‘ศิลปะทำให้เกิดความลึกลับ
หากไม่มีสิ่งนี้ โลกก็คงไม่อาจดำรงอยู่ได้’
ว่ากันว่า ‘ความอยากรู้’ คือสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ เรามักจะสนใจสิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ มากกว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และบ่อยครั้งที่ความฉงนของจิตใต้สำนึก ถูกนำมาใช้กระตุ้นความอยากในงานศิลปะ
หนึ่งในนั้นคืองานศิลปะชื่อก้องโลกอย่าง ‘The Son of Man’ (1964) ผลงานจาก ‘เรอเน มากริตต์’ (René Magritte) ศิลปินชาวเบลเยียมที่ขอเปิดศักราชใหม่ให้วงการศิลปะด้วยการจัดวางแอปเปิลไว้กลางภาพ ซึ่งมันจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ถ้าเจ้าผลไม้สีเขียวนี้ ไม่ได้บังหน้าของชายสวมหมวกอยู่แบบพอดิบพอดี

เขาทำไปเพื่ออะไร? ชายใส่หมวกคือใคร? และทำไมต้องแอปเปิล?
องค์ประกอบที่ใครเห็นก็ต้องขมวดคิ้ว ก่อให้เกิดข้อถกเถียงกันในแวดวงศิลปะ ซึ่งคำตอบที่
มากริตต์ให้นั้น มีเพียงช่องว่างในกระดาษ เชิญชวนเหล่าผู้ใคร่รู้อย่างเราไปแต่งเติมคำตอบกันเอาเอง
ความลึกลับของผลงาน ช่วยขับเน้นให้ภาพวาดนี้โดดเด่นจนกลายเป็นอีกหนึ่งงานก้องโลกที่ทุกชั้นเรียนศิลปะต้องมีการพูดถึง แถมมันส่งต่ออิทธิพลทางความคิดให้กับวงการอื่นๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะวงการภาพยนตร์ นี่คือพลังของแอปเปิลสีเขียว 1 ลูกที่เราอยากชวนทุกคนไปหาคำตอบเบื้องหลังปริศนานี้ไปด้วยกัน

เมื่อการสูญเสีย สร้างตัวตนที่ทำหายไป
ความคิดหัวขบถของมากริตต์ ถูกหล่อหลอมมาจากบาดแผลในวัยเด็กที่พระเจ้าส่งบททดสอบอันโหดร้ายมาให้เขา เมื่อแม่ผู้ให้กำเนิดที่กำลังเผชิญโรคซึมเศร้าตัดสินใจจบชีวิตตัวเองโดยการกระโดดลงแม่น้ำแซมเบอร์ ภาพร่างที่ห่อหุ้มด้วยผ้าสีขาวยาวทั้งตัว กรีดหัวใจเขาจนกลายเป็นบาดแผลที่ไม่มียาแขนงใดรักษาหาย
มากริตต์ เยียวยาความเศร้าของตัวเองด้วยการวาดภาพ เขาตัดสินใจเข้าเรียนที่ Académie Royale des Beaux-Arts ภายใต้การดูแลของศิลปินชาวเบลเยียม ‘คอนสแตนต์ มองตาลด์’ แม้การเรียนการสอนในสถาบันจะไม่ได้น่าสนใจสำหรับมากริตต์เท่าที่ควร แต่นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวเข้าไปในโลกของศิลปะมากยิ่งขึ้น
งานเขียนภาพน้ำมันเหมือนจริงชิ้นแรกของเขาคือ The Lost Jockey (Le jockey perdu) ภาพคนขี่ม้าท่ามกลางป่าหมากรุก ผลงานนี้ถูกจัดแสดงครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ Brussels ในปี ค.ศ. 1927 และเขาก็คว้าน้ำเหลวจากงานชิ้นนี้ด้วย คำวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบ ทำให้เขาเผชิญกับความเศร้าที่ถาโถมเข้ามา

แต่คำว่ายอมแพ้ ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของมากริตต์ เขายังคงยึดมั่นในความรักการวาดรูป จนในปีถัดมา ผลงาน ‘The Lovers’ (1928) ก็ถือกำเนิดขึ้น นี่คือภาพคู่รักที่จูบกันภายใต้ผ้าคลุมสีขาว ความอึดอัดที่ส่งมาผ่านภาพทำให้ภาพนี้มีเสน่ห์ในแบบที่ไม่มีใครเหมือน บางคนเชื่อว่าเขาได้แรงบันดาลใจมาจากบาดแผลในวัยเด็กที่เห็นแม่ถูกห่อด้วยผ้าสีขาว แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็แล้วแต่ สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่า มากริตต์มองโลกในมุมที่แตกต่างจากคนทั่วไป เขาใช้ความผิดหวัง มาขับเคลื่อนจิตวิญญาณการเป็นศิลปิน และถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานสะท้อนความน่าสลดใจของโลก
‘เราไม่ควรกลัวแสงสว่าง
เพียงเพราะมันมักจะส่องให้เห็นโลกที่น่าสลดใจ’
วัตถุธรรมดา ที่จัดวางไม่ธรรมดา
ภาพวาดของมากริตต์ ไม่ได้ทำให้เราว้าวด้วยฉากอลังการของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่ไหน แต่มันถ่ายทอดความธรรมดาในชีวิตประจำวัน ให้ออกมาไม่ธรรมดาด้วยมุมมองใหม่ นำวัตถุที่เราเห็นผ่านตาในทุกวัน มาจัดวางด้วยความไม่ธรรมดาจนเกิดเครื่องหมายคำถามมากมายให้แก่ผู้ที่ดูงานศิลปะ เราอาจพูดได้ว่าจุดแข็งของ มากริตต์ คือความเก่งในการดึงความสนใจคนให้หยุดมอง และคิดต่อยอดจากผลงานที่เขาสร้างขึ้นมา
นอกจาก The Son of Man (1964) ที่มีแอปเปิลปริศนาที่กลางภาพแล้ว ในคอลเลกชันนี้ยังมีการปล่อยออกมา 2 ภาพในปีเดียวกัน ไม่ว่าจะ Man in a Bowler Hat ภาพชายสวมหมวกที่มีนกบินผ่าน และ The Great War ผู้หญิงชุดขาวที่ถูกบังด้วยช่อดอกไม้

นอกจากไอคอนิกเรื่องการสร้าง Photobomb ในรูปของตัวเองแล้ว มากริตต์ยังเป็นศิลปินคนแรกๆ ที่ใส่ข้อความลงบนรูปวาดเพื่อชวนให้เราตั้งคำถาม อย่างผลงาน The Treachery of Images ภาพกระบอกสูบไปป์ที่มีข้อความว่า ‘นี่ไม่ใช่ไปป์’ กำกับอยู่ เชื่อว่าใครที่ดูก็ต้องนั่งแก้ปริศนานี้กันไม่ตกแน่นอน ว่าถ้าไม่ใช่กระบอกสูบ แล้วสิ่งนี้คืออะไร ซึ่งคำตอบที่ได้จาก มากริตต์ก็ทำเราอึ้งกิมกี่กันกว่าเดิม เมื่อเค้าตอบง่ายๆ เพียงว่า “ไม่ใช่ไปป์ เพราะมันใส่ยาสูบไม่ได้”

มากริตต์อาจไม่ใช่ศิลปินที่มีเทคนิคการใช้สีที่เฉพาะตัว มีลีลาสะบัดแปรงพู่กันที่เป็นเอกลักษณ์ แต่สิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นเหนือคนอื่น คือการทิ้งพื้นที่ปริศนาให้เราได้หาคำตอบด้วยตัวเอง พาเรามองให้ลึกลงไปสู่สิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้ความปกติธรรมดาที่เรามองข้าม พร้อมหาคำตอบไปด้วยกันว่า ถ้าเรารู้ว่าสิ่งนั้นปิดบัง มันยังเรียกว่าการปิดบังได้อยู่หรือเปล่า?
‘ทุกสิ่งที่เราเห็น ซ่อนเร้นอีกสิ่งหนึ่ง
เราย่อมอยากเห็นสิ่งที่ซ่อนเร้นจากสิ่งที่เราเห็นอยู่เสมอ’
แอปเปิล 1 ลูก กับ 1 ล้านการตีความ
แม้ The Son of Man (1964) จะไม่ใช่ผลงานเดียวของมากริตต์ ที่จัดวางองค์ประกอบได้อิหยังวะจนเราขมวดคิ้ว แต่สิ่งที่ทำให้งานชิ้นนี้โด่งดังกว่างานไหนๆ ส่วนหนึ่งต้องยกให้กับ ‘แอปเปิล’ ผลไม้กลางภาพที่ผูกพันกับชาวยุโรป และเต็มไปด้วยสัญญะมากมายให้เราได้ลองตีความ
บางคนมองว่าการปกปิดใบหน้าของคนในภาพ สื่อถึงการซ่อนเร้นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ เราอาจรู้จักพวกเขาแค่ผิวเผินจากการแสดงออก แต่ไม่เคยรู้จักแก่นแท้ในใจของเขา นอกจากนั้นถ้าอิงกับความเชื่อในพระคัมภีร์ (Book of Genesis) แอปเปิลคือสัญญะของการล่อลวง ดังเช่น อดัม กับ อีฟ ที่เผลอไผลกินผลไม้นี้เข้าไปจนโดนทำโทษ ดังนั้นการใช้แอปเปิล อาจสื่อถึงการล่อลวงให้เราอยากเข้าไปค้นหาคำตอบของสิ่งที่ซ่อนอยู่
อีกมุมหนึ่ง พวกเขาเชื่อว่าชายสวมหมวกที่ปรากฏในหลากหลายภาพของมากริตต์ แทนตัวของเขาเองที่เป็นคนธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อถูกแอปเปิลบังหน้า กลับทำให้เขาดูลึกลับน่าค้นหา ซึ่งตรงกับแนวคิดของมากริตต์ที่มองว่า
‘สิ่งธรรมดาสามารถกลายเป็นสิ่งที่ลึกลับได้
เมื่อเราเปลี่ยนมุมมอง’
แต่ถ้าลองวิเคราะห์จากชื่อผลงาน The Son of Man หมายถึงบุตรแห่งมนุษย์ อาจตีความได้ถึงความลึกลับซับซ้อนของธรรมชาติมนุษย์ที่ไม่อาจหาคำตอบได้นั่นเอง อย่างไรก็ตามคำเฉลยของรูปนี้ ยังคงเป็นปริศนาที่มากริตต์ ทิ้งให้เราหาคำตอบกันต่อไป
Surrealism จิตวิทยาที่อยู่ในงานศิลปะ
ความอยากรู้ที่ซ่อนอยู่ในฝีแปรงพู่กันของมากริตต์ คือสิ่งสำคัญที่ยืนยันกับเราได้ว่า เขาคือจิตรกรชั้นแนวหน้าในลัทธิเซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism) อย่างแท้จริง นี่คืออีกหนึ่งแขนงของวงการศิลปะที่เน้นการถ่ายทอดภาพที่เกิดจากจิตใต้สำนึก ให้ความรู้สึกแปลกแยกและโดดเดี่ยว โดยแนวคิดของลัทธินี้ส่วนมากได้อิทธิพลมาจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ ‘ซิกมุนด์ ฟรอยด์’ โดยเฉพาะในเรื่องของจิตไร้สำนึก (Unconscious Mind) รวมไปถึงความลึกลับของตัวตนมนุษย์ที่ถูกซ่อนอยู่
‘มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้อิทธิพลของจิตไร้สำนึก
ซึ่งเราฝังความอยากอันมิได้ขัดเกลาเอาไว้
จนทำให้รู้สึกว่าความป่าเถื่อนยังมิได้หายไปจากมนุษย์
หากแต่หลบอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ’
อย่างในผลงาน The Son of Man การที่ใช้แอปเปิลปิดบังใบหน้าของชายใส่สูทเอาไว้ อาจต้องการสะท้อนให้เห็นว่า มนุษย์ทุกคนล้วนมี ‘บางสิ่ง’ ที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจ ซึ่งอาจไม่ได้เปิดเผยออกมาในระดับจิตสำนึกเหมือนอย่างแนวคิดของฟรอยด์ ดังนั้นผลงานนี้จึงเป็นตัวอย่างของการผสมผสานที่ดีระหว่างศิลปะและจิตวิทยา
ครั้งแรกที่เราเห็นแอปเปิลที่กลางภาพ อาจรู้สึกขัดใจจนอยากจะหายางลบมาลบออก แต่เมื่อได้ลองเข้าใจความตั้งใจของจิตรกรชาวเบลเยียมคนนี้ ถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วแอปเปิลไม่ได้ขวางหูขวางตาเราแต่อย่างใด กลับกันมันได้เปิดประตูความคิดให้เราเข้าไปสำรวจความลึกลับด้านในจิตใจมนุษย์ สร้างข้อถกเถียงขึ้นมาในวงกว้าง จนสร้างผลงานศิลปะแขนงใหม่ ที่ไม่ใช่แค่ใช้ตาเสพ แต่ต้องใช้สมองคิดตามด้วยถึงจะมีคุณค่า
ในปัจจุบัน ผลงานเหล่านี้ยังคงท้าทายและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ชมตั้งคำถามเกี่ยวกับโลกและความจริงที่พวกเขามองเห็นจนถึงทุกวันนี้