ความไม่สมบูรณ์แบบหลังกล้องของ ฌอห์ณ จินดาโชติ

มีความคิดที่ลุ่มลึก เป็นสุภาพบุรุษ มีทัศนคติที่ดี คือสิ่งที่หลายคนนิยามให้กับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘สามีแห่งชาติ’ อย่าง ฌอห์ณ จินดาโชติ หากแต่ภายใต้นิยามเหล่านั้น ขออภัยหากต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ เราไม่เชื่อเลยสักนิดว่าเขาจะเป็นคนดีและเพอร์เฟกต์ได้ถึงเพียงนี้ อย่างน้อยก็ต้องเคยหงุดหงิด อ่อนแอ หรือมีด้านแย่ๆ แบบคนปกติธรรมดาบ้าง คงไม่มีใครทำตัวเป็นพระเอกทั้งในจอและนอกจอได้ตลอดเวลาแบบนี้หรอก เราคิดอย่างนั้น

นี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เราอยากคุยกับเขา ก่อนละครเรื่องใหม่อย่าง ‘ลูกไม้ลายสนธยา’ และ ‘บาปรัก’ จะลงจอในเดือนสิงหาคม ก่อนที่บทบาทใหม่นี้จะทำให้เขาจะได้รับฉายาอีกครั้ง หากใครที่เคยสงสัยแบบเดียวกับเรา สงสัยว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนยังไง หวังว่าเรื่องราวด้านล่างนี้จะทำให้คุณค้นพบคำตอบนั้น

PROLOGUE – มันเป็นโชคชะตา

ท่ามกลางตึกที่หน้าตาเหมือนกันแทบจะทุกหลังในย่านทาวน์อินทาวน์ เด็กหนุ่มชั้นมัธยมปลาย เจ้าของคิ้วคมเข้ม ดูหน้าตาดีคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านหลังสีส้มที่ใช้เป็นสถานที่แคสติ้งนักแสดงอย่างเก้ๆ กังๆ

“ไม่มีเลย ไม่มีฟุตเทจ ไม่มีใครเห็นเลยว่าคุณมา” เสียงของคู่สนทนาที่กำลังคุยโทรศัพท์กัน เริ่มทำให้เขากังวลใจ จะเป็นไปได้ยังไง เด็กหนุ่มคิดแบบนั้น ในเมื่อเขาเพิ่งทำการแสดงเสร็จไปเมื่อครู่แล้วแท้ๆ

เขาเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น อธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้คู่สนทนาฟัง ก่อนจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างง่ายดาย เมื่อพบว่าแมวมองที่นัดเขาไว้ ยืนอยู่หน้าบ้านอีกหลังหนึ่ง บ้านหลังสีส้มที่เขาไม่ได้เข้าไป

เวลาผ่านไปกว่าสิบปี

วันนี้เขากลับมาที่สตูดิโอย่านทาวน์อินทาวน์อีกครั้ง สายตาคมกริบที่กำลังจับจ้องกล้อง ท่วงท่าที่เปลี่ยนไปราวกับมืออาชีพบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเติบโตขึ้นแล้ว ไม่ใช่เด็กหนุ่มวัย 17 ปี คนเดิม

ฉากที่หนึ่ง ผมไม่ชอบเวลาคนเรียกผมว่าดารา

การถ่ายแบบเสร็จสิ้นลง ไฟในสตูดิโอกลับมาสว่างอีกครั้ง

ฌอห์ณยิ้มแย้ม กล่าวขอบคุณทีมงาน และเดินไปเช็กรูปถ่ายพวกนั้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนกลับเข้าไปเปลี่ยนชุด เพื่อกลับมานั่งคุยกับเราในฐานะคนธรรมดาที่มีอาชีพเป็นนักแสดง

“การแสดงมันยากนะ” คือประโยคแรกๆ ที่นักแสดงหนุ่มบอกกับเราหลังจากเริ่มต้นคุยกัน แน่นอนว่าสำหรับเราแล้วคำพูดพวกนั้นมันช่างขัดกับท่าทางสบายๆ ขณะที่เขาโพสท่าถ่ายรูปเมื่อครู่ไปมาก แต่ฌอห์ณก็ยังยืนยันคำเดิมว่ามันยาก เขาคิดว่าการแสดงเป็นเหมือนกับศิลปะ เป็นอาชีพที่ต้องอยู่กับความเชื่อและความศรัทธาของตัวเอง ต้องเปิดใจและเคารพการตัดสินใจของตัวละครที่แม้บางครั้งตัวเขาอาจไม่เชื่อหรือเห็นด้วยไปซะหมด แต่ก็ต้องทำหน้าที่เป็นเหมือนร่างให้จิตวิญญาณของตัวละครจากปลายปากกาเหล่านั้นได้มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ

“แถมอาชีพนี้มันไม่มั่นคงนะครับ” เขายิ้มแกนๆ แล้วกล่าวเสริมอีกหนึ่งเรื่องยากของการเป็นนักแสดง

“เมื่อก่อนคนจำว่าผมเป็นเพียงแค่น้องของพลอย จินดาโชติ เขายังไม่ยอมรับศักยภาพของผมด้วยซ้ำ แต่หลังจากผมเล่นละครเรื่องหนึ่งแล้วประสบความสำเร็จ กลายเป็นว่าคนรู้จักชื่อผม มีสมญานามให้ผมเป็นสามีแห่งชาติ แต่พอผ่านไปสักพักคนก็เปลี่ยน คนก็ลืม คนก็จำในสิ่งที่เขาอยากจำ

“แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมกลัวนะ ชีวิตคนมันมีขึ้นมีลงอยู่แล้ว ผมเลยไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเท่าไหร่ หากวันหนึ่งจะไม่ได้รับความนิยมเหมือนเดิม สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือกลัวคนข้างหลังผมลำบากมากกว่า” ฌอห์ณว่าไว้อย่างนั้น แม้เราอยากจะหลีกเลี่ยงประเด็นเรื่องครอบครัวของเขาแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้น ดูเหมือนว่าในกล่องความคิดของเขาจะมีครอบครัวเป็นองค์ประกอบหลักเสมอ

“ผมไม่เคยเห็นภาพตัวเองยืนอยู่คนเดียวในเฟรม” ฌอห์ณบอกแบบนั้น หากจะมีโฟโต้บุ๊กชีวิตของตัวเองสักเล่ม เขาคงเขินมากหากต้องยืนอยู่คนเดียว

“ผมรู้สึกว่าคนหรือสิ่งต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบชีวิตของผมมันสำคัญกว่า ผมไม่ชอบเป็นคนถูกถ่ายรูป ผมชอบถ่ายรูปคนอื่น ชอบมองความสวยงามของเขามากกว่ามีคนมามองเรา ฉะนั้นหากประสบความสำเร็จในเรื่องอะไร ผมก็ไม่คิดว่าจะต้องรับเครดิตให้ตัวเอง มันจริงที่บอกว่าเราได้ดีก็เพราะตัวเราเอง แต่ถ้าเราไม่มีคนที่คอยซัพพอร์ต คอยอยู่เคียงข้าง คอยให้กำลังใจ เราคงไม่ได้มาจนถึงขนาดนี้ ครอบครัวเป็นคนสำคัญมากๆ สำหรับผม”

ฉากที่สอง – การเป็นนักแสดงที่ดี

“สิ่งที่ทำอยู่ในทุกวันนี้ คือการทำความฝันของคุณพลอยให้สำเร็จ” ฌอห์ณบอกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความอบอุ่น นี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขายังประกอบอาชีพนักแสดงอยู่ หากมีโอกาสเขาก็อยากบอกให้ทุกคนรู้ว่าการที่เขาได้ดี หรือเป็นนักแสดงที่ดีได้ล้วนมาจากพี่สาวของเขา

“แล้วการเป็นนักแสดงที่ดีต้องเป็นอย่างไร” เราถามต่อ

“มึงอย่าคิดว่ามึงเป็นพระเอกแล้วมึงหล่อ ถ้าคิดอย่างนั้นก็กลับบ้านไป” ฌอห์ณไม่ตอบคำถามที่เราสงสัย แต่กลับขึ้นเสียงดังแล้วสวมบทบาทเป็นดารารุ่นใหญ่ในวงการ ก่อนจะขยายความให้ฟัง

“เรามีหน้าที่แสดง คิดอย่างนักแสดง และเราทำงานอย่างนักแสดง งานจะดีหรือไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่ใบหน้าหรือความหล่อ” นักแสดงรุ่นพี่สอนฌอห์ณมาแบบนั้น คนจะชอบจากความหล่อ แต่คนจะรักจากฝีมือ เขาบอกให้ฌอห์ณเลือกว่าอยากให้คนคิดกับตัวเองอย่างไร นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาตระหนักได้ว่าการเป็นนักแสดงที่ดี คือการตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเอง และรักษาวินัยในการทำงานให้ดี

แต่ใครจะรู้ว่าคุณสมบัติพวกนั้นอาจไม่เพียงพอ

ฉากที่สาม – ทุกคนเท่าเทียมกัน

“ใครบอกอาชีพนี้ง่าย มันไม่ง่ายหรอก” ฌอห์ณปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนจะพูดให้เราคิดตาม

“ปกติโดนเพื่อนว่าแค่คนเดียว ยังกลับไปนอนเครียดเลยใช่ไหม ลองคิดภาพว่าโดนร้อยคนด่า หมื่นคนประณามสิ จะรู้สึกยังไง” ดวงตาที่แข็งแกร่งของพระเอกหนุ่มเริ่มสั่นไหว ใบหน้าที่เคยยิ้มอย่างสดใสนั้นดูอ่อนลงเมื่อพูดถึงสิ่งที่เขาต้องยอมรับ (ให้ได้) เมื่อก้าวเข้ามาทำอาชีพนี้

“ตอนนั้นผมเลือกที่จะอ่านทุกอย่าง มันบั่นทอนใจจนทำให้เราไม่อยากออกไปไหน รู้สึกว่ามันไม่แฟร์ที่คนอื่นมาตัดสินพี่เรา มาว่าเรา หรือพ่อแม่เราแบบนี้ มันไม่ถูกต้อง มันไม่ใช่ปัญญาชนเลย” ฌอห์ณย้อนกลับไปเล่าให้ฟังถึงช่วงหนึ่งที่เขาและสมาชิกในครอบครัวตกเป็นข่าวดังในวงการบันเทิง แม้จะนับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิต แต่ข่าวเหล่านั้นก็ทำให้เขาค้นพบสัจธรรมของอาชีพ รวมไปถึงจุดยืนบางอย่างของตัวเองชัดเจนมากขึ้น

“เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงความคิดใครได้ คนมันจะไม่ชอบก็คือไม่ชอบ” ฌอห์ณบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังที่แอบติดตลกในตอนท้าย สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้ในช่วงเวลานั้นคือค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเอง พยายามไม่เก็บคำพูดของคนอื่นมาใส่ใจจนเกิดทุกข์

“ความคิดต่างไม่ผิด ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดต่าง แต่ผมเลือกจะให้เกียรติคนที่กล้าแสดงตนเพื่อยืนยันความคิดของตัวเองมากกว่าคนที่ใช้รูปอิโมติคอนหรือรูปที่ไม่มีตัวตน เพราะผมรู้สึกว่าแค่นี้เขายังไม่กล้าที่จะเคารพหรือยืนยันในความรู้สึกของตัวเองเลย แล้วทำไมเราต้องไปสนใจคนแบบนั้นล่ะ”

“ทุกคนมีอาวุธประจำตัวเป็นมือถือหนึ่งเครื่องเท่ากัน อยู่ที่ว่าคุณจะใช้มันทำอะไร ส่วนผมเลือกแล้วที่จะใช้มันโดยไม่ทำร้ายใคร”

ฉากที่สี่ – ดีใจที่เขามองผมเป็นคนที่มีคุณภาพคนหนึ่ง

“คนอื่นจะมองว่าผมเป็นคนยังไง มันย่อมเป็นสิทธิ์ของเขา แต่ตอนนี้ผมชอบที่ตัวเองยังมีคุณค่าอยู่ ชอบเวลาคุณพลอยมองเรา แล้วสายตาของเขามันไม่ได้เห็นว่าเราเป็นแค่น้อง ไม่ได้เป็นแค่คนที่ทำอาชีพนักแสดง แต่เขามองว่าเราเป็นคนที่มีคุณภาพ มีจิตใจที่ดี” นอกจากไม่เก็บคำพูดของคนอื่นมาใส่ใจจนเกินพอดีแล้ว การเห็นคุณค่าในตัวเองก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยได้มาก ฌอห์ณคิดอย่างนั้น

“ผมไม่ใช่คนดีของสังคม ไม่ใช่ลูกกตัญญูดีเด่น ไม่ต้องชื่นชมผมมากมายหรอกครับ ผมแค่หวังว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ มันจะกลายเป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจให้กับคนได้”

“อยากให้วันข้างหน้ามีเด็กคนหนึ่งชี้มาที่เราแล้วบอกว่า เฮ้ย พี่คนนี้แม่งโคตรเจ๋งเลยว่ะ เป็นไอดอลของเขาเลย ถึงแม้ว่าตอนนั้นผมอาจจะไม่ได้ทำงานแสดงแล้ว แต่เรายังทิ้งเชื้อเพลิงไว้ให้คนอื่น เขายังอยากทำอะไรเหมือนที่เราเคยทำต่อไป” นี่คือความฝันที่เขากำลังดำเนินการถ่ายทำไม่ว่าจะอยู่หน้าหรือหลังกล้อง ความฝันที่ต้องใช้เวลาสั่งสมให้แข็งแกร่ง ยืนหยัด และชัดเจน

“ตอนนี้ก็ภาวนาไม่ให้ท้อแท้ไปซะก่อน” ฌอห์ณทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม ก่อนกลับเข้ากล้องไปทำหน้าที่นักแสดงอีกครั้ง

แม้เส้นทางการเป็น ‘บุคคลที่ดี’ ของเขาอาจต้องเผชิญกับอีกหลากหลายเรื่องราวหรืออุปสรรคที่เข้ามาทดสอบ แต่จากการพูดคุยกันวันนี้ เขาทำให้เราเชื่อว่า ปัจจุบันที่เขาลงมือทำอยู่นั้นคงจะดีไม่แพ้กันกับที่ผ่านมา เพราะนี่คือละครที่เขากำกับและแสดงเอง

ละครชีวิตของชายหนุ่มแสนธรรมดาที่ชื่อว่า ฌอห์ณ จินดาโชติ

ภาพ ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ, เธียรสิน สุวรรณรังสิกุล

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

ช่างภาพนิตยสาร a day ที่เพิ่งมีพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มใหม่ชื่อ view • finder ออกไปเจอบอลติก ซื้อสิ ไปซื้อ เฮ่!

เธียรสิน สุวรรณรังสิกุล

เจ้าของเพจ T E 4 M ที่หลงใหลในมุกตลกคาเฟ่และชื่นชอบน้องหมาหน้าย่นเป็นที่สุด