ชวน Oscar Jerome ศิลปินหนุ่มจากลอนดอน เล่าเรื่องเบื้องหลัง 5 เอ็มวีสุด weird

บ่ายวันหนึ่ง ณ ออฟฟิศ a day ขณะที่เรากำลังไล่เปิดเอ็มวีหลายๆ เพลงในอัลบั้ม The Spoon ของ ออสการ์ เจอโรม (Oscar Jerome) หลังจากที่ได้ทราบข่าวว่า ผู้จัดอย่าง HAVE YOU HEARD? จะนำเขามาเล่นที่กรุงเทพฯ นั้น ทีมงานคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “เอ็มวี weird แบบนี้ อยากรู้จังว่าบรีฟกันยังไงนะ” 

นาทีนั้น เราก็เลยตกลงใจว่าจะไปคุยกับ ออสการ์ เจอโรม เกี่ยวกับแนวคิดเบื้องหลังเอ็มวีแหวกๆ แปลกๆ ทั้งหลายของเขานี่แหละ 

ออสการ์ เจอโรม เป็นใคร? 

เล่าแบบย่นย่อ เรามีโอกาสได้เห็น ออสการ์ เจอโรม ตั้งแต่ยังเล่นอยู่กับวงเก่าของเขาที่ชื่อ Kokoroko ซึ่งเล่นแนว Jazz-Afrobeat ก่อนที่เขาจะออกมาทำอัลบั้มเดี่ยว โดยทั้ง Kokoroko และ ออสการ์ เจอโรม เป็นศิลปินอังกฤษที่อยู่ใน UK Jazz Scene อันหมายถึงว่า ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซีนดนตรีแจซในอังกฤษนั้นเฟื่องฟูมากๆ จากความสุกงอมขององค์ประกอบหลายๆ อย่าง ทั้งการเรียนการสอนแจซ การเติบโตของคนรุ่นใหม่ๆ ที่แตกฉานและมีสไตล์ แจซแบบ UK นั้น ไม่ได้เดินตามแทรดิชันแนลแจซแบบอเมริกัน แต่มีอิทธิพลของดนตรีมากมายหลากหลายผสมผสานอยู่ในนั้น

เช่นเดียวกับ ออสการ์ เจอโรม ที่ตัวเขาเองก็บอกไม่ได้ว่าดนตรีของเขาเป็นแนวอะไร เพราะมีส่วนผสมทุกอย่างที่เขาชอบ เช่น Prince, The Clash, ดนตรีละตินอเมริกา แม้กระทั่ง Trap กับไลน์กีตาร์ของเขาที่เป็นแจซ ยังไม่นับอิทธิพลทางดนตรีอื่นๆ ที่เขาเติบโตมากับเพลงร็อกอย่างของ Jimi Hendrix, Rage Against the Machine กระทั่งมี George Benson เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้หันมาเล่นกีตาร์แจซ

ตัดภาพมาที่ร้าน DECOMMUNE ย่านราชดำเนิน ซึ่งเป็นสถานที่แสดงของ ออสการ์ เจอโรม ในคืนนั้น หลังจากซาวนด์เช็กเสร็จเขาก็มานั่งให้สัมภาษณ์​กับเราชาว a day ซึ่งเป็นสื่อเจ้าเดียวที่ติดต่อขอสัมภาษณ์เขา ออสการ์ เจอโรม เป็นคนเฟรนด์ลี่และหัวเราะเก่ง แต่การตอบคำถามของเขาเต็มไปด้วยรายละเอียดที่มาจากการคิดเยอะและบางครั้งก็ลุ่มลึก ขัดกับการแสดงออกตลกๆ เพี้ยนๆ ในเอ็มวี บุคลิกซับซ้อนดีแท้ไม่ต่างจากดนตรีของเขา

โชว์ในคืนนั้นสุดยอดมาก ซาวนด์ดีเหลือเชื่อ Vibe ของผู้ชมสนุกได้ที่ ก่อนเริ่มงานเราถามเขาว่า ปกติแล้วเขาดื่มก่อนขึ้นเวทีไหม ออสการ์ เจอโรม ตอบว่า ส่วนใหญ่แล้วไม่ เพราะบนเวทีเขาต้องมีโฟกัสกับหลายอย่างเหลือเกิน แต่หลังจบงาน เราดีใจได้ทักทายกับเขาอีกครั้งพร้อมขวดเบียร์ยี่ห้ออเมริกันในมือ เขาบอกเราว่า หวังว่าจะได้กลับมาเล่นที่นี่อีกครั้ง เราเองก็หวังแบบนั้นเช่นกัน

เอาล่ะ และต่อไปนี้คือบทสนทนาเกี่ยวกับแนวคิดเบื้องหลัง 5 เอ็มวีสุด weird ของ ออสการ์ เจอโรม ที่จะพาคุณไปรู้จักเพลงของเขาและตัวตนของเขา ขอเชิญฟังไป ดูไป อ่านไป ได้เลย  

Sweet Isolation 

แลนด์สเคปโออ่าของไอซ์แลนด์

ทำไมต้องไปถ่ายที่ไอซ์แลนด์

ผมเคยไปเที่ยวไอซ์แลนด์ตอนวัยรุ่น และชอบแลนด์สเคปที่นั่นมาก ความเป็นที่โล่งกว้าง สามารถมองออกไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บนดาวดวงอื่น ซึ่งตอนแต่งเพลงนี้ผมก็มีภาพในหัวว่า กำลังเดินในที่เวิ้งว้างว่างเปล่า เหมือนอยู่บนดวงจันทร์ คิดว่าภาพแบบนี้มันเข้ากับอารมรณ์เพลงดี ก็เลยเป็นเหตุผลที่ผมเลือกไปถ่ายเอ็มวีที่ไอซ์แลนด์ ไปกับน้องชาย และมีเพื่อนที่นั่นคอยช่วยเหลือ เราอยู่ที่ไอซ์แลนด์ประมาณ 10 วัน ใช้เวลาถ่ายประมาณ 1 สัปดาห์ และเที่ยวด้วย 

คำว่า Sweet Isolation ในที่นี้มีความหมายกับคุณยังไง  

จริงๆ แล้วเพลงนี้เป็นเพลงอกหักครับ (หัวเราะ) แต่ในขณะเดียวกันก็พูดถึงความงามในความเศร้า บ่อยครั้งศิลปะที่งดงามก็งอกเงยออกมาจากช่วงเวลาอย่างตอนเช้า หรืออารมณ์แห่งความเศร้านี่แหละ ผมคิดเรื่องนี้เยอะตอนแต่งเพลงนี้ ขณะเดียวกันมันก็เกี่ยวกับการใช้เวลาในขณะที่คุณรู้สึกเศร้าหมอง ที่จะนั่งจมจ่อมอยู่กับความรู้สึกนั้น และทำความเข้าใจมัน อย่างคุณเองอยู่ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ก็อาจจะรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เหมือนกับที่ลอนดอน คือมันง่ายมากที่คุณจะทำสิ่งต่างๆ มากมาย แต่คุณไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในจุดไหน เพราะไม่มีเวลาใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต นั่นคือสิ่งที่ผมได้ทำในช่วงโควิดระบาด เพราะทำอย่างอื่นไม่ได้นั่นเอง 

ตัวละครในเอ็มวีเหมือนคนที่พยายามจะทำชีวิตให้ปกติ แต่ขณะเดียวก็ดูมีบางอย่างในมุมหนึ่งของจิตใจ 

มันเหมือนกับมี Demon คอยพูดกับเขาอยู่ตลอด แต่ว่าจริงๆ มันเป็นอารมณ์ขันเหมือนกันนะ มันไม่ได้พูดอะไรที่ซีเรียสขนาดนั้นไปเสียทั้งหมด ผู้ชายคนนี้คือตัวละครที่พยายามบอกตัวเองว่าเขาไม่เป็นอะไร โดยพยายามใช้ชีวิตปกติ และเหมือนกำลังคุยกับใครตลอดเวลา แต่ไอเดียคือ เขาไม่ได้พูดกับใครเลย จริงๆ แล้วเขาอยู่คนเดียว และจะเห็นตัวละครอีกตัว คือคนที่ใบหน้าแบ่งครึ่ง อันนั้นเป็นเหมือนตอนที่ถูกกลืนกินโดยความเศร้า ผมตั้งชื่อว่า Ice Guycicle เป็นคาแรกเตอร์ในจินตนาการ ซึ่งก็คืออีกเวอร์ชันหนึ่งของตัวผมเอง

Berlin 1

ถอยมองชีวิตจากมุมมองบนบอลลูน

ตอนต้นของเอ็มวีที่คุณพูดว่า “ลองจินตนาการถึงการมองโลกจากบนบอลลูน ทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคนที่คุณรู้จักตัวเล็กเท่ามด ความคิดนี้ทำให้ชีวิตดูช่างไร้ความหมาย แต่ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกสงบอย่างยิ่งมันคืออะไร

อันนี้ก็ควรเป็นเรื่องตลกเหมือนกัน (หัวเราะ) ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมกำลังสับสนกับหลายๆ อย่าง และกำลังคิดว่า แทนที่จะจมอยู่กับปัญหาต่างๆ ในชีวิต คนเราควรจะถอยออกมามองตัวเองเหมือนเรากำลังดูหนังอยู่ได้ด้วย เพื่อที่จะเห็นว่า จริงๆ มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น ทุกคนก็มีปัญหาของตัวเองเหมือนกัน คุณก็เป็นแค่ฟันเฟืองหนึ่งของโลกใบนี้ ซึ่งบางครั้งผมคิดว่ามุมมองแบบนี้มันช่วยได้

เพลงนี้ก็เป็นเพลงอกหักเหมือนกัน มันเป็นธีมในตอนนั้นครับ (หัวเราะ) มันเกี่ยวกับการเห็นภาพของตัวเองในมุมมองของคนอื่น เหมือนท่อนที่ร้องว่า “Cause I see him in the reflection of a woman’s eyes” เพราะว่าโลกทุกวันนี้ เราทุกคนหมกมุ่นกับสิ่งต่างๆ อย่างมือถือ เราโพสต์รูปตัวเอง เราคิดว่าเราจะเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดของเราได้ยังไง เราคิดว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเราตลอดเวลา กลายเป็นว่าความเป็นตัวเราขึ้นอยู่กับมุมมองของคนอื่น แทนที่เราจะเป็นตัวเองจริงๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็อาจจะเปรียบกับความสัมพันธ์ได้เหมือนกัน ที่คุณควรจะมั่นใจในความเป็นตัวเองด้วย ไม่ใช่คิดแต่ว่าคนที่คุณมีความสัมพันธ์จะมองคุณยังไง

ฉากที่ลงไปในแม่น้ำงมดาบขึ้นมาคืออะไร 

มันมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับไวกิ้ง ประมาณว่า เมื่อนักรบตาย ดาบจะถูกโยนลงไปยังก้นบึ้งของแม่น้ำหรือทะเลสาบ ฉากนั้นก็เหมือนกับการฟื้นคืนชีพอะไรสักอย่าง แต่เราอยากให้มันออกมาตลกนะ (หัวเราะ) 

คุณดูเป็นคนที่มีความคิดที่ซีเรียส แต่ก็ผสมกับความสนุกตลอดเวลา 

ใช่ๆ ผมเป็นคนชอบใช้ความคิด ผมเป็น Thinker เป็นคนคิดเยอะกับทุกๆ เรื่อง ผมชอบสิ่งที่ผมครีเอต และคิดว่ามันสำคัญที่ต้องมีความลุ่มลึก ไม่ได้แค่อยากทำออกมาอย่างงั้นๆ เพราะสำหรับผม ศิลปะคือสิ่งที่มีความหมายลึกซึ้งซึ่งใช้สื่อสาร เป็นรูปแบบของภาษาที่มีประวัติศาสตร์ และคิดว่ามันสำคัญที่ต้องใช้ความคิดและความใส่ใจในการสร้างสรรค์ 

แต่ในขณะเดียวกันผมก็ไม่ได้อยากเป็นคนที่ซีเรียสจริงจังเหลือเกิน ถ้ารู้จักกันส่วนตัว จะรู้ว่าผมชอบที่จะทำตัวบ้าๆ ตลกๆ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่คนเราต้องพรีเซนต์ตัวเองตลอดเวลา คือผมรู้สึกว่าอย่าไปซีเรียสอะไรขนาดนั้น 

เอ็มวีของคุณเองก็ดูบ้าๆ ทุกตัว 

ผมชอบความเซอร์เรียล เหมือน Frank Zappa นักร้องดังในยุค 60-70 ดนตรีของเขามี Element ที่เซอร์เรียล ผมคิดว่ามันเจ๋งดี ผมชอบปั่นประสาทคน ทำให้คนสับสน และในงานศิลปะ บางครั้งมันเจ๋งดีที่ทำงานศิลปะเพื่อศิลปะ ไม่จำเป็นต้องทำศิลปะเพื่อโน่นนั่นนี่ตลอด แต่เป็นการสื่อสารความรู้สึกบางอย่าง คือมันมีความหมายแหละ แต่ในความหมายนั้นไม่จำเป็นต้องอธิบายออกมาด้วยคำพูดตลอด 

Feet Down South 

ลอนดอนชีวิตดีๆ ที่ลงตัว

ทำไมเอ็มวีเพลงนี้เป็นแค่ลูปของผู้ชายขี่มอเตอร์ไซค์ เป็นแค่ Visualizer 

อย่างแรกเลยคือ ผมไม่ได้อยากทำฟูลวิดีโอสำหรับทุกอย่าง โดยเฉพาะทุกวันนี้ที่คนเราให้ความสนใจอะไรในระยะเวลาสั้นๆ ถ้าคุณทำฟูลวิดีโอ คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้ดูจนจบก็ได้ อาจจะดูแค่บางส่วน บางครั้งผมเลยรู้สึกว่า เราสามารถทำอะไรที่สั้นๆ โดนๆ ผมทำอันนี้ให้เป็นภาพที่เสริมเรื่องราวของชายที่ชื่อ Jerry ซึ่งผมสร้างเขาขึ้นมาเพื่ออัลบั้มนี้ ชายคนที่หวีผมแปล้ใส่สูทที่คุณเห็นในวิดีโอ เขาก็คือผมนั่นแหละ แต่นั่นคือ Jerry (หัวเราะ) เป็นอีกตัวตนหนึ่งของผม

Jerry มีที่มาจากการที่ผมชอบเลียนสำเนียงอเมริกันเหมือนเพื่อนที่มาจากนิวเจอร์ซีย์ และพอตอนเราถ่ายภาพสำหรับอัลบั้ม The Spoon ผมก็ถูกจับแต่งสูท เหมือนเป็นนักธุรกิจในหนังเรื่อง American Psycho เราเลียนแบบคาแรกเตอร์ของ คริสเตียน เบล กับเลื่อยไฟฟ้าเหมือนในหนัง ซึ่งตอนถ่ายผมก็พูดสำเสียงแบบนั้นเหมือนกัน เลยรู้สึกว่าคาแรกเตอร์นี้น่าสนใจ เราน่าจะทำอะไรกับมันได้อีก 

เพลงนี้ผมมีไอเดียว่าอยากให้ Jerry เดินทางผ่านอุโมง เหมือนซีนในหนังเก่าๆ ตอนถ่ายก็ตลกมาก ก็คือมีผมขี่สกูตเตอร์ และเพื่อนของผมก็อยู่บนมอเตอร์ไซค์อีกคัน ขี่ประกบกันไป ใช้ทุนต่ำมาก

เพลงนี้เกี่ยวกับความยากลำบากของการใช้ชีวิตในเมือง การใช้ชีวิตในที่ที่คุณต้องไปข้างหน้าตลอดเวลา ทำงานหนักตลอดเวลา ส่วนหนึ่งมันพูดถึงลอนดอนตอนใต้ด้วย ที่ที่ผมอยู่มานาน ความสวยงามของที่นั่น ผู้คนที่ดี แต่ขณะเดียวกัน ระบบของมันก็บังคับให้คนต้องตั้งคำถามว่าเราควรมีชีวิตอยู่อย่างไร ค่าครองชีพที่สูง ผมพูดถึงอนาคต โลกแบบไหนที่เรากำลังสร้างให้คนรุ่นต่อไป ซึ่งในเพลงนี้มีเสียงหลานสาวของผมด้วย ท่อนที่ร้องว่า “Don’t end up falling through the crack in the pavement” ผมอยากให้มันมีฟิลลิ่งของ ความสดใสร่าเริงที่คุณจะรู้สึกได้จากเด็กๆ แต่ขณะเดียวกันก็มีฉากหลังเป็นความดาร์กและความยากของการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ สิ่งเหล่านี้จะสร้างสิ่งดีๆ ได้สำหรับคนรุ่นต่อไปได้อย่างไร ไม่รู้สิ ผมมองไม่เห็นว่าจะเป็นไปได้ (หัวเราะ) 

Channel Your Anger

โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า

เอ็มวีเพลงนี้ก็เป็นลูปเหมือนกัน 

เพลงนี้ไม่มีเนื้อ มันเกี่ยวกับการถ่ายทอดความรู้สึกรุนแรงของคุณออกมาเป็นอะไรที่ดีและมีความหมายมากกว่าแค่การโมโห ลูปของเพลงนี้ก็แค่ผมตะโกนใส่กระจก การแสดงก็คือแค่พยายามจะถ่ายทอดอารมณ์ของความไม่พอใจออกมา ความโกรธเกรี้ยว และวิธีที่คุณจะใช้พลังไปในทางที่ผิดกับสิ่งที่มันมากระทบคุณ เหมือนเวลาขับรถ ผมได้ยินมาว่าที่กรุงเทพฯ นี่ก็ใช่ย่อย คนขับรถกันแย่ๆ เหมือนเวลาใครบางคนตัดหน้าคุณ คุณก็จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตะโกนด่า แต่ว่าต่อจากนั้นคนๆ นั้นก็ไปตามทางของเขา แต่คุณยังแบกความรู้สึกโกรธนั้นไว้อยู่กับตัว มันไม่มีอะไรดีเลย ไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลย อยากให้ถ่ายทอดความรู้สึกรุนแรงของคุณออกมาเป็นอะไรที่…ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรนะ แต่เป็นอะไรที่ดีกว่านั้น หรือไม่ก็เรียนรู้ที่จะควบคุมมัน (หัวเราะ)

ถ่ายทำยังไง 

ผมต้องตะโกนสุดเสียงใส่กระจกเลยตอนถ่าย แต่ว่าคนดูแล้วบอกว่าไม่ค่อยชอบนะ มันกวนใจ (หัวเราะ) ซึ่งงานนี้ทำให้ผมเจ็บคอมาก ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง โชคดีไม่ต้องร้องเพลงในวันรุ่งขึ้น 

Feed the Pigs

ความน่าสะอิดสะเอียนของเจ้าหมูที่ตะกละตะกลาม

เพลงนี้ไอเดียคืออะไร 

เพลงนี้เราถ่ายกันในลิฟต์ ต้องบอกว่าทุกเพลงผมได้ มัลคอล์ม แย็ง (Malcolm Yaeng) มาทำอาร์ตไดเรกชันให้ เขาเป็นอาร์ตไดเรกเตอร์และสไตลิสต์ที่เก่ง เพื่อนผมเอง

เพลงนี้ค่อนข้างจะเกี่ยวกับการเมืองหน่อย เหมือนกับคำว่า Nepotism ที่หมายถึงการช่วยเหลือพวกพ้องมากกว่าช่วยเหลือผู้คน โดยเฉพาะรัฐบาล

ผมอยากสร้างภาพที่น่าสะอิดสะเอียนของหมูที่ตะกละตะกลามในปลักโคลน ภาพของพวกนักการเมืองที่อยากจะสวาปามทุกสิ่งอย่างด้วยความละโมบ นั่นคือไอเดีย จริงๆ มันพูดถึงอังกฤษแหละ แต่ก็นั่นแหละนะ ของแบบนี้มีทุกประเทศ 

วิดีโอนี้ถ่ายกับมัลคอล์มและเพื่อนๆ ใช้คาแรกเตอร์ Jerry อีกครั้ง Jerry เข้ามาในลิฟต์และติดอยู่ในนั้น และภาพฉายไปเหมือน Time Lapse บน CCTV Jerry เดินไปเดินมาด้วยความงุ่นง่าน ดูนาฬิกา ทำไงดี ผมอยากได้ภาพน่ากลัวๆ เหมือนหนังสยองขวัญแต่ก็ตลกด้วยเช่นกัน เช่น หน้ากากหมู ที่อยู่ดีๆ ก็หายตัวได้ แล้วก็ชุดคอสตูมที่เป็นช้อนที่สื่อถึงชื่ออัลบั้ม The Spoon

เรื่องการเมืองหรืออะไรพวกนี้ มานั่งนึกดูจริงๆ มันบ้านะที่เรายอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น เวลาผมทำเรื่องเซอร์เรียลหรือเรื่องบ้าๆ พวกนี้ ก็เล่นกับไอเดียนี้เหมือนกัน ว่าเราอยู่ในโลกแบบไหนกันนะ ที่เรายอมให้คนพวกนี้ทำแบบนี้กับเรา บ้าจริงๆ เวลาดูเอ็มวีคุณจะรู้สึกว่า ทำไมมันบ้านัก นี่ฉันกำลังดูอะไรอยู่ (หัวเราะ)

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

พิชญุตม์ คชารักษ์

ชีวิตหลักๆ นอกจากถ่ายภาพ ชอบชกมวยเป็นชีวิตจิตใจ ฟังเพลงที่ดนตรีฉูดฉาดกับเบียร์เย็นๆ