สึกว่ามันเป็น EP. 1 แต่ไม่ใช่ซีซัน ถ้าเปรียบ Three Man Down เป็นเกม พวกเราเพิ่งเจอบอสตัวแรก ถ้าเราปราบบอสตัวแรกได้ บอสตัวที่สองจะเป็นยังไงก็ต้องรอดู
กว่าจะกลายเป็นศิลปินทุกวันนี้ ระหว่างทางพวกคุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง
เต: ผมมองว่ามันคิดเส้นทางที่เราอยากจะรู้ว่ารสชาติมันคืออะไร มันคิดเส้นทางทางดนตรีที่เราอยากจะเล่นดนตรีให้กับคนฟัง มันก็มีทั้งความผิดหวัง ความสมหวังในเส้นทางนั้น เส้นทางที่เราเดินมันไม่ได้ดีหรือว่ามีคุณค่ามากกว่าเส้นทางอื่น คนที่เป็นเชฟก็จะมีเส้นทางของเชฟ เพียงแต่ของผมเป็นนักดนตรี ซึ่งเส้นทางที่ผ่านมาทำให้เราทำเพลงได้แบบวันนี้ เล่นดนตรีได้แบบวันนี้ แล้วมานั่งตอบคำถามสัมภาษณ์อยู่ในวันนี้ เส้นทางเหล่านั้นมันได้ shape up ให้กับวง Three Man Down แล้ว
สมมติว่าบทสัมภาษณ์นี้คือบันทึกความทรงจำของ เต เส็ง กิต ตูน ในอีก 5 ปี 10 ปี ข้างหน้า จะบอกพวกเขาว่าอะไร
เต: ผมไม่รู้ว่าคุณเตอีก 5 ปี 10 ปี ข้างหน้าจะเป็นคนแบบไหน แต่ว่าคุณจงดีใจที่วันนี้คุณเป็นคนแบบนี้แล้วภูมิใจกับตัวเองซะ แล้วก็ยินดีกับทุกความสำเร็จที่เกิดขึ้นในวันนี้ ผมมองว่าคุณในอีก 5 ปี 10 ปี ข้างหน้า คุณคงมีความท้าทายใหม่ หวังว่าคุณจะเอ็นจอยกับมันเหมือนที่ทุกวันนี้ผมเอ็นจอยกับสิ่งนี้
เส็ง: ผมอยากจะบอกเส็งในอีก 5 ปี 10 ปี ข้างหน้าว่าให้ดีใจแล้วก็ภูมิใจซะเถอะที่มีเพื่อนดีๆ มีคนดีๆ อยู่รอบตัวเรา ให้รักษาเขาไว้ให้ดีๆ แล้วก็ให้ตั้งใจทำในสิ่งที่กำลังจะทำอยู่ให้มากๆ
กิต: อีก 10 ปี ข้างหน้าไม่รู้ว่าเป็นคนแบบไหน แต่ตอนนี้นายก็น่าจะมีอะไรที่ผิดหวัง สมหวัง เกิดขึ้นในชีวิต ถ้าเกิดว่าตอนนั้นมันดีกว่าตอนนี้ก็ยินดีด้วย แต่ถ้าตอนนั้นมันแย่กว่าตอนนี้ก็ขออนุญาตส่งมอบกำลังใจ พลังงานเชื้อเพลิงจากวัยนี้ส่งต่อไป แล้วก็สิ่งใดที่อยากจะรักษาไว้ในชีวิตขอให้รักษาไว้ได้ และสิ่งใดที่อยากจะทำให้มันดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชีวิต ครอบครัว การเงิน การงานก็ขอให้ได้ทำตามเป้าหมาย
ตูน: ฝากถึงตูนในอีก 10 ปี ข้างหน้า หวังว่าตูนจะถูกลอตเตอรี่ได้แล้ว เพราะว่าตอนนี้ตูนซื้อลอตเตอรี่แบบ DCA ประมาณครึ่งปีแล้ว หวังว่าตูนใน 10 ปี ข้างหน้าต้องถูกแน่นอน เพราะว่าการ DCA อย่างสม่ำเสมอเนี่ยมันจะต้องเกิดผลกำไรที่งอกงาม ถ้าไม่ถูกก็ซื้อต่อไป อยากรู้ว่าซื้อไปจนตายมันจะถูกไหม (หัวเราะ)