สำหรับเรา การวิ่งครั้งที่เปลี่ยนชีวิตคือตอนที่เราวิ่งครบรอบสวนลุมพินีครั้งแรก
ประมาณ 2 ปีที่แล้ว เราเพิ่งเรียนจบและเริ่มทำงาน เราสนใจอยู่กับการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ จนละเลยการออกกำลังกาย จนวันหนึ่งเราก็รู้สึกว่าไม่ได้การแล้ว ต้องลดน้ำหนัก ที่ทำงานก็อยู่ใกล้สวนลุมฯ ตอนนั้นคิดแต่ว่าฉันจะลดน้ำหนัก ไม่ได้ศึกษาข้อมูลอะไรทั้งนั้น เดินไปซื้อรองเท้าวิ่งคู่แรกแล้วก็ออกวิ่งเลย
เราวิ่งๆ เดินๆ อยู่หลายเดือน ระหว่างนั้นเราเจอกับพี่คนหนึ่ง เขาเป็นรุ่นพี่ที่เราประทับใจตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผ่านไป 5 ปี เราบังเอิญเจอเขาอีกครั้งเพราะทำงานที่เดียวกัน เขาเป็นนักวิ่ง เวลาไปวิ่งก็จะโพสต์บนโซเชียล บางทีไปวิ่งแล้วเจอกันก็ทักทายกันบ้าง
เราวิ่งๆ เดินๆ สม่ำเสมออยู่ 2-3 เดือน จนปลายเดือนมิถุนายน 2559 (เราจำแม่นมาก) วันนั้นเราเอารองเท้าใหม่มาลองวิ่งครั้งแรก แต่วันนั้นฝนตก กว่าฝนจะหยุดก็ไม่อยากวิ่งแล้ว ตอนที่กำลังตัดสินใจเดินกลับบ้าน รุ่นพี่คนนั้นกลับเดินมาพอดี
“ไปวิ่งกับพี่ เร็ว เดี๋ยวเลี้ยงข้าว” เขาเอ่ยชวน
ใจตอนนั้นคิดว่า “จะไหวไหมวะ?” เพราะพี่วิ่งเก่งมาก เทียบกับเราที่ยังต๊อกต๋อย แต่คงกลับตัวไม่ได้แล้ว เราเลยไปอบอุ่นร่างกายแล้วออกวิ่งด้วยกัน
วันนั้นเป็นวันแรกที่เราสามารถวิ่งครบ 2.543 กิโลเมตรโดยไม่หยุดพักเลย เหนื่อยมาก แต่พอหันไปเจอพี่เขายกนิ้วให้ เราก็เผลอยิ้มกว้างออกมา เป็นช่วงเวลา 20 นาทีที่เราคิดว่าคงไม่มีอีกแล้ว ถ้าไม่มีพี่เค้า เราคงวิ่งไม่ได้ขนาดนี้ แล้วพี่ก็ออกวิ่งต่อไป เหตุการณ์นี้ทำให้เราคิดว่า เฮ้ย! เราต้องวิ่งให้ได้มากกว่า 1 รอบ ทุกครั้งที่ซ้อมเราจะคิดถึงวันนี้ตลอดเลย
หลังจากนั้น เราได้วิ่งกับพี่เขาอีกแค่ไม่กี่ครั้งเพราะเขาย้ายที่ทำงาน เราใช้พี่เขาเป็นแรงบันดาลใจในการวิ่ง อยากวิ่งด้วยกันในงานสักครั้ง อาจจะไม่ได้วิ่ง pace เดียวกัน แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเขาจะอยู่ที่เส้นชัย
เราเริ่มขยับจากวิ่ง 1 รอบเป็น 2 รอบ จนเป็นมินิมาราธอนแรกใน 3 เดือนต่อมา ชอบการวิ่งไปเลย เพราะรู้สึกว่าเป็นการฝึกวินัยที่ดี ทำให้เรามีสมาธิมากขึ้น เราเป็นภูมิแพ้ด้วยก็ต้องออกกำลังกายเยอะๆ การวิ่งทำให้เราเรียนรู้ว่าทุกความพยายามมีความหมายเสมอ แถมยังเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ เราหันมาบ้ารองเท้าวิ่ง เราอ่านหนังสือหลายเล่มของคนที่หันมาวิ่ง อย่างพี่หนุ่ม โตมร ปกติเราไม่ได้อ่านงานเขียนของเขาเลย แต่ Run me to the Moon เป็นหนังสือวิ่งเล่มแรกที่เราอ่าน ทำให้เราอยากตามอ่านงานเขียนของพี่หนุ่มมากขึ้น เปลี่ยนจากฟังเพลงเวลาวิ่งมาเป็น podcast ซึ่งรุ่นพี่คนนั้นก็จัดรายการค่ะ เราเลยได้ฟังเสียงเขาบ้างเวลาวิ่ง และได้ลองวิ่ง city run ด้วย เป็นอะไรที่ไม่ได้คิดว่าจะได้ทำ
การวิ่งของเรามีความสุขดี แต่แล้วก็ต้องเจ็บหนักตอนปี 2560 เราไปลงคอร์สฝึกวิ่งมินิมาราธอนภายใน 1 ชั่วโมง เราซ้อมตามแผนที่ได้ตลอด แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เราเจ็บขาจนต้องขอออกจากคอร์สดังกล่าว
เป็นครั้งแรกที่ต้องทำกายภาพบำบัด หาหมอกระดูก เข้าโรงพยาบาลอยู่ 4-5 เดือน หมอให้เลิกวิ่งไปเลย จนในที่สุดเราก็หายดี ตอนนั้นคิดแค่อยากกลับมาวิ่งสนุกๆ ได้เหมือนเดิม จนกระทั่งเพื่อนคนหนึ่งชวนไปทดลองฮาล์ฟมาราธอน เพื่อนบอกว่า “แกทำได้” เราเลยตั้งใจซ้อมอย่างหนักเพราะถ้าทำไม่ได้ก็คงอีกนานกว่าจะได้ไปวิ่งตามความฝันเดิม
3 เดือนผ่านไป ในที่สุดเราก็ผ่านฮาล์ฟมาราธอนแรกจนได้ และด้วยความสำเร็จจากสนามนั้น เราตัดสินใจไปลงวิ่งสนามเดียวกับที่พี่คนนั้นลงช่วงสิ้นปี ก่อนกลับจากงานวิ่งครั้งนั้น เราไปหาพี่เขา แต่พลาดที่ไม่ได้โชว์เหรียญ finisher ให้เห็น
จนถึงวันนี้ เราก็ยังวิ่งต่อไป (ตอนที่เขียนก็เพิ่งไปวิ่งมา) แต่อาจไม่สม่ำเสมอ เพราะต้องอ่านหนังสือสอบด้วย แต่ก็ยังอยากวิ่งไปเรื่อยๆ เพราะเรามีภาพตัวเองจบฟูลมาราธอนไว้ก่อนอายุ 30 ปี ซึ่งตอนนี้เราอายุ 25 ปี
สุดท้ายนี้ หากมีโอกาส เราอยากขอบคุณพี่คนนั้น ยังรอให้ได้วิ่งด้วยกันอีกสักวัน ให้เราได้ทำให้ดูว่า จาก 2.543 กิโลเมตรในวันนั้น พี่เป็นคนหนึ่งที่ทำให้มี 21 กิโลเมตรในวันนี้