Morningsurfers : Love Room ยามเช้าในอดีต วันใหม่ในอนาคต

คุณเคยมี ‘วงดนตรี’ ของตัวเองไหม?

ผมคิดว่า ความสัมพันธ์แบบ ‘เพื่อนร่วมวง’ นั้นมีลักษณะพิเศษ ไม่เหมือนกับเพื่อนสนิท ไม่เหมือนกับคนรัก ไม่เหมือนกับคนในครอบครัว แต่มีบางสิ่งบางอย่างคล้ายกับทุกอย่างที่กล่าวมา

หากคุณมีวงดนตรีของตัวเอง เพื่อนร่วมวงคือคนที่คุณจะแชร์ความฝันเดียวกัน ก่อร่างสร้างบางอย่างร่วมกัน และใช้ชีวิตร่วมกัน …อย่างน้อยก็ในช่วงตลอดเวลาที่วงดนตรีของคุณยังเป็นวงดนตรีอยู่

วงดนตรีหลายๆ วงจึงเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มเพื่อน เพราะเริ่มจากความผูกพันนั้นง่ายกว่าเริ่มจากการเป็นคนแปลกหน้า 

วงที่เพื่อนๆ มารวมตัวกันเพื่อทำดนตรีแล้วมีเป้าหมายอะไรบางอย่างนั้น หากตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องซ้อมดนตรีหรือทำเพลงด้วยกัน บางทีด้วยความเฮฮาสนิทสนมก็อาจทำให้หลายๆ วงไปได้ไม่ไกล แต่ยุคหนึ่ง วัยรุ่นไทยเคยมีการแข่งขันดนตรีชื่อ Hotwave Music Awards เป็นเหมือนหมุดหมายของวงจากโรงเรียนมัธยมทั่วประเทศให้มีโอกาสมาแข่งขันประชันฝีมือ วงดนตรีของเพื่อนมัธยมหลายๆ วงแจ้งเกิดจากเวทีนี้ อย่างเช่น ลาบานูน, ละอ่อน (ซึ่งต่อมากลายเป็น Bodyslam), Clash และ Slot Machine วงเหล่านี้กลายเป็นวงมืออาชีพ สังกัดค่ายใหญ่ และทำเพลงอย่างต่อเนื่อง

มีวงดนตรีอยู่อีกวงหนึ่งที่แจ้งเกิดจากเวทีนี้เช่นกัน ในวันที่อยู่บนเวทีฮอตเวฟครั้งที่ 6 เมื่อปี 2544 พวกเขาคือวงที่จรัสแสงที่สุดจนกลายเป็นวงชนะเลิศประจำปี ตอนนั้นพวกเขาตั้งชื่อวงตัวเองแบบตลกๆ ว่า คณะรวยกุ้ง

วงดนตรีวงนี้เป็นวงของเพื่อนๆ 6 คนคือ มะเหมี่ยว-ภูเก็ต ช้างเสวก (กลอง), กาจ-กาจวิศว์ ริเริ่มวณิช (กีตาร์), กล้วย-ศิวัช หอมขัน (เบส), ไบ-พลภัทร เหล่าจรุงเภสัชกร (กีตาร์), เชี่ยง-เกษมศักดิ์ เซี่ยงฉิน (ร้องนำ), เต่า-วทัญญู วิบูรณ์มงคลชัย (ทรัมเป็ต, คีย์บอร์ด) เป็นเด็กหนุ่มจากโรงเรียนชายล้วนชื่อดัง คือสวนกุหลาบวิทยาลัย (ซึ่งได้ชื่อว่าสร้างคนดนตรีฝีมือดีมากมาย) น่าสนใจว่าพวกเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าแต่ละคนชอบดนตรีกันคนละแนวเลย แต่ตอนที่อยู่บนเวทีฮอตเวฟนั้น พวกเขาเล่นเพลงป๊อปเพราะๆ ได้อย่างกลมกล่อม และมีวี่แววว่าจะเป็นวงป๊อปที่ดีในอนาคตต่อไป 

แต่คณะรวยกุ้งก็ไม่ได้เข้าค่ายใหญ่ไปเป็นป๊อปสตาร์ เพื่อนๆ แก๊งนี้ยังคงเกาะกลุ่มกันไว้และเริ่มทำเพลงของตัวเองด้วยกัน คณะรวยกุ้งกลายเป็นวง Morningsurfers (ซึ่งแปลเป็นไทยว่า ‘โต้รุ่ง’) และพวกเขาหันมาทำเพลงแนวโมเดิร์นร็อก วงดนตรีวงนี้ทำอีพีออกมาขายเองในงานแฟต เฟสติวัล ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่าเป็นงานเทศกาลดนตรีของ ‘เด็กแนว’ …เป็นการไรต์แผ่นมาขายแบบง่ายๆ จำนวนไม่มากแต่ก็ขายหมด เพลงของพวกเขาไปสร้างความประทับใจให้กับ หนึ่ง-เกรียงไกร วงษ์วานิช หรือ หนึ่ง แห่งวง Friday ที่ตอนนั้นกำลังทำค่ายเพลงเล็กๆ ชื่อ No More Belts หนึ่งก็เลยชวนเด็กหนุ่มทั้ง 6 ไปทำงานกับค่ายเพลงของตัวเอง

ภายใต้การดูแลของหนึ่ง อัลบั้มแรกของ Morningsurfers ที่ใช้เวลาบันทึกเสียงยาวนานถึง 8 เดือนก็ออกมาวางจำหน่ายในปี 2548 อัลบั้มนี้ชื่อว่า Love Room

ด้วยปกอัลบั้มที่ออกแบบโดย DUCTSTORE the design guru นั้นเดาไม่ยากว่าวงดนตรีวงนี้มาทาง ‘อาร์ต’ และ ‘เท่’ แน่ๆ และเพลงในอัลบั้มนี้ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ 

เพลงที่เกิดจากการก่อร่างรวมตัวกันสร้างสรรค์ของเพื่อนๆ 6 คนนี้เปี่ยมพลัง สวยงาม ไพเราะ และสุดจะครีเอทีฟ 

แทร็กแรกของอัลบั้มเริ่มจาก ‘Love Room’ เพลงภาษาอังกฤษที่บันทึกเสียงกันแบบสบายๆ กลิ่นอายบริตป๊อปโชยมาเต็มที่ แต่ท่าทีดูเล่นๆ สนุกๆ จนยากจะคาดเดาว่าเพลงถัดไปจะมาไม้ไหน พอถึงแทร็กที่สอง ‘สายตา’ ก็กลายเป็นเพลงที่เรียบเรียงอย่างพิถีพิถัน ซาวนด์ดีไซน์เท่ขาดใจตั้งแต่อินโทร เมโลดี้ติดหูหมับตั้งแต่ท่อนเวิร์สยันท่อนฮุกที่พุ่งทะยาน ทำให้เราต้องหันมาฟังเพลงของพวกเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ ท่อนเพลงต่างๆ ของ ‘สายตา’ ถูกออกแบบมาอย่างดีเยี่ยม มีท่อนบรรเลงอะคูสติกสั้นๆ ก่อนเข้าไคลแมกซ์ มีเสียงร้องประสานโอบอุ้มไปตลอดทั้งเพลง และทิ้งท้ายด้วยเอฟเฟกต์อื้ออึง

ต่อด้วย ‘เหตุการณ์บนดวงดาว’ ที่เริ่มอย่างเหงาๆ เนื้อเพลงล่องลอยชวนฝัน แต่พอจะเข้าฮุกเราก็เริ่มเห็นลีลาการดีไซน์เพลงของพวกเขาอีกแล้ว เพลงนี้ไล่อารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ค่อยๆ เพิ่มเลเยอร์ดนตรีทีละชั้น จนถึงท่อนโซโล่ที่บาดจิตและแหวกประสาทได้เฉียบขาดมาก ก่อนที่ดนตรีจะใหญ่จนอลังการในช่วงท้าย แล้วส่งไปที่เพลงโมเดิร์นร็อกหนักๆ อย่าง ‘เบลอ’ ซึ่งคราวนี้พวกเขาเปิดตัวไม้ตายอีกอย่างของวง นั่นก็คือเสียงทรัมเป็ต

ยังจำได้ใช่ไหมว่าวงดนตรีวงนี้มีสมาชิกคนหนึ่งเล่นทรัมเป็ตได้ด้วย และ Morningsurfers ก็ใช้ศักยภาพของทรัมเป็ตได้อย่างคุ้มค่า พวกเขาเลือกใช้เสียงเครื่องเป่าอันงดงามนี้เป็นสีสันในบางเพลง (ไม่ใช่ทุกเพลง) ได้อย่างเปี่ยมเสน่ห์และถูกที่ถูกทาง

มาต่อที่ ‘Pup-pup’ คราวนี้จังหวะสนุกขึ้น เมโลดี้ชวนขยับตัวตาม ทรัมเป็ตยังอยู่ และทำให้เพลงนี้มีอารมณ์กวนๆ พองาม

เปลี่ยนอารมณ์มาเป็นซึ้งๆ เท่ๆ กับ ‘An Airport Song’ เพลงสำหรับการจากลาคนรักที่กำลังจะจากไปแดนไกล เพลงนี้ท่อนฮุกกระฉับกระเฉง เนื้อเพลงสร้างความมั่นใจในความรักที่มั่นคง แน่นอนว่าทรัมเป็ตยังคงอยู่ แต่คราวนี้เป็นเพียงเสียงบางเบาในฉากหลัง ทำหน้าที่เพิ่มความหรูหราเล็กๆ น้อยๆ ให้กับบทเพลง โดยหลบตัวอยู่ท่ามกลางเสียงกีตาร์ไฟฟ้าอึงอล

มาถึง ‘ปลอบ’ ที่เริ่มต้นอินโทรด้วยทรัมเป็ตเต็มๆ เพลงจังหวะกระตุกๆ เปลี่ยนฟีลได้ดีเลย พอจะเข้าท่อนฮุกก็เริ่มอื้ออึง เพลงนี้พวกเขาตั้งชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘Thai Ghost’ ซึ่งเนื้อเพลงอาจจะเป็นเรื่องของชายหนุ่มที่กำลังต้องการกำลังใจจากใครสักคน แต่ก็มีอารมณ์หลอนๆ เล็กๆ ตามชื่อเพลงภาษาอังกฤษอยู่เหมือนกัน เป็นเพลงที่มีเสน่ห์แปลกๆ ดีแท้

‘บางอย่างระหว่างเรา’ เปลี่ยนมาอินโทรด้วยเปียโนเบาๆ ก่อนที่ทรัมเป็ตและกีตาร์จะกลับมาโอบอุ้มอีกครั้ง จังหวะหนึบๆ มั่นคง ทำนองไพเราะตั้งแต่แรกฟัง ท่อนฮุกของเพลงนี้พุ่งทะยานไม่แพ้เพลงอื่นๆ ชวนให้ร้องตามเป็นอย่างยิ่ง …คนที่กำลังสับสนกับความรักหากได้ร้องตามคงได้ระบายความรู้สึกออกไปจนหมดหัวใจ เพลงนี้ถูกต่อด้วย ‘เพียงเธอตอบฉัน’ เพลงที่ดนตรีเบาที่สุดในอัลบั้ม และจะว่าไปก็ถือว่าป๊อปที่สุดในอัลบั้มด้วย เพลงนี้แต่งทำนองโดยหนึ่ง และเขียนเนื้อโดย บอย-ตรัย ภูมิรัตน (คือเป็น 2 ใน 3 สมาชิกของวงฟรายเดย์แล้ว) ท่อนฮุกเศร้าและไพเราะจับใจ ‘รอยังรอ อยากฟังแค่เพียงคำตอบ ว่าเธออยากให้รักของเรา จบลงเช่นไร’ เหมือนกับเป็นภาคต่ออันแสนเศร้าของคู่รักในเพลง ‘บางอย่างระหว่างเรา’

เพลงต่อไปคือ ‘เช้า’ ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพลงที่สำคัญที่สุดเพลงหนึ่งของวงนี้ นี่คือเพลงที่แฟนเพลงยุคแรกๆ ของวงคุ้นเคยเพราะอยู่ในอีพีที่ทำขายเอง และอยู่บนคอนเสิร์ตเสมอ ชื่อเพลงดูเหมือนจะเกี่ยวพันกับชื่อวงอยู่ เป็นแทร็กสนุกๆ ที่เป็นเพลงดังของพวกเขา (ติดอันดับ 2 ของแฟต เรดิโอ อยู่หลายสัปดาห์) ท่อนฮุกที่ร้องว่า ‘แม้ว่าคืนนั้น จะนอนหลับฝันคนเดียว อย่างเดียวดาย แต่ว่าฉันก็มีสุข ที่มีเธอเคียงข้างกาย แม้จะเป็นแค่ฝัน งดงามกว่าคำใด อธิบายให้เธอได้เข้าใจ ว่าเธอมีค่ามากเพียงไหน ฉันเดินข้ามคืนที่โหดร้ายทุกวัน อยู่คนเดียว’ นั้นมีลีลาเมโลดี้ที่ติดหูมากๆ ยิ่งได้ไลน์ทรัมเป็ตล้อไปกับท่วงทำนอง ทำให้เพลงนี้เป็นเหมือนผลงานชิ้นโบแดงของพวกเขาเลยทีเดียว 

‘ให้คุณคำนึง’ ยังคงเป็นเพลงรัก เนื้อเพลงตั้งใจเล่นกับคำว่า ‘คำนึง’ แบบพองาม บทเพลงเริ่มต้นด้วยการตีคอร์ดกีตาร์อะคูสติกสบายๆ ก่อนจะพาเราเดินทางไปกับสรรพเสียงจากฝีมือเหล่าสมาชิก คราวนี้ทรัมเป็ตหายไป ปล่อยให้กีตาร์โดดเด่นบ้าง ก่อนจะปิดท้ายด้วยเสียงตีคอร์ดกีตาร์สบายๆ คล้ายกับการวนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นโดยสวัสดิภาพ

เพลงสุดท้ายของอัลบั้ม ‘วันนี้’ มาทางอะคูสติกเต็มๆ เนื้อเพลงให้กำลังใจ บอกให้เธอสุขใจไปกับวันนี้แม้ว่าวันข้างหน้ายังไม่ชัดเจน แม้จะเป็นอะคูสติกที่ป๊อปเลยล่ะ แต่พวกเขาก็ยังเลือกเอาทรัมเป็ตกลับมาโซโลสั้นๆ ให้เป็นลายเซ็นของวงอยู่ดี

อัลบั้มแรกของเพื่อนๆ 6 คนนี้กลายเป็นงานเพลงที่ลงตัวเอามากๆ ชุดหนึ่ง หลายเพลงเข้าขั้นเท่มากๆ หลายเพลงเข้าขั้นติดหูมากๆ แต่ทุกเพลงมีการดีไซน์ที่ไว้ลายความเป็น ‘เด็กแนว’ ของพวกอยู่เสมอ มันขายได้พอสมควร และมีผลให้พวกเขาได้ทำอัลบั้มอีกชุดคือ Common People ในปีถัดมา ซึ่งจัดจำหน่ายโดยค่ายสนามหลวงในเครือจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ มีเพลงที่ผมชอบมากๆ อยู่ด้วยคือเพลง ‘เฝ้ารอ’ ซึ่งเป็นตัวอย่างของแทร็กในอัลบั้มว่าแม้จะเป็นอัลบั้มที่ดีอีกชุด แต่ก็มีความตื่นเต้นน้อยลงสักหน่อย และมีความชัดเจนไปในแนวทางป๊อปร็อกมากขึ้น

แล้วหลังจากนั้นเพื่อนๆ 6 คนก็แยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง บางคนย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด บางคนงานประจำหนักหน่วงมากขึ้น และบางคนก็ไปเป็นนักดนตรีแบ็กอัพให้ศิลปินคนอื่นๆ 

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จนถึงปี 2559 ทีมงานของเว็บไซต์สตรีมมิ่งเพลงไทย ฟังใจ ซึ่งล้วนเป็นคนที่เคยฟังแฟต เรดิโอ ในยุครุ่งเรือง ก็ชักชวนพวกเขากลับมาเล่นคอนเสิร์ตบนเวที ‘เห็ดสด’ เป็นโอกาสที่เพื่อนๆ กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหลังจากไม่ได้เล่นดนตรีด้วยกันมานาน

บนเวทีวันนั้น วง Morningsurfers ไว้ลายทางดนตรีได้อย่างคืนฟอร์ม พวกเขาเลือกคัฟเวอร์เพลง ‘ร W8’ ของ จีน กษิดิศ ซึ่งดูเข้ากับวงเอามากๆ นี่ยังไม่นับเพลง ‘เกี่ยวกับเรา’ ของ The Fin ที่เคยคัฟเวอร์มาก่อนหน้านั้นซึ่งก็เข้ากับพวกเขามากๆ เช่นกัน ทั้งหมดน่าจะทำให้เด็กรุ่นใหม่ที่ดูอยู่ในวันนั้นได้รู้จักและจดจำพวกเขาได้

เวลาผ่านไปอีกไม่นานเกินไป จนมาถึงปี 2562 ในช่วงที่แผ่นเสียงกลับมาเป็นเทรนด์ ค่าย No More Belts ก็หยิบเอาหลายๆ อัลบั้มที่เคยทำไว้มาทำเป็นแผ่นไวนิลออกจำหน่ายบ้าง 

อัลบั้ม Love Room เป็นหนึ่งในนั้น

การเอา Love Room มาทำเป็นแผ่นเสียงครั้งนี้ไม่ใช่การทำมาขายอีกครั้ง แต่เป็น ‘ครั้งแรก’ ที่อัลบั้มนี้ได้ผลิตในรูปแบบแผ่นเสียง โดยถูกผลิตจากประเทศเยอรมนี 

และเพราะแผ่นเสียงมีพื้นที่จำกัดกว่าแผ่นซีดี ปรากฏว่าความยาวเดิมของอัลบั้ม Love Room นั้นยาวเกินกว่าจะบรรจุลงแผ่นเสียงได้หมด หนึ่ง เกรียงไกร ซึ่งเป็นผู้ดูแลการผลิตก็ตัดสินใจตัดเพลง ‘เพียงเธอตอบฉัน’ ซึ่งเป็นเพลงเดียวที่ไม่ได้แต่งโดยสมาชิกทั้ง 6 ของวงออกไป

กลายเป็นอัลบั้ม Love Room ในเวอร์ชั่นแผ่นเสียงเป็นอัลบั้มที่กระชับขึ้น ลดเปอร์เซ็นต์ความป๊อปลงไปนิดหน่อย แต่ก็กลายเป็นอัลบั้มที่เป็นผลงานของเพื่อนๆ ในวัยมัธยม 6 คนนี้แบบเต็มๆ 

กลับมาฟังอัลบั้มนี้อีกครั้งวันนี้ในรูปแบบแผ่นเสียง ที่หลายคนบอกว่าให้ความรู้สึก ‘วินเทจ’ แบบนี้ ผมฟังเพลงในอัลบั้ม Love Room แล้วหลับตาเห็นภาพกลุ่มเด็กหนุ่มที่กำลังแต่งเพลง เรียบเรียง และบันทึกเสียงผลงานของพวกเขาด้วยกัน มีทะเลาะกันบ้าง มีการปล่อยมุกขำๆ มีวันเวลาที่อยู่ข้ามคืนจนถึงเช้าในช่วงวัยที่การอดหลับอดนอนยังไม่ใช่ปัญหาสุขภาพ 

ยามเช้าหลังจากค่ำคืนที่กลุ่มเพื่อนร่วมวงของเราได้อดตาหลับขับตานอนเพื่อสร้างความฝันด้วยกัน เช้าแบบนั้น ใครเล่าจะลืมได้ลง

——-แผ่นเสียงอัลบั้ม Love Room ยังพอมีจำหน่ายในเว็บไซต์ happeningandfriends.com ที่ลิงก์นี้ https://happeningandfriends.com/product-detail/5961?lang=th

AUTHOR