Black Mirror 4 : ซีรีส์ดังที่ชวนขุดค้นจิตใจมนุษย์ภายใต้อำนาจมืดของเทคโนโลยี

Creator: Charlie Brooker
Region: UK
Genre: Science Fiction & Fantasy

เดินทางมาถึงซีซั่นที่ 4 แล้วสำหรับ Black Mirror ซีรีส์สัญชาติอังกฤษที่มีฉากหลังเป็นโลกอนาคตซึ่งชี้ชวนผู้ชมให้ตั้งคำถามว่า ‘จะเป็นอย่างไรหากเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อสังคมมนุษย์’

หากใครยังไม่เคยดูคงต้องเกริ่นก่อนว่า Black Mirror คือซีรีส์จบในตอนเหมือนหนังสั้นเรื่องหนึ่งที่เรื่องราวเป็นอิสระต่อกัน แต่ละตอนใช้ผู้กำกับคนละคน โดยมีผู้อำนวยการสร้างอย่างชาร์ลี บรูกเกอร์ เป็นหัวไอเดียคุมงานสร้างและเขียนบททั้งหมด

ภายใต้คอนเซปต์ที่สะท้อนด้านมืดของเทคโนโลยีและจิตใจมนุษย์ สมกับชื่อซีรีส์ที่ทำหน้าที่เป็นกระจกดำให้คนดูได้สำรวจความน่ากลัวจากการถูกครอบงำโดยเทคโนโลยี ความเป็นมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนเมื่อนวัตกรรมได้ก้าวล้ำเส้นแบ่งความถูกผิดสู่โซนสีเทา ซึ่งในแต่ละตอนของ Black Mirror ได้จับเอาไอเดียตรงนี้มาทำให้เห็นภาพชัดเจนและชวนขบคิดต่อหลังดูจบ

หลังจากซีซั่น 3 ที่ขยายฐานคนดูจากช่อง Channel 4 ของอังกฤษมาลงใน Netflix นอกจากจำนวนตอนที่เพิ่มขึ้นมาให้ดูอย่างจุใจแล้ว เนื้อหายังดูง่ายขึ้นเพื่อรองรับกลุ่มผู้ชมที่หลากหลาย เห็นได้ชัดจากซีซั่น 3 ที่พูดถึงเรื่องโซเชียลมีเดียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งตอนที่พูดถึงสังคมติดรีวิวด้วยการใช้ยอดไลก์ยกระดับทางสังคม ความปลอดภัยส่วนบุคคลของโลกไซเบอร์ หรือผลกระทบจากการล่าแม่มดในอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงการโยกย้ายโลเคชั่นถ่ายทำจากสองซีซั่นก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เพียงแค่ในสหราชอาณาจักรมาเป็นฝั่งอเมริกาบ้าง

ในซีซั่น 4 นี้จึงกล่าวได้ว่า Black Mirror มีกลิ่นอายอเมริกันมากขึ้นจากการที่หนังใช้สไตล์การเล่าเรื่องแบบฮอลลีวูดที่มีบีตความสนุกชัดเจนและดูง่ายกว่าแต่ก่อนที่เป็นสไตล์อังกฤษจ๋าและเล่าเรื่องตามใจฉัน แต่การเล่าเรื่องแต่ละแบบแน่นอนว่าย่อมมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ถึงแม้การเล่าเรื่องแบบอังกฤษจะมีลักษณะที่อินดี้ (หรืออืดเอื่อยกว่าในบางที) แต่ก็จบแบบทิ้งปมให้ได้คิดมากกว่าแบบอเมริกันที่มีเนื้อหาย่อยง่าย จบเคลียร์แต่ไม่ตรึงผู้ชมให้ได้คิดทบทวนมากเท่า

สำหรับ Black Mirror ซีซั่น 4 นี้มีทั้งหมด 6 ตอน ซึ่งยากแก่การบอกเล่าอย่างรวมๆ ว่าทั้งหมดเป็นอย่างไรเพราะแต่ละตอนมีเนื้อหาไม่เหมือนกันเลย แต่แน่นอนว่ามันได้คว้านเอาด้านมืดออกมาตีแผ่ให้เราได้ระทึกเหมือนเดินอยู่บนเส้นด้ายแห่งศีลธรรมอันหมิ่นเหม่ ซึ่งหากไม่ระวัง Black Mirror ก็พร้อมจะผลักเราให้ตกลงสู่เหวลึกเบื้องล่างเสมอ จึงขอเตือนไว้ก่อนเลยว่าหากดูติดต่อกันอาจทำให้จิตตกได้ง่ายๆ

เราขอรีวิวแต่ละตอนของ Black Mirror 4 สั้นๆ เผื่อใครคิดว่าเรื่องไหนถูกจริตก็จะได้ไปตามดูกันต่อนะ


USS Callister

เริ่มกันที่ตอนแรกซึ่งเราขอยกให้เป็นตอนที่สนุกและตื่นเต้นที่สุดในซีซั่น ชวนให้นึกถึง Star Trek กับลูกเรืออวกาศและกับตันผู้บังคับบัญชา มีการต่อยอดไอเดียจาก White Christmas ในซีซั่น 2 เรื่องการก๊อปปี้บุคคล เพียงแต่เจาะจงเล่าในมุมมองของตัวละครที่ถูกคัดลอกมามากขึ้นว่าพวกเขามีอารมณ์และเรื่องราวของตัวเองอย่างไร ถึงจะเดาทางบทได้ไม่ยากแต่ก็ต้องยอมรับว่าทำออกมาได้บันเทิงสมกับเป็นตอนเปิดซีซั่น แถมแฟนบอย Star Trek ยังต้องกรี๊ดไปกับฉากการผจญภัยในอวกาศและแฟชั่นคอสตูมอันเป็นเอกลักษณ์แน่นอน


Arkangel

เมื่อแม่คนหนึ่งกังวลในความปลอดภัยของลูกจึงติดตั้งระบบ Arkangel นวัตกรรมดูแลเด็กยุคใหม่ซึ่งจะทำให้มองเห็นสิ่งที่ลูกเห็นและยังสั่งเบลอภาพที่ไม่เหมาะสมแก่ลูกได้ เป็นเรื่องดีหรือไม่ที่ผู้ปกครองสามารถ’จับตาดู’ ลูกๆ ของพวกเขาได้ตลอด 24 ชม. สำหรับตอนนี้ตั้งแต่ต้นเรื่องเราพอจับเค้าได้แล้วว่าเรื่องจะจบไปทางไหน แต่หนังก็ดึงไปสุดทางกว่าที่คิด ทำเอารู้สึกจุกในอกทันทีที่ขึ้นเครดิตจบ นับเป็นตอนที่เราหลงรักประเด็นพร้อมโอดโอยไปกับความโหดของมัน


Crocodile

เป็นตอนที่ให้อารมณ์แบบภาพยนตร์ระทึกขวัญ ซึ่งเริ่มต้นจากความผิดพลาดในอดีตที่ส่งผลมาถึงปัจจุบันและลุกลามใหญ่โตขึ้น มีอา สถาปนิกหญิงที่พยายามจะปกปิดความลับอันเลวร้าย ในขณะที่ชาเซีย ผู้ตรวจสอบความทรงจำจากบริษัทประกันภัยกำลังสืบหาความจริง หนังเล่าในจังหวะเรียบนิ่งแต่เราชอบความเลือดเย็นของมัน ถึงแม้จะไม่ได้มีประเด็นเรื่องเทคโนโลยีที่ขุดความดาร์กของมนุษย์ออกมามากมายอะไร


Hang the DJ

ยุคนี้เราคงคุ้นเคยกับแอพพลิเคชั่นหาคู่อย่าง Tinder ที่จะจับคู่เราให้กับคนที่สนใจ เรื่องราวในตอนนี้ก็เล่าถึงระบบหาคู่ในอนาคตที่ทำงานคล้ายทินเดอร์ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีวันหมดอายุให้ความสัมพันธ์ทุกคู่ว่าควรจบความสัมพันธ์กันเมื่อไหร่จนกว่าเราจะเจอคู่แท้ของเราจริงๆ (ซึ่งระบบก็เป็นคนบอกอีกนั่นล่ะ) ที่สำคัญคือทุกคนต่อต้านไม่ได้และต้องทำตามสิ่งที่เรียกว่าโค้ชความรักของพวกเขา ให้อารมณ์เหมือนดูหนังเรื่อง The Lobster ที่เสียดสีเรื่องการอยู่ในสังคมที่ต้องหาคู่อย่างสุดโต่ง เป็นตอนที่เลือกเล่าประเด็นช้ำอย่างเรื่องความรักแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกยี้แต่อย่างใด


Metalhead

หุ่นยนต์หมาสุดโหดที่ไล่ล่ามนุษย์ในโลกอนาคตที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งขายความตื่นเต้นของฉากเอาตัวรอดของฝั่งมนุษย์ ความพิเศษคือตอนนี้ถูกถ่ายทำเป็นสีขาวดำเพื่อตอกย้ำความเป็นโลกหลังหายนะที่ไม่เหลือสิ่งใดเลย (แม้แต่สีสัน) แต่ด้วยความที่หนังโฟกัสไปแค่ฉากการหลบหนีของตัวละครเลยทำให้เราไม่รู้สึกถึงประเด็นหลักที่หนังจะสื่อมากนัก จึงคิดว่าตอนนี้ยังไม่ค่อยสุดเท่าไหร่



Black Museum

เรื่องราวของพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงสิ่งของหายากที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม ซึ่งมีสิ่งของและไอเดียจากตอนก่อนๆ ในซีซั่นนี้โผล่มาให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับตอนก่อนหน้าด้วย นี่จึงเป็นตอนที่เราชอบที่สุดในซีซั่น 4 ด้วยจังหวะการเล่าที่นอกจากสนุกและสะใจแล้วยังใช้วิธีเล่าเรื่องซ้อนเรื่องเล่าเหมือน White Christmas ในซีซั่น 2 แต่ทำออกมาได้สะเทือนอารมณ์คนละแบบ


สุดท้ายความสนุกของซีซั่นนี้นอกจากเนื้อเรื่องคือ Easter Egg จากตอนในซีซั่นก่อนหน้าที่จงใจใส่มาเพื่อเชื่อมจักรวาลของ Black Mirror ให้เป็นหนึ่งเดียว นอกจากรับชมเรื่องราวแล้วเราเลยยังสนุกกับการจับสังเกตในแต่ละตอนที่เชื่อมโยงทุกซีซันเข้าด้วยกัน อย่างแอพพลิเคชั่นเดทที่เอเลน่า พนักงานต้อนรับใน USS Callister (Season 4 ep.1) เล่นก็เป็นแอพเดียวกับที่คูเปอร์ตัวเอกของ Playtest (Season 3 ep.2) ใช้ โปสเตอร์แรปเปอร์จาก Hated in the Nation (Season 3 ep.3) ที่แปะอยู่ในห้องนอนของซาร่าจากตอน Arkangel (Season 4 ep.2) โปสการ์ดจาก San Junipero (Season 3 ep.4) ที่ปรากฏอยู่บนโต๊ะใน Metalhead (Season 4 ep.5) หรือแม้กระทั่งเพลง Anyone Who Knows What Love Is (Will Understand) ที่ใส่มาเป็นกิมมิกในทุกซีซั่นก็ทำให้เราดูซีรีส์ชุดนี้อย่างสนุกมากยิ่งขึ้น

สรุปแล้วก็นับว่ายังไปต่อได้กับซีรี่ส์ชุด Black Mirror ที่ถึงแม้เราจะเริ่มเห็นประเด็นที่ซ้ำซ้อนกับหลายๆ ตอนในซีซั่นก่อนหน้า แต่หนังก็พยายามจับโฟกัสไปที่มุมมองอื่นๆ ในประเด็นเดียวกันเพื่อเล่าเรื่องให้รอบด้านมากขึ้น ผลคือเรายังว้าวกับประเด็นที่หนังต้องการจะเล่าอยู่ และคิดว่าควรค่าแก่การนั่งชมและเฝ้ารอการมาถึงของซีซั่นต่อไป

AUTHOR