a day with Foo Fighters

“ปี 1996 พวกเรามาที่นี่ครั้งแรก ตอนนั้นมีเพลงอยู่ 12 เพลง ตอนนี้เรามีเพลงเป็นร้อย เราอยากจะเล่นรวดเดียวหมด ซึ่งน่าจะเล่นจบประมาณ 7 โมงเช้า” Dave Grohl นักร้องนำ Foo Fighters พูดบนเวที “แต่เราคงกลับมาที่นี่ไม่ได้อีก”

“เอางี้มั้ย เราจะเล่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะได้กลับมาอีกครั้ง คุณว่างี้ดีมั้ย”

ระหว่างฟังเดฟพูดบนเวทีคอนเสิร์ต ผมคิดถึงหนังสือ From Cradle to Stage หนังสือที่แม่ของเดฟ Virginia Grohl เขียนถึงชีวิตของแม่นักดนตรีและร็อกสตาร์ระดับโลกหลายคน

ในคำนิยม มือกลองระดับตำนานของวงกรันจ์ร็อก Nirvana เขียนว่า แม่คือคนสำคัญที่ทำให้เขารู้จักดนตรี นักดนตรีทุกคนจะจำบทเรียนแรกของตัวเองได้เสมอ ช่วงเวลาที่เดฟเริ่มลุ่มหลงในเสียงเพลงไม่ได้เกิดขึ้นในห้องเรียน ไม่ได้เกิดจากการอ่านหนังสือจดจำทฤษฎีดนตรี มันเกิดขึ้นระหว่างขับรถไปหาด Pohick Bay ตอนอายุ 6 ขวบ ร้องเพลง You’re So Vain ของ Carly Simon กับแม่ของเขา เมื่อถึงท่อนคอรัสที่ Mick Jagger ร้องพุ่งขึ้นมา แม่ร้องเสียงต่ำ เดฟร้องเสียงสูง ทำให้เขารู้ว่าตัวโน้ตที่ต่างกันเมื่อร้องประสานจะทำให้เกิดคอร์ด

ผมอาจไม่รู้ลึกเรื่องทฤษฎีดนตรีนัก แต่เมื่ออ่านจบก็รู้ว่าบุคลิกของเดฟ (ซึ่งเป็นคาแรกเตอร์ของวง Foo Fighters ด้วย) มีเสน่ห์ จริงใจ มีความเป็นมนุษย์มากๆ นั้นมีที่มาจากครอบครัว และการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายในวัยเด็ก

ลักษณะนิสัยนี้อาจจะฟังดูธรรมดา แต่ด้วยโลกยุคนี้ที่เราคุยกับคนผ่านหน้าจอมากกว่า ฟังดูคลิเช่สักหน่อย แต่ผมคิดว่าเราโหยหาการคุยกันแบบปกติ เหมือนมนุษย์คุยกับมนุษย์แบบเจอหน้ากันมากกว่ายุคไหนๆ

Foo Fighters คือวงร็อกที่เล่นสดได้ดีที่สุดวงหนึ่งของโลก แต่คำว่า ‘ดีที่สุด’ นั้นไม่ใช่แค่การเล่น แต่มันคือทุกสิ่งที่คุณเห็น ได้ยิน และรู้สึกตลอดคอนเสิร์ต

ช่วงพักเดฟมักจะพูดยาว แต่คำพูดของเขาก็จับใจคน ไม่ใช่การพูดตามบท เขาไม่ได้ชูตัวเองอยู่สูง แต่พูดคุยกับคนดูด้วยระดับธรรมดา ใช่ เหมือนคนคุยกันแบบเจอหน้า นั่นคือสิ่งที่คนโหยหา และเป็นเหตุผลหนึ่งที่พิสูจน์ว่าทำไมโชว์ของ Foo Fighters ถึงน่าประทับใจ

ผมยืนอยู่ที่โซน B จากจุดนี้เห็นสมาชิกวงตัวจิ๋วเดียว ก่อนคอนเสิร์ตเริ่มไม่กี่ชั่วโมง ผมได้คุยกับพวกเขาแบบประชิดตัว ในการสัมภาษณ์แบบ Exclusive ซึ่ง Sony Music Thailand ติดต่อประสานงานให้อย่างดี a day เป็นสื่อหนึ่งในไม่กี่เจ้าที่ได้คุยกับวง นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วม playback session ฟังเพลงอัลบั้มใหม่พร้อมกันกับสื่ออีกหลายสำนัก เรามีเวลาไม่มาก ผมตั้งใจเน้นคุยเรื่องความคิดเบื้องหลังอัลบั้มใหม่ Concrete and Gold เพราะรู้ว่า Foo Fighters เป็นวงร็อกที่ไอเดียเยอะ ขยัน อยากลองทำเรื่องบ้าๆ ที่ทำให้คนฟังตื่นเต้นอยู่เสมอ

ก่อนการสัมภาษณ์ ทีมงาน Sony Music Thailand ส่งลิงก์อัลบั้ม Concrete and Gold ให้ฟังก่อนแบบสตรีมมิงทางอีเมล

ฟังจบรอบแรก ผมกดเล่นต่อรอบที่สองและสามซ้ำทันที นี่กลายเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่ผมชอบมาก และอยากแนะนำให้ศิลปิน คนทำงานสร้างสรรค์ และคนที่อาจจะไม่เคยฟังเพลงร็อกหรือฟัง Foo Fighters มาก่อนได้ลองสักครั้ง

ถ้าใครได้ดูคอนเสิร์ต Foo Fighters ช่วงปี 2015 จะพบว่าเดฟ ‘นั่งเล่น’ ทุกโชว์

สาเหตุเพราะระหว่างเล่นคอนเสิร์ตทัวร์อัลบั้มก่อน Sonic Highways ที่สวีเดน เดฟตกเวทีจนขาหัก แต่วงไม่ยอมหยุดทัวร์ ทีมงานเลยทำบัลลังก์ ที่หน้าตาคล้ายบัลลังก์ The Iron Throne จากซีรีส์ Game of Thrones (เปลี่ยนจากดาบมาเป็นกีตาร์) ให้เดฟได้นั่งและเล่นกีตาร์แหกปากได้จนจบทัวร์

สุดท้ายวงก็พบว่าสภาพร่างกายของเดฟยังไม่ดีพอ ต้องใช้เวลาพักนานกว่า 1 ปี วงทำคลิปวิดีโอประกาศพักงานชั่วคราวอย่างเป็นทางการ (เนื้อหากวนตีนมาก ลองหาดู) ช่วงเวลาพักที่นานทำให้การกลับมาทำเพลงใหม่อีกครั้งดูเป็นเรื่องยากและท้าทายมากกว่าเดิม

งานเพลงของ Foo Fighters สองอัลบั้มที่แล้ว Wasting Light (2011) และ Sonic Highways (2014) ประสบความสำเร็จมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนกำแพงกั้นความคิดสร้างสรรค์ทำงานชิ้นใหม่ สองอัลบั้มนี้วงดูเหมือนจะทำงานด้วยวิธีคิดและสำเนียงที่คล้ายกัน ใน Wasting Light วงทดลองทำเพลงในโรงรถของเดฟ เหตุผลส่วนหนึ่งเพราะวงเพิ่งได้เล่นคอนเสิร์ตใหญ่ที่สุดในชีวิตบน Wembley Stadium พวกเขาจึงอยากหันมาทำงานบ้านๆ อัดเสียงด้วยเทป ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ปรับแต่งเลย อัลบั้มต่อมา Sonic Highways พวกเขาตระเวนทำเพลงในสตูดิโอท้องถิ่น 8 เมืองทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมกับทำสารคดีชื่อเดียวกันฉายทางช่อง HBO

ทั้งสองอัลบั้มอัดด้วยเทปเหมือนกัน ใช้โปรดิวเซอร์คนเดียวกันคือ Butch Vig หนึ่งในสมาชิกวง Garbage และเป็นโปรดิวเซอร์อัลบั้ม Nevermind ของวง Nirvana เดฟจึงอยากทดลองทำอะไรใหม่ๆ “ช่วงก่อนที่จะเริ่มทำอัลบั้ม สิ่งแรกที่เดฟบอกเราคือ จะลองทำเพลงในทิศทางที่ต่างจากเดิม นั่นเป็นจิตวิญญาณของการทำอัลบั้มนี้ทั้งหมดเลย” Chris Shiflett มือกีตาร์ของวงเล่า

“เราทดลองอัดเสียงในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างมานานมาก เพื่อดูว่ามันจะมีผลอย่างไรกับเสียง” เดฟเริ่มเล่า เขาอยากให้เราเข้าใจว่าการทำเพลงในโรงรถหรือตระเวนไปทั่วประเทศไม่ใช่กิมมิก แต่มีผลกับดนตรีทั้งอัลบั้ม

“เราอัดเสียงในโรงรถ ซึ่งก็เป็น ‘โรงรถ’ จริงๆ มันทำให้เสียงในอัลบั้มแน่นขึ้น เพราะมันอัดในพื้นที่เล็กๆ มันทำให้งานเวิร์ก อัลบั้มต่อไปเราอัดเสียงในหลายที่ทั่วประเทศ เล่าเรื่องราวของแต่ละเมืองในแต่ละเพลง ทำสารคดี นั่นเป็นอีกหนึ่งการทดลองที่เวิร์ก จากนั้นเรามีไอเดียบ้าๆ สำหรับอัลบั้มนี้ ตอนแรกเราอยากสร้างสตูดิโอบนเวที และชวนคน 20,000 คน อัดเสียงและมิกซ์บนเวที ถ่ายทอดสดให้คนทั่วโลก”

“เราผลักดันตัวเองไปสุดขอบ คิดว่ามีไอเดียบ้าๆ อะไรอีกบ้างที่เราจะทำได้ แต่อีกด้านหนึ่ง เราก็รู้ว่าไม่ได้อัดเสียงแบบปกติมานานมาก ปี 2015 เราทำ EP อัลบั้ม Saint Cecilia ซึ่งอัดในล็อบบี้โรงแรม หนึ่งในไอเดียบ้าๆ ของเราคือการกลับไปทำเพลงในสตูดิโอปกตินั่นแหละ การกลับมาสตูดิโอสำหรับผมเลยใหม่และสดมากสำหรับเรา ซึ่งดี ทำงานง่ายด้วย”

Greg Kurstin คือโปรดิวเซอร์ของอัลบั้ม Concrete and Gold เขาคือหนึ่งในศิลปินวงอินดี้ป๊อป The Bird and the Bee เดฟเป็นแฟนตัวยงของวงนี้ เกร็กถูกพูดถึงเมื่อมีการสัมภาษณ์วงแทบทุกครั้งที่ผ่านมา ผมถามสมาชิกคนอื่นๆ อย่าง Pat Smear, Nate Mendel, Taylor Hawkins และ Rami Jaffee มือคีย์บอร์ดของวง (ที่ถูกโปรโมตเป็นหนึ่งในสมาชิกวงครั้งแรก ทั้งที่จริงเขาทำงานให้มานานแล้ว) ว่าเมื่อวงร็อกเปิดใจทำงานกับโปรดิวเซอร์ป๊อป ผลลัพธ์ที่ได้เป็นอย่างไร เกร็กทำอะไรกับเสียงพวกเขาบ้าง

“เกร็กทำหลายเรื่องมาก มันยากที่จะลงรายละเอียด แต่เรื่องหนึ่งที่ผมว่าเป็นเรื่องสำคัญสุดคือ เขาสามารถทำให้เดฟพัฒนาไอเดียในหัวที่เขาคิดมานานมากให้เกิดขึ้นจริงได้ โดยเฉพาะเรื่องการทำให้เสียงร้องและดนตรีของวงแตกต่าง ซึ่งไม่เคยทำได้สำเร็จ เกร็กคือคนที่ใช่ที่ทำให้มันเกิดขึ้นได้” คริสเล่า

“ความจริงเกร็กโตมากับวงร็อกวงเดียวกับที่เราฟังนั่นแหละ ส่วนใหญ่นะ ผมอยู่ไกลจากอัลบั้มป๊อป การได้ทำงานกับคนที่อยู่นอกโซนร็อกเป็นเรื่องน่าสนใจ ถ้าคุณได้ทำงานกับคนที่เคยทำเพลงกับ Adele และ Sia คุณจะได้เพลงที่ต่างออกไปแน่ๆ” เทย์เลอร์เล่า

“Hello…” เดฟล้อเสียงของ Adele จากเพลงฮิต “แต่ถ้าเป็นวงเราก็จะเป็น ฮัลโหล! แบบแหกปากแทน”

Concrete and Gold ไม่ใช่ Foo Fighters ที่ป๊อปขึ้น แต่เป็นการนำวัตถุดิบที่เป็นจุดเด่นของวงทั้งหมดมาผสมรวมกันอย่างลงตัว พวกเขาโตมากับเพลงร็อกก็จริง แต่กลับเปิดกว้างกับแนวเพลงที่หลากหลาย ทุกเพลงตัดเป็นซิงเกิลได้หมด แม้ซิงเกิลล่าสุด The Sky is a Neighborhood จะมีคอมเมนต์จากแฟนเพลงว่าป๊อปเหลือเกิน แต่สำหรับเรานี่คือหนึ่งในเพลงที่ดนตรีติดหูและดีมาก ฟังอัลบั้มนี้จบคุณจะอยากกดเล่นต่ออีกครั้งโดยไม่เสียเวลาคิด

คาแรกเตอร์หนึ่งที่ผมชอบคือ Foo Fighters เป็นวงที่ท้าทายตัวเอง ชอบทำอะไรใหม่ๆ เพื่อให้งานน่าสนใจขึ้นเสมอ คุณสมบัตินี้ดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่ลองคิดดูว่าถ้าเราทำงานที่สำเร็จมากๆ มาเป็นเวลาหลายสิบปี มีคนรอฟังเพลงอัลบั้มใหม่ทุกครั้ง พวกเขาย่อมคาดหวังอยากฟังเพลงที่เขาชอบ

ขอบเขตนี้กลายเป็นกำแพงใหญ่สำหรับคนทำงานสร้างสรรค์เช่นเดียวกัน เราจะไม่กล้าทำอะไรใหม่เพราะกลัวว่าจะไม่สำเร็จเท่าเก่า Foo Fighters ไม่กลัว กล้า และมีแรงขับทำงานที่สดใหม่ตลอดเวลา

“ผมคิดว่าไอเดียส่วนใหญ่เริ่มต้นอย่างเรียบง่าย บางครั้งไอเดียแรกที่ฟังดูง่ายๆ คืออันที่ดีที่สุด แต่มันก็น่าสนใจเหมือนกันที่คุณจะคิดไอเดียโดยเริ่มจากการร่วมมือกับคนอื่น ลองวิธีทำงานใหม่ๆ และดูว่ามันจะเป็นยังไง
เมื่อคุณเริ่มทำเพลง คุณจะจินตนาการว่าเสียงมันน่าจะเป็นแบบนี้ๆ แต่สุดท้ายมันมักจะออกมาต่างจากสิ่งที่คิดไว้ตอนแรก ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี อย่างน้อยคุณได้ลองสำรวจไอเดียในพื้นที่ใหม่ๆ” เดฟเล่า

“ผมคิดว่าแรงบันดาลใจของวงคือเดฟนะ เขามักมาพร้อมไอเดียน่าสนใจใหม่ๆ เช่น ทำรายการทีวี ทำสารคดี เล่นในสนามเวมบลีย์ หรือ Cal Jam 17 เขาทำให้พวกเราตื่นเต้นตลอด” คริสเล่า
Cal jam 17 ที่เขาพูดถึงคือ เทศกาลดนตรีที่เป็นเหมือนงานปาร์ตี้เปิดอัลบั้ม พวกเขาอยากสร้างเทศกาลดนตรีของตัวเอง จัดเดือนตุลาคมนี้ที่ Glen Helen Regional Park แคลิฟอร์เนีย ความจุราว 50,000 คน “เราจะทำโชว์ครั้งใหญ่ มันสนุกดีที่จะได้เล่นคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองใกล้บ้าน เราหวังว่ามันจะเป็นงานใหญ่ที่ดี” สมาชิกวงร็อกที่ออกทัวร์มาแล้วทั่วโลกพูดปิดท้ายการสัมภาษณ์

ในช่วง playback session เราได้ฟังเพลงในอัลบั้มอีกครั้ง ช่วงตอบคำถามกับสื่อมวลชน Foo Fighters เล่าเรื่องเพลงที่ล้วนน่าสนใจในอัลบั้มนี้อีกเล็กน้อย เช่น ประสบการณ์การทำเพลงร่วมกับ Paul Mccartney ที่วงชวนมาเล่นกลองในเพลง Sunday Rain พอลอัดกลองเสร็จแล้ว 2 เทค แต่เขาก็ยังขอเล่นแจมกับวงต่ออีกเป็นชั่วโมง

คำตอบหนึ่งที่เราชอบ มาจากนักข่าว Bangkok Post ที่มองว่าวงทำเพลงในช่วงที่อเมริกากำลังเผชิญหน้าความท้าทายและเปลี่ยนแปลงหลายเรื่อง พวกเขาแทรกความคิดเห็นทางการเมืองใส่ไปในอัลบั้มนี้บ้างมั้ย

“มันเป็นช่วงเวลาที่ท้าทาย ไม่ใช่กับอเมริกา แต่กับทั้งโลก ผมคิดว่าบรรยากาศ พลังงาน สิ่งแวดล้อมทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเราอาจมีอิทธิพลหรือส่งผลกับความคิดของคุณ ตอนนี้พวกเราเป็นพ่อคนกันหมดแล้ว เมื่อเรามาเจอกับความท้าทายอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์” สื่อทุกคนหัวเราะหึๆ พร้อมกัน “มันเป็นแรงบันดาลใจให้เราแม้จะไม่ใช่ในทางที่สวยงาม คือเราไม่ได้ทำอัลบั้ม Rage Against the Machine (วงอเมริกันร็อกซ้ายจัดที่ขึ้นชื่อเรื่องการแต่งเพลงเกี่ยวกับการเมือง) แต่ก็มีผลกับวิธีคิดวิธีเขียนเพลงของเรา และพวกเราในวงส่วนใหญ่โตมากับเพลงพังก์ร็อก ผมคิดว่าอย่างน้อยหัวใจของเราอยู่ในจุดที่เชื่อว่าคุณมีเสียงที่สามารถพูดในสิ่งที่อยากพูดได้” เดฟพูดถึงการแต่งเพลงในอัลบั้มนี้

หลังจบสัมภาษณ์ ผมยังคุยกับทีมงานโซนี่ประเทศไทยต่อ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าฉายาของ Foo Fighters ที่ว่าเป็นวงร็อกนิสัยดีที่สุดในโลกเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่เดฟ สมาชิกทุกคนพร้อมจะคุยกับคุณแบบไม่ถือตัว

ในโลกการทำงาน คุณอาจไม่จำเป็นต้องเป็นที่รักของคนทั้งโลก แต่การได้เจอมืออาชีพที่นิสัยดี ทำให้ผมรู้ว่า ถ้าคุณเป็นคนเก่งที่ปฏิบัติกับคนอื่นดี มันจะเปิดประตูให้คุณได้โอกาสดีๆ ในชีวิตเข้ามาอีกเยอะ

“เอ้อ เดฟ มีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากบอก” เดฟจ้องตาผม ตั้งใจฟัง

“ผมชอบหนังสือของแม่คุณมาก คุณโคตรโชคดีเลย”

“จริงเหรอ! ขอบคุณมาก เดี๋ยวผมไปบอกแม่ให้” เดฟหัวเราะ “ขอบคุณๆ แล้วเจอกันคืนนี้นะ”

ขอบคุณภาพถ่ายจาก Sony Music Thailand

AUTHOR