แค่รู้ว่ามีร้านทำผมที่จัดแสดงงานศิลปะอยู่ด้วยกันก็ทำเราใจเต้นรัวแล้ว
พอมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าบ้านกระจกสีขาวในซอยสุขุมวิท 24 ก็ยิ่งหลงรัก (และเชื่อว่าใครแวะผ่านไปก็ต้องสะดุดตาเหมือนกัน)
ที่นี่คือ Rikyu by Boy Tokyo แฮร์ซาลอนสัญชาติญี่ปุ่นที่มีสไตล์ทรงผม การให้บริการ รวมไปถึงการออกแบบพื้นที่ 2 ชั้นที่ไม่เหมือนกับร้านทำผมทั่วไป เพราะซ่อนไอเดียสร้างสรรค์และความใส่ใจเอาไว้ตามแบบฉบับเจแปนนีส
โทโมมิ คิตากาวา Sales and Operation Manager ของร้านยิ้มต้อนรับเราแล้วเล่าให้ฟังถึงที่มาของ Boy Tokyo ก่อนว่า เป็นร้านทำผมที่เปิดมากว่า 30 ปีแล้วของมาซายูกิ โมกิ อดีตอาร์ตไดเรกเตอร์ของ Vidal Sassoon แบรนด์ผลิตภัณฑ์ทำผมชื่อดัง Boy Tokyo มีอยู่ 3 สาขาในโตเกียว คือ ที่ฮาราจูกุ โอโมเตะซานโด และไดคังยามะ ส่วน Rikyu by Boy Tokyo เริ่มต้นที่กรุงเทพฯ ใน พ.ศ. 2553 ด้วยคำชวนของเพื่อนที่อยากให้มาซายูกิเอาสไตล์การทำผมแบบญี่ปุ่นมาแนะนำให้คนไทยได้รู้จัก และเผยแพร่คอนเซปต์ร้านทำผมที่เปิดพื้นที่ให้ศิลปะนี้ไปด้วยกัน โดยสาขาซอยสุขุมวิท
24 ที่เราแวะเวียนมานี้ มีได โมกิ ลูกชายของมาซายูกิเป็นคนออกแบบพื้นที่
“พอมาซายูกิกับไดมาเจอบ้านหลังนี้ก็ชอบเลย ที่นี่เคยเป็นร้านคาราโอเกะมาก่อนแล้วปิดไป ไม่มีอะไรเลย แต่ไดเห็นภาพว่าต้องออกแบบยังไง ก็ดีไซน์ใหม่หมดให้โมเดิร์น เป็นบ้านไม้โปร่งๆ ด้านหน้าเป็นกระจกใสเชื่อมพื้นที่กับข้างนอก
ให้ลูกค้าหรือพนักงานไม่รู้สึกว่ากำลังอยู่ในบ้านหรืออาคารทึบๆ อะไรสักแห่ง จะได้รู้สึกสบายๆ ผ่อนคลาย”
โทโมมิเสริมว่า ดีไซน์มีผลต่อความรู้สึกของลูกค้าที่เปิดประตูเข้ามาและพนักงานไม่น้อย อย่างการใช้สีขาวเป็นโทนสีหลักของที่นี่จะช่วยให้ช่างผมมีไอเดียสร้างสรรค์ทรงผมและสีผมใหม่ๆ ได้สนุกขึ้น รวมไปถึงการจัดวางต้นไม้ไว้ตามมุมต่างๆ ทำช่องหลังคาให้โปร่งเปิดรับแสงธรรมชาติส่องเข้ามา ก็เป็นความตั้งใจที่ไดอยากให้ในร้านกลมกลืนไปกับบรรยากาศสีเขียวด้านนอก
พอพื้นที่ใหม่ใหญ่กว่าเดิมเยอะก็เลยต้องจัดสรรให้ใช้สอยประโยชน์ได้มากขึ้น ชั้น 2 ของบ้านกระจกหลังนี้เลยเป็นพื้นที่ของแกลเลอรี่ชื่อ ‘studio 2.0’ สำหรับแสดงงานศิลปะหรือจัดเวิร์กช็อปต่างๆ อย่างนิทรรศการ ‘Head and Toes’ ที่ Rikyu ร่วมกับแบรนด์รองเท้าแฟชั่น MUZINA เวิร์กชอปจัดดอกไม้ ชงกาแฟ พร้อมรับงานสร้างสรรค์ที่คอนเซปต์เข้ากันได้เวียนไปตลอดทั้งปี บางทีศิลปินที่มาโชว์งานก็เป็นลูกค้าที่มาทำผมเองนั่นแหละ
“มาซายูกิและไดไม่อยากให้ Rikyu เป็นแค่ร้านทำผมที่ลูกค้าตัดผมเสร็จแล้วก็กลับ แต่คือทาวน์สแควร์ที่มีคนแวะเวียนมาดูงานศิลปะ พูดคุย แชร์ไอเดียกัน ลูกค้าเรามีทั้งศิลปิน ดีไซเนอร์ นักธุรกิจ เขาจะมีเซนส์ทางแฟชั่นหรือสนใจเรื่องศิลปะอยู่ เป็นคนที่ไม่ชอบอะไรซ้ำใคร บางทีเราเองก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ จากลูกค้าเหมือนกัน เราเลยบอกช่างทุกคนว่าห้ามเป็นช่างผม แต่ให้เป็นคนที่มีความรู้ทุกอย่าง เป็นเหมือนศิลปินคนหนึ่ง ต้องสนใจศิลปะ สนใจเรื่องทำอาหาร ไปเที่ยวต่างประเทศ อ่านหนังสือ ทำความสะอาดด้วย”
ฟังแล้วไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำว่า ‘สุโก้ย!’ เลยล่ะ
ภาพ มณีนุช บุญเรือง