The End of the F***ing World : ซีรีส์ตลกร้ายมาแรงบน Netflix ที่ไม่ได้ขายแค่ความเฟี้ยวและความเพี้ยนของตัวละคร

Creator: Jonathan Entwistle
Region: UK
Genre: Comedy / Drama

“การเป็นบ้าในโลกที่บ้าคลั่งแบบนี้ ไม่เรียกว่าบ้าหรอก เรียกว่ามีสติดีต่างหาก”

หากคุณชอบหนังตลกร้าย ดราม่า บ้าบอ แต่โรแมนติกอย่างประหลาด เราขอแนะนำ The End of the F***ing World ซีรีส์ใหม่แกะกล่องจาก Netflix ที่สร้างกระแฮฮือฮาตั้งแต่ปล่อยเทรลเลอร์ออกมา เรื่องราวของเจมส์ หนุ่มน้อยที่มั่นใจว่าตัวเองเป็นคนโรคจิตแถมวอนนาบีจะเป็นฆาตกร กับอลิซซา สาวขวางโลกต่อต้านสังคม ซึ่งการพบรัก (?) ของทั้งคู่เป็นจุดเริ่มต้นความขบถบ้าวายป่วงที่เราตกหลุมรัก

ทันทีที่ซีรีส์ออนแอร์ เราจึงไม่พลาดลุยดูรวดเดียวจนจบซีซั่น แค่ฮุกแรกที่เปิดเรื่องก็เอาคนดูอยู่หมัดด้วยคาแรกเตอร์ของตัวละครที่มีเสน่ห์เหลือล้นทั้งเจมส์และอลิซซา ซึ่งมีอุปนิสัยต่างกันสุดขั้วแต่ดันมาข้องเกี่ยวกันเป็นความสัมพันธ์แปลกๆ

ในขณะที่เจมส์กำลังมองหาเหยื่อรายแรกที่เขาจะลองฆ่าก็พบว่าอลิซซากำลังสนใจในตัวเขา เจมส์จึงแสร้งคบเธอเป็นแฟนเพื่อหาโอกาสลงมือ แล้วก็พบว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิดเพราะอลิซซาก็มีความคิดไม่ปกติพอกัน เธอลากเขาไปเจอสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องฉิบหาย ทำให้เจมส์ถลำลึกไปในความสัมพันธ์มากขึ้น รู้ตัวอีกทีเขาก็เริ่มมีความรู้สึกบางอย่างกับเธอเสียแล้ว

The End of the F***ing World ได้แรงบันดาลใจและสร้างมาจากนิยายภาพชื่อเดียวกันซึ่งโด่งดังมากๆ ในปี 2013 โดยซีรีส์ถูกดัดแปลงให้มีกลิ่นอายอาชญากรรมมากกว่า คล้ายๆ ภาพยนตร์ดราม่าทริลเลอร์ Natural Born Killers (1944) ที่เล่าเรื่องคู่รักฆ่าคนสุดโหดเพียงแต่ย่อสเกลลงมาเป็นฉบับเด็กวัยรุ่นที่ประเด็นการฆาตกรรมกลายเป็นเรื่อง coming of age ไปเสียอย่างนั้น หรือความโดดเด่นแบบคู่รักฆาตกร Bonnie and Clyde ที่ทำให้คนดูค่อยๆ รู้สึกผูกพันกับตัวละครที่กระทำผิดกฎหมาย แถมเคมีของนักแสดงยังเข้ากันมากจนทำให้เราเชื่อว่าตัวละครทั้งสองผ่านอะไรมาด้วยกันและรู้สึกพิเศษต่อกันจากใจจริง

เรื่องราวของซีรีส์เล่าสลับไปมาระหว่างมุมมองของเจมส์และอลิซซา และมีลูกเล่นเป็นวอยซ์โอเวอร์ช่วยสร้างมิติให้ตัวละครได้เปิดเผยความคิดออกมาปะทะกัน อารมณ์ว่าปากอย่างใจอย่าง พูดแบบนี้แต่คิดอีกแบบ คนหนึ่งทื่อมะลื่อตามน้ำไปเรื่อยๆ แต่หวังฆ่าเขา อีกคนเหงาแต่แกล้งทำเป็นไม่แคร์สังคม เมื่อเราดูไปเรื่อยๆ จะพบว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีคนแปลกแค่สองคน การผจญภัยของพวกเขายังพาให้ไปพบเหล่าคนแปลกประหลาดที่สร้างปัญหาจนน่าคลางแคลงว่าอะไรมันจะซวยได้ขนาดนั้น (แต่หลายครั้งก็เป็นเพราะความโง่และรนหาที่ของตัวละครเอง) แต่พอคิดว่านี่เป็นจักรวาล Fucking World ที่บังเกิดความฉิบหายได้ตลอดเวลาจึงพอสมเหตุสมผลความบ้าบอของมันอยู่

ความสาแก่ใจของซีรีส์เรื่องนี้จึงอยู่ที่หลายฉากเกรียนๆ สุดโต่งของคู่เพี้ยนที่ดูแล้วต้องอุทานว่า “เอางี้จริงดิ” เราชอบที่เป็นซีรีส์ของอังกฤษแล้วมีฉากจิกกัดขนบหนังอเมริกันแบบแซะเล็กแซะน้อยแต่คนดูอย่างเราแอบขำอยู่หลังจอ ความตลกร้ายและเสน่ห์แบบหนังโร้ดมูฟวี่ที่ฉากหลังเต็มไปด้วยวิวธรรมชาติ แต่เมื่อมองลึกลงในเรื่องราวเหยเกพวกนี้แล้ว หนังกลับสะท้อนปัญหาการเลี้ยงดูของครอบครัวและปมสำคัญในการประกอบสร้างคนๆ หนึ่งขึ้นมา ทำให้เราเห็นที่มาที่ไป รับรู้ และเห็นอกเห็นใจพวกเขา จากปมที่ดูเหมือนเล็กน้อยแต่กลับขยายกว้างจนเกิดเป็นเรื่องใหญ่โต

อย่างอลิซซาที่มีปัญหากับพ่อเลี้ยงและรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินในครอบครัวใหม่ของแม่จึงแสดงออกด้วยการทำตัวหยาบคายไม่แคร์โลก แต่ใจจริงแล้วเธอก็โหยหาความรักจึงเลือกที่จะหาใครสักคนที่เข้าใจในรูปแบบความรักหนุ่มสาวแทน หรือเจมส์ที่ตอนแรกเปิดตัวมาด้วยคาแรกเตอร์ไร้หัวใจ ไร้ความรู้สึก แต่จริงๆ เขากลับมีปมบาดแผลบางอย่างที่ทำให้เรารู้ว่าแท้จริงแล้วตัวละครนี้ไม่ได้มีจิตวิปลาสอะไรเลย ทั้งหมดชวนให้เราฉุกคิดว่าการที่ตัวละครวัยรุ่นเลือกเดินผิดทาง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาถูกปล่อยปละละเลยหรือเปล่า สุดท้ายด้วยอะไรก็แล้วแต่ ปัญหาย่อมย้อนกลับไปที่ผู้ใหญ่อยู่ดี ไม่ว่าจะผู้ใหญ่ในครอบครัวหรือผู้ใหญ่ในสังคม นี่จึงเป็นซีรีส์ที่บอกเราว่ายังมีปัญหาที่ผู้ใหญ่และเด็กต้องร่วมมือกันแก้ไข ไม่ใช่กล่าวโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเดียว

ส่วนตัวเราประทับใจในจริตความแปลกของแต่ละตัวละคร โดยเฉพาะตัวเอกของเรื่องอย่างเจมส์ที่รับบทโดย อเล็กซ์ ลอว์เธอร์ (Alex Lawther) ที่คอซีรีส์คุ้นหน้าคุ้นตาดีจากซีรีส์สุดดังอย่าง Black Mirror มาเรื่องนี้อเล็กซ์ก็ทำให้เรารักความเป็นเจมส์กับคาแรกเตอร์ทื่อด้านแต่ดันน่ารักชวนหลง และอลิซซาซึ่งรับบทโดยเจสสิกา บาร์เดน (Jessica Barden) ที่ต้องหน้าตาท่าทางแบบเจสสิกาเท่านั้นถึงจะปั่นหัวพระเอกได้ (เราหลงรักการพูดสำเนียงบริติชของเธอมาก โคตรชวนฟัง)

อีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือเพลงประกอบซีรีส์สุดดีงาม ทั้งช่วงฉากตื่นเต้นที่จงใจใส่เพลงแจ๊สเนิบช้ากวนอารมณ์แบบตลกร้าย เพลงอินดี้ป๊อปจังหวะสนุกชวนให้เปิดฟังระหว่างขับรถ และเพลงแนวอื่นๆ ที่ประกอบรวมกันจนขับเน้นอารมณ์หลากหลายในแต่ละฉาก

The End of the F***ing World มีแค่ 8 ตอน แต่ละตอนมีความยาวประมาณ 20 นาที ทำให้เรื่องราวดำเนินอย่างกระชับ รวดเร็ว ไม่มียืดเยื้อ ดูจบได้ภายในวันเดียว นอกจากเราจะเห็นพัฒนาการของสองตัวละครหลักแล้ว ยังมีตัวละครสมทบที่ถูกจับคู่กับประเด็นอื่นๆ ไว้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานมินิมาร์ตแสนซื่อเบื่อชีวิต คู่หูตำรวจที่มีความสัมพันธ์มากกว่าเพื่อนร่วมงาน คนผิวสี คนขาว เพศที่สาม ทั้งหมดถูกยำรวมกันจนไม่น่าเชื่อว่าประเด็นทั้งหมดจะสามารถอยู่ในซีรีส์สั้นๆ แต่สนุกมากเรื่องนี้ได้ จนเราแอบลุ้นเลยว่าต้องมีซีซั่นต่อไปแน่นอน

ภาพ IMDb

AUTHOR